ตอนที่ 112-4 ช่วงคั่น ณ เกาะอสูรยักษ์ 5
อายากะ อาซึระอิ
รากุนะ มิตสึรุกิ
เออซูร่า อุตการ์ซ่า
ซาอิ คุมอน
ซิดนีย์ สกายชิพ
ไคลอา เบิร์ช
คลิม เบิร์ช
นี่คือรายชื่อรุ่นทองคำทั้ง 7 คนของเกาะอสูรยักษ์ นอกจากนี้ยังเป็นชื่อที่ไล่เรียงมาตามลำดับความสามารถของพวกเขาอีกด้วย
สำหรับคลิมถึงแม้จะดูน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่ตัวเขาก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ตนอยู่ในอันดับสุดท้ายของทั้ง 7 คน
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคลิมนั้นอ่อนแอหรืออะไร ว่ากันตามตรงแล้วคลิมนั้นเป็นคนมีความสามารถ อาภรณ์วิญญาณของเขาก็แข็งแกร่ง ความสำเร็จตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกับกองกำลังธงทั้ง 8 แห่งผืนป่าก็โดดเด่น พิสูจน์ได้จากตำแหน่งลำดับที่ 7 ของธงที่ 7
ทว่าถึงคลิมจะมีความสามารถถึงขนาดนั้น แต่ตัวเขาก็ยังเป็นเพียงแต่คนที่ลำดับต่ำที่สุดในรุ่นทองคำ เพราะอีก 6 คนที่เหลือนั้นยอดเยี่ยมกว่าเขา
ถึงอายากะกับรากุนะที่จะได้กลายเป็นรองหัวหน้าหน่วยในเวลาเพียงไม่กี่ปีจะเป็นข้อยกเว้นก็เถอะ แต่ทางซาอิ ซิดนีย์กับพี่สาวของเขาไคลอา คนเหล่านี้ก็ต่างมีลำดับที่สูงกว่าคลิมทั้งหมด
หากจะมีก็คงเหลือแค่เออซูร่าเท่านั้นที่อยู่ในลำดับที่ 10 แต่เพราะเธอสังกัดอยู่ธงที่ 1 ซึ่งเต็มไปด้วยหัวกะทิที่ถูกผู้นำตระกูลดูแลโดยตรง หน่วยที่รวบรวมเอาพวกปีศาจไว้และมีการแข่งขันกันที่สูงมากกว่าธงอื่น คลิมที่เข้าใจเรื่องนี้ดีก็ย่อมต้องยกย่องว่าเธอมาถึงลำดับที่ 10 ได้ก็เก่งแล้ว
ถึงแม้ว่าคลิมจะมีความสนิทสนมกันกับเพื่อนร่วมรุ่นของเขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มองคนพวกนั้นเป็นคู่แข่งด้วยเช่นเดียวกัน จึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่อยากจะขอยืมมือคนพวกนี้จนกว่าจะเกิดเรื่องที่ร้ายแรงจนเกินมือเขาไปมาก
และแล้วเรื่องร้ายแรงที่ว่าก็มาถึง พี่สาวของเขาไคลอา เธอถูกจับเอาไว้เป็นตัวประกัน ถึงแม้ตนจะถูกพี่ของตัวเองอยากไดรอาทกระทืบต่อหน้าสาธารณชน เขาก็ไม่อยากจะยอมอยู่เฉยๆ เลยปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
ดังนั้นคลิมจึงตัดสินใจว่าจะฝืนกลืนความภาคภูมิใจของตัวเองเข้าไปและพยายามขอร้องเพื่อนร่วมรุ่นของตน
รากุนะท่ามีจากตระกูลมิตสึรุกิคงไม่ต้องพูดถึง ทางซาอิที่มาจากตระกูลคุมอนซึ่งมีประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติบนเกาะมามากกว่า 300 ปี ไม่ต่างอะไรกับซิดนีย์จากตระกูลสกายชิพ ไหนจะมีอาซึระอิที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงชื่อดังของจักรวรรดิ หากเขาสามารถยืมพลังของตระกูลไหนได้สักตระกูลหนึ่ง โอกาสที่เขาจะช่วยเหลือพี่สาวของเขาได้ก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว
คนแรกที่คลิมไปหาก็คือซิดนีย์ สกายชิพ หากจะให้เหตุผลง่ายๆ ก็คือเพราะซิดนีย์เป็นคนที่อ่อนโยนและเป็นมิตรที่สุดในบรรดารุ่นทองคำ
ตระกูลสกายชิพนั้นมีความบาดหมางกับตระกูลเบิร์ชเพราะพวกเขาเสียตำแหน่งเสาหลักให้กับกิลเบิร์ชก็จริง แต่คลิมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลองดู ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจสายตาจากทางตระกูลของเขาแล้วด้วย เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยพี่สาวของเขาแม้จะต้องก้มแนบกับพื้นก็ตาม
――พอเขาอธิบายเรื่องราวของเขาไปยังเพื่อนร่วมรุ่นตัวเล็ก เพื่อนของเขาก็หัวเราะและเสยผมสีทองของตนไปมา
「ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยก็ได้นะ เธอเป็นพี่สาวนายแล้วยังเป็นเพื่อนของฉันอีกด้วย ไม่มีเหตุผลให้ฉันจะต้องปฏิเสธเลย ได้สิ เดี๋ยวฉันจะลองไปโน้มน้าวท่านปู่ดูถึงจะยากหน่อยก็เถอะ」
「……ขอโทษนะ ซิดนีย์」
「คลิม ที่ฉันอยากได้ยินคือคำว่าขอบคุณ ไม่ใช่ขอโทษนะ」
เขาเป็นคนที่มีเส้นผมสีทองยาวไปถึงไหล่ซึ่งมาพร้อมกับดวงตาสีฟ้า ซึ่งได้มาจากแม่ของเขาที่มีเชื้อสายของราชวงศ์จักรวรรดิ ไม่ต่างอะไรกับรากุนะที่มีเส้นผมสีทองดวงตาสีฟ้าเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้พูดทั้งสองที่บรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ตัวเขาไม่เหมือนกับรากุนะที่มีสถานะบนเกาะสูงส่งและถูกมองว่าแก่กว่าอายุจริงของเขา ซิดนีย์นั้นมักจะถูกมองว่าเด็กกว่าอายุจริงของตนอยู่เสมอ
จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วว่าเขามักจะถูกมองว่าเด็กกว่าเพื่อนร่วมรุ่นของตัวเองไปประมาณ 2-3 ปีเสมอ นอกจากนี้เสียงของเขานั้นก็มักจะสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นเพศตรงข้ามกับเพศสภาพของตนเสมอ
พอเขารู้แบบนี้แล้วในบางครั้งเขาก็อยากเล่นสนุกโดยการปลอมตัวเป็นผู้หญิงอยู่เหมือนกัน จนทำให้เกิดข่าวลือขึ้นในหมู่ของนักรบแห่งผืนป่าว่าแท้จริงแล้วซิดนีย์นั้นเป็นผู้หญิง
เอาเป็นว่า ซิดนีย์ก็สัญญากับคลิมแล้วว่าตนจะช่วยไคลอาที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเขา
ต่อมาก็คือซาอิ คุมอน แต่รายนี้ได้ปฏิเสธคลิมอย่างตรงไปตรงมา
「หยุดเลยนะ หยุดเลย หากนายทำอะไรบุ่มบ่ามก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม」
ซาอิคือน้องชายของชูคุยะ คุมอน ลำดับที่ 2 ของธงที่ 1 แม้พวกเขาจะมีลักษณะใบหน้าเหมือนกันกับพี่ชายของเขา แต่ท่าทางการพูดที่ดูประชดประชันช่างแตกต่างกับพี่ของเขาอย่างสิ้นเชิง
「อย่าได้คิดไปยุ่งอะไรกับเรื่องที่ท่านผู้นำตัดสินใจไปแล้วสิคลิม คราวนี้คงไม่จบแค่หัวของนายจมดินเหมือนคราวก่อนแน่ นอกจากนี้นายคงแอบทำเรื่องนี้โดยที่ตระกูลไม่รู้สินะ สุดท้ายถึงนายจะช่วยไคลอาได้แต่นายก็คงต้องมาแก้ไขปัญหาที่จะตามมาอีกมากแน่」
ดังนั้นอย่าทำอะไรที่ไม่จำเป็นแล้วอยู่เงียบๆ ซะ ซาอิบอกกับคลิมด้วยท่าทีที่เอือมระอา ถึงแม้ว่าที่เขาพูดจะสื่อว่าตนไม่อยากจะเข้าไปยุ่งอะไรด้วย แต่คำพูดของเขาก็ใช่ว่าจะผิดไปเสียทั้งหมด
「นอกจากนี้คนที่จับตัวไคลอาไปคือพวกของโซระ โอ๊ะ――ไม่สิโซระคนเดียวสินะ? ไอ้คนขี้ขลาดแบบนั้นไม่มีทางจะเผชิญหน้าท่านผู้นำได้หรอก」
พอซิดนีย์ที่ตามมาด้วยได้ยินแบบนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้ว
「เรื่องขี้ขลาดอะไรนั่นทิ้งไว้ก่อนแล้วกัน แต่ทางฉันเองก็เห็นด้วยอยู่หรอกนะว่าโซระคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับท่านผู้นำได้หรอก ทว่าซาอิ โซระที่สามารถโค่นคลิมกับโกซุได้ ในแง่ความสามารถแล้วเราควรจะมองว่าโซระเปลี่ยนไปมากจากอดีตแล้วไม่ดีกว่าเหรอ?」
「สำหรับฉันเรื่องที่สงสัยสุดๆ ก็คือเรื่องที่โซระสามารถจัดการพวกนั้นได้ทั้งหมดนี่แหละ」
ซาอิพูดออกมาขณะจ้องมองไปยังคลิมที่ยังนิ่งเงียบ
จากนั้นคลิมก็กัดฟันและจ้องกลับไป
「ก็คือนายจะบอกว่าฉันโกหกงั้นเหรอ?」
「คลิม นายลองคิดว่าตัวเองเป็นคนนอกดูสิ สมมุติว่าฉันออกไปนอกเกาะ แล้วเจอโซระหลังจากที่ไม่เจอกัน 5 ปีจากนั้นก็ถูกเขาจัดการแล้วกลับมารายงานท่านผู้นำแบบนั้น นายจะเชื่อฉันลงไหมล่ะ? ทีนี้นายเข้าใจที่ฉันจะบอกไหม?」
「…เรื่องนั้น-」
「นายก็คงเชื่อไม่ลงใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นก็ไม่แปลกสักหน่อยที่ฉันจะคิดเหมือนที่พูด นอกจากนี้พวกนายสองพี่น้องก็มาจากตระกูลจ้าวปัญหาอย่างเบิร์ชอีกด้วย สถานะของพวกนายที่นั่นก็ลำบากนี่ ฉันจะไม่แปลกใจอะไรเลยที่นายกับชิบะจะพลิกสถานการณ์บางอย่างที่ผิดพลาดนอกเกาะด้วยการโยงไปหาโซระ ชิโตะ กิลมอร์ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ตอนที่ประชุมกับชิบะไว้แล้วใช่ไหมล่ะ?」
ซาอิพูดแบบนั้นขณะยกมือของเขาขึ้นมาอธิบายด้วย
แน่นอนว่าซาอิไม่ได้คิดสงสัยในตัวคลิมหรอกว่ามีลับลมคมในอะไรกับโซระ
แต่เขาพยายามอธิบายถึงความเป็นไปได้ในแต่ละมุมมอง แถมตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วนั่นคือกิลมอร์ที่พยายามใช้สถานการณ์นี้เป็นเครื่องมือโค่นล้มคนที่ขวางทางเขา
สำหรับคนของตระกูลคุมอนแล้ว ซาอิคงไม่อาจจะพยักหน้ารับคำขอของเพื่อนร่วมรุ่นตนได้ง่ายๆ
「นอกจากนี้ถึงเรื่องที่นายเล่าจะจริง แต่สุดท้ายโซระก็ไม่ได้ฆ่านายและโกซุใช่ไหมล่ะ นอกจากนี้เขายังไม่ฟันไคลอาให้ได้รับบาดเจ็บเลยด้วยสินะ ถ้าแบบนั้นมันก็ชัดเลยว่าส่วนลึกๆ ของโซระน่ะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย」
หากซาอิเป็นฝ่ายที่ต้องการต่อรองกับตระกูลมิตสึรุกิละก็ เขาคงจะส่งหัวของโกซุและคลิมกลับมาที่เกาะ พร้อมกับแถมนิ้วมือไคลอาให้เพื่อบอกว่ามีเธอเป็นตัวประกันอยู่ไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าคนที่ปล่อยให้ทั้ง 2 กลับมาได้โดยดีจะทำอันตรายอะไรกับตัวประกัน
เขาก็เลยบอกไปว่า อย่าทำอะไรที่ไม่จำเป็นและก็อยู่เงียบๆ ไป นี่คือสิ่งที่เขามองเห็น
หลังจากที่ได้ยินความเห็นที่ตรงไปตรงมาของซาอิ ซิดนีย์ก็ยืนคิดด้วยสีหน้าที่ดูลำบากใจ แม้ความเห็นของซาอิจะดูพูดแบบขวานผ่าซากไปบ้าง แต่เขาก็มองว่ามันไม่ได้ผิดไปเสียหมดจริงๆ นั่นแหละ
หากผู้นำตระกูลอย่างชิกิบุ มีความคิดที่คล้ายกับซาอินั่นก็หมายความว่าเรื่องที่คลิมและซิดนีย์กำลังจะทำอยู่คือการขัดขืนสิ่งที่ชิกิบุตัดสินใจไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ซิดนีย์ก็เข้าใจถึงความสับสุนและว้าวุ่นใจของคลิมได้เหมือนกัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตนควรจะทำเช่นไรต่อดี
「พวกนายคิดจะทำอะไรที่อันตรายกันอยู่ใช่ไหม?」
คนที่โผล่เข้ามานั่นก็คือมิตสึรุกิ รากุนะซึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอายากะ อาซึระอิที่อยู่ข้างหลังของเขา
ซิดนีย์รู้สึกตกใจเหมือนกันที่จังหวะมันพอดีขนาดนี้ ทางรากุนะที่เห็นก็ยักไหล่หนึ่งครั้งเหมือนเข้าใจที่ซิดนีย์สงสัย
「ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก ทางฉันก็ตามหาคลิมอยู่เหมือนกัน」
「ฉันเหรอ? ทำไมล่ะ?」
บางทีเขาอาจจะได้รับคำสั่งจากผู้นำตระกูลให้มาเตือนคลิมที่แสดงท่าทางหยาบคายเมื่อวานก่อนก็ได้
「ฉันได้รับคำอนุญาตจากท่านพ่อให้นำกองกำลังของธงที่ 4 ไปช่วยไคลอาแล้ว ถึงเราจะออกจากเกาะกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยนี่ก็น่าจะช่วยให้นายสงบลงได้บ้างนะ คลิม」
「หา!?」
คลิมตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เพราะรากุนะพูดในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงออกมาจริงๆ
ธงที่ 4 คือธงที่จินโบซึ่งคอยทำงานอยู่นอกเกาะสังกัดอยู่ และรากุนะก็บอกว่าคนของธงนั้นจะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยไคลอา
ธงที่ 4 นั้นเป็นหน่วยที่มีนักรบของธงทำงานลับอยู่นอกเกาะมากที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะดูด้อยกว่าธงอื่นๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็คือหนึ่งในธงทั้ง 8 นอกจากนี้ถึงรากุนะจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลก็เถอะ แต่เขาก็ไม่น่าจะเคลื่อนไหวอะไรได้เร็วขนาดนี้สิ นอกจากนี้คลิมยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับรากุนะเลยสักนิด
นั่นก็หมายความว่ารากุนะ ได้ทำการเริ่มช่วยเหลือไคลอาทันทีที่ทราบเรื่อง โดยไม่ได้สนใจว่าคลิมจะคิดยังไงเลยด้วยซ้ำ
คลิมที่พูดอะไรไม่ออกมาได้สักพัก ก็ขอบคุณรากุนะ
「…รากุนะ ฉันขอโท- ไม่สิ ขอบคุณมากนะ」
คลิมก้มศีระษะให้กับรากุนะ ทางซิดนีย์ที่อยู่ข้างๆ เขาก็ด้วย
「รากุนะ ฉันก็ด้วย ขอบคุณนายมากนะ」
「ก็แค่เพื่อนร่วมรุ่นช่วยกัน ไม่เห็นจะต้องมาขอบคุณอะไรเลย」
รากุนะพูดออกมาอย่างเย็นชา บางทีอาจจะเป็นท่าทีของคนที่ยืนอยู่เหนือคนอื่นด้วยก็ได้
แต่แล้วก็มีอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาแทรกการแสดงท่าทีของรากุนะเอาไว้ คนคนนั้นก็คือซาอิ
「ช่วยเพื่อนสิน้อ หึ? วันก่อนใครกันนะที่หัวเสียทันทีที่ได้ยินว่าเพื่อนร่วมรุ่นยังมีชีวิตอยู่?」
「…ฉันก็แค่คิดว่ามันตายไปนานแล้วเสียอีก ก็เลยตกใจเท่านั้นเอง」
「ตกใจ หื้ม ฉันว่าเป็นตื่นตระหนกมากกว่านะ กลัวว่าอดีตคู่หมั้นคนนั้นจะปรากฏตัวออกมาแล้วแย่งอาซึระอิสุดที่รักไปหรื-อึก!?」
พวกรุ่นทองคำนั้นก็รู้กันดีอยู่แล้วว่ารากุนะเป็นพวกที่มักจะแสดงความเยือกเย็นและสุขุมอยู่เสมอ แต่อารมณ์ทั้งหมดของเขาจะเปิดเผยออกมาทันทีเมื่อพูดถึงโซระพี่ชายของเขา
พวกเขาก็เลยมักจะใช้เรื่องพวกนี้แหละในการแหย่รากุนะ เพื่อทำลายท่าทีที่สุขุมของเขา แต่จู่ๆ คำพูดของซาอิก็ถูกขัดเอาไว้ซะอย่างงั้น
พอดูถึงสาเหตุนั้นก็พบว่ามีมือที่ขาวเรียวยาวมาหยิกแก้มของซาอิเอาไว้
ซึ่งมือนั้นก็คือมือของอายากะที่ยืนอยู่ข้างหลังรากุนะเมื่อครู่
「ซาอิ นั่นคือคำพูดที่หยาบคายนะ รู้ไหมว่ารากุนะต้องพยายามขนาดไหนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นี้มา?」
「อิ ตะตะ เจ็บนะ!」
「ก็ต้องเจ็บอยู่แล้วสิ ฉันกำลังหยิกนายอยู่นะ! เอาละ ทีนี้นายควรมีอะไรที่ต้องพูดกับรากุนะไม่ใช่หรือไง?」
「ขอโทษ ฉันขอโทษ! ที่เล่นแรงไปหน่อย ยกโทษให้ฉันด้วยละกัน!」
「พอแค่นั้นเถอะอายากะ หากเธอยังทำแบบนี้ต่อไปอีกเดี๋ยวแก้มของซาอิก็ยุ่ยเอาหรอก หากปล่อยไว้เดี๋ยวจากนี้คงได้ลำบากกลั้นขำตอนเจอหน้าหมอนี่แน่」
พอรากุนะพูดแบบนั้น อายากะก็ยอมปล่อยมือที่หยิกแก้มของซาอิเอาไว้อยู่
ซาอิที่หลุดพ้นออกมาได้ก็เอามือลูบแก้มที่กำลังแดงก่ำของตนแล้วพึมพำออกมา
「อูย..เจ็บชะมัด เธอนี่แข็งแกร่งไม่เปลี่ยนเลยนะ นี่แอบเข้ามาหยิกฉันได้ยังไงกันเนี่ย ไม่ทันรู้สึกตัวเลย」
「ฉันก็ยืนอยู่ข้างนายมานานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเหมือนกัน ดูเหมือนความเร็วของไมฮิเมะ (องค์หญิงร่ายรำ) จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกนะเนี่ย」
ซิดนีย์พยักหน้าด้วยความชื่นชม ทางอายากะก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
「พอพูดถึงการเปลี่ยนแปลงพัฒนา ดูเหมือนซิดนีย์เองก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิมอีกนะ มีข่าวลือว่าเสียงร้องบรรเลงบทเพลงของนายที่ไพเราะราวกับซาอิเรนได้จับหัวใจของเหล่านักรบธงที่ 6 ไว้อยู่หมัดเลยนี่ ครั้งก่อนที่ฉันเจอกับเออซูร่า เธอก็บอกว่าอยากจะได้ยินเสียงของนายอีกสักครั้งหลังไม่ได้ยินมานานแล้วเหมือนกันนะ」
อายากะส่ายหน้าไปมาเหมือนกับเสียดายแทน
「แต่เรื่องนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเธอติดเรื่องประตูปีศาจอยู่นี่เนอะ เอาเป็นว่าหลังจากไคลอากับเออซูร่ากลับมาแล้วพวกเราค่อยมานั่งดื่มชาด้วยกันดีกว่า」
「น่าสนใจดีนี่ หวังว่าฉันจะได้รับเชิญด้วยนะ นอกจากนี้พอนึกถึงเรื่องที่เธอพูดดูเหมือนจะมั่นใจมากเลยนะว่าไคลอาจะกลับมาอย่างปลอดภัย」
「โซระก็เป็นคนบอกเองนี่ว่าอย่ายุ่งอะไรกับคิจิน นั่นคือเงื่อนไขการปล่อยตัวไคลอา แล้วท่านผู้นำก็พูดเองด้วยว่าโซระมีพลังพอที่จะจัดการเรื่องนั้น ดังนั้นคงฝากฝังคิจินเอาไว้ได้ นอกจากนี้เขาก็ยังเสนอให้โซระมาพบกันที่เกาะ ดังนั้นคงไม่มีเหตุผลให้โซระต้องทำร้ายไคลอาหรอก」
พอได้ยินแบบนั้นซิดนีย์ก็เอียงศีรษะเหมือนสงสัย เพราะน้ำเสียงของอายากะพูดเหมือนกับว่าเธอรู้ข้อเท็จจริงและเรื่องที่จะเกิดขึ้นดีอยู่แล้ว
คำพูดของชิกิบุมันหมายความว่า หากโซระมีพลังในการจัดการกับสิ่งมีชีวิตในตำนานตามที่พูดมาจริง เขาถึงจะยอมปล่อยให้คิจินตนนั้นอยู่กับโซระ
ก็จริงว่าซิดนีย์ไม่ได้คิดจะสงสัยโกซุกับคลิม แต่เขาก็ทำใจเชื่อไม่ได้ทั้งหมดเหมือนกัน ดังนั้นเขาคงพูดออกมาเหมือนกับที่อายากะทำไม่ได้หรอก
นอกจากนี้เขาก็รู้จักกับโซระมานานมากกว่า 5 ปีแล้วด้วยจึงพอจะเห็นความเป็นไปได้นั้นดี
แต่ทำไมอายากะที่รู้เรื่องของเขาแบบเดียวกันกับเธอ ถึงได้เชื่อใจโกซุโดยไม่สงสัยอะไรเลยล่ะ ไม่สิแทนที่จะบอกว่าเธอรู้เรื่องราวทั้งหมดดี ซิดนีย์คิดว่าเธอเชื่อว่ามันเป็นแบบนั้นเสียมากกว่า
แต่แล้วสิ่งที่มาขัดความคิดของซิดนีย์เอาไว้ก็คือเสียงระฆังที่ดังขึ้นมาจากทางตะวันตก
จังหวะที่หนัก 1 ครั้ง จังหวะที่เบาอีก 3 ครั้ง
มันคือการเคาะแบบเข้ารหัสที่หลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านธรรมดาต้องกังวลกับเรื่องที่มีมอนสเตอร์บุกรุกเข้ามาจากทางฝั่งตะวันตก โดยปกติแล้วการโจมตีที่เกิดขึ้นนั้นจะถูกดูแลโดยหน่วยจากธงที่กำหนดเอาไว้ตามจุด ไม่จำเป็นต้องมีการเคาะระฆังเตือน ดังนั้นหากมีการเคาะระฆังเช่นนี้เกิดขึ้นมันก็หมายความว่าจุดนั้นขาดกำลังคนต้องขอกำลังเสริมจากทางหน่วยธงอื่นๆ มาช่วย
「ทางตะวันตกมีธงที่ 8 ดูแลอยู่ จะว่าไปหน่วยนั้นก็มีคนใหม่เข้ามาเยอะเลยนี่นา หากต้องไปรับมือกับฝูงมอนสเตอร์ระดับล่าง 3 แล้วก็ระดับสูงอีก 1 ก็คงเกินมือไปหน่อยแหละมั้ง เอาเป็นว่าทุกคน รีบไปช่วยกันเถอะ」
「รับทราบ」
「เห้อ ยุ่งยากชะมัด」
「ได้เลย」
ซิดนีย์ ซาอิ และ คลิมตอบรับคำสั่งของรากุนะ
ส่วนทางอายากะก็ได้เอาอาภรณ์วิญญาณของเธอออกมาเรียบร้อยแล้ว
「――เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ.」
สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือดาบสีแดงสด โดยบริเวณด้ามดาบมีรูปร่างเหมือนนกที่กำลังสยายปีกอยู่ อายากะทำการจับดาบที่อยู่ในฝักนั้นด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะดึงดาบออกมา
「จงโบยบิน คารูร่า!」
อายากะตะโกนออกมา ทันใดนั้นเองทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนกับนกฟินิกซ์กำลังสยายปีกอยู่
จากนั้นภาพตรงหน้าที่พวกเขาเห็นก็คืออายากะกำลังถือดาบคู่ไว้บนมือทั้ง 2 ของเธอ อาภรณ์วิญญาณที่เธอถืออยู่ได้เปลี่ยนไปเป็นดาบที่เหมือนปีกซ้ายและขวาซึกแยกออกจากกัน นอกจากนี้ร่างกายของเธอยังลอยนิ่งอยู่บนอากาศได้อีกด้วย
มันไม่ใช่การกระโดดขึ้นไปด้วยพลังคิ แต่มันคือความสามารถของอาภรณ์วิญญาณที่ทำให้เธอบินและวิ่งบนท้องฟ้าได้ตามใจปรารถนา อาภรณ์วิญญาณที่ทำให้ผู้ใช้บินได้นั้นคือสิ่งหาได้ยากยิ่งในหมู่อาภรณ์วิญญาณ และอายากะ อาซึระอิก็คือผู้ที่ครอบครองพลังนั้นเอาไว้อย่าง คารูร่า
「ฉันขอนำไปก่อนนะ」
หลังจากบอกกับเพื่อนร่วมรุ่นของเธอเสร็จ อายากะก็โบนบินขึ้นไปบนฟ้าและพุ่งออกไปยังฝั่งตะวันตกราวกับลูกธนู
พอเห็นอายากะหายลับสายตาไปในทันที ซาอิก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาราวกับจะบอกว่ายอมแพ้แล้ว
「ให้ตายสิ เป็นความสามารถที่โกงชะมัด แค่ทักษะดาบของเธอเฉยๆ ก็มากพอแล้วนะ นี่ยังสามารถบินไปมาแล้วโจมตีจากท้องฟ้าได้อีก…แบบนี้ใครมันจะไปเอาชนะได้กัน」
「อย่าบ่นนักเลยน่า นายก็รู้ว่าการควบคุมสิ่งที่ทรงพลังแบบนั้นได้มันยากขนาดไหน คงมีเพียงอายากะเท่านั้นแหละที่สามารถรับมือกับมันได้ ดังนั้นเราก็ใช้ขาที่พ่อแม่ให้มาวิ่งไปกันเถอะ」
「จ้าจ้า จะว่าไปคลิม นายก็อย่าฝืนตัวเองให้มากนักนะเข้าใจไหม เพราะกระดูกของนายพึ่งถูกโซระหักไปนี่นา」
「ไอ้นั่นฉันรักษามันเสร็จแล้วน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก」
「นี่ทั้งสองคน หยุดคุยเล่นกันได้แล้ว ไม่งั้นฉันทิ้งละนะ」
ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรส เหล่ารุ่นทองคำทั้ง 4 ก็เริ่มใช้พลังคิของตนแล้วพุ่งตรงไปยังจุดหมาย
พื้นดินบริเวณนั้นเริ่มแตกร้าวออกมาราวกับไม่สามารถต้านทานพลังคิของทั้ง 4 คนได้
มอนสเตอร์ที่เข้ามาโจมตีเมืองชูโตะในวันนี้ก็คือโครัลเวิร์ม
ก็ตามชื่อของมัน มันคือหนอนที่มีลักษณะคล้ายปะการังหรือจะเรียกว่างูก็ไม่ผิดนัก ทว่าพวกมันไม่มีเกล็ดเท่านั้นเอง โดยใบหน้าของมันมีลักษณะเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณใต้ดินมานานมากแล้วและมีเพียงแค่ปากเท่านั้นที่อยู่บริเวณส่วนใบหน้า ดังนั้นสุดท้ายมันอาจจะเหมือนไส้เดือนมากกว่างู
โครัลเวิร์มนั้นหากเป็นตัวที่อยู่นอกเกาะ ช่วงโตเต็มวัยมันจะสูงราวๆ 2 เมตร และพวกมันอาศัยอยู่บริเวณใต้ดิน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะปรากฏออกมาให้คนให้เห็น
แต่หากเป็นพวกที่ได้รับอิทธิพลจากประตูปีศาจ ร่างโตเต็มวัยของพวกมันจะอยู่ที่ 5 เมตรและมักจะขึ้นมาบนผืนดินเพื่อหาอาหารเสมอ
หนอนพวกนี้หากให้นับก็คงจะอยู่ในสายพันธุ์เดียวกับมังกร ไม่ต่างอะไรกับไวเวิร์นดังนั้นความสามารถในการฟื้นฟูของมันก็คงไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการโครัลเวิร์มที่โตเต็มวัยลงได้ เพราะแค่ตัวขนาดเล็กนักรบของธงแห่งผืนป่าก็ตึงมือแล้ว ถึงพวกเขาจะพยายามเผา แช่แข็ง หรือฟันมันขาดครึ่งก็ไม่อาจจะหยุดพวกมันได้โดยง่าย
ด้วยเหตุนี้เองหากเป็นโครัลเวิร์มที่โตเต็มวัย การจัดการกับมันจึงต้องใช้ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณจำนวนมากรับมือ
แต่สำหรับวันนี้ ของแบบนั้นไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย เพราะอายากะ อาซึระอิสามารถรับมือกับพวกมันทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว
พวกหนอนจำนวนมากที่ถูกอาภรณ์วิญญาณของอายากะฟัน ไม่สามารถใช้พลังในการฟื้นฟูร่างของตนเองได้เลย และตายลงไปอย่างง่ายดายต่างจากที่ควรจะเป็น
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะความสามารถอาภรณ์วิญญาณของอายากะ
คารูร่าคือจิตวิญญาณแห่งจ้าวเวหาในยุคแห่งทวยเทพและเป็นศัตรูตามธรรมชาติของเหล่ามังกรทั้งหมด
ฉายาของมันคือผู้กลืนกินมังกร สิ่งมีชีวิตที่ล่าและสังหารมังกรที่ชั่วร้ายซึ่งเป็นภัยต่อมนุษยชาติ
——–
Note 1 : คารูร่าก็พญาครุฑนั่นแหละ ว่าแต่โซระแพ้ทางอายากะตรงๆเลยนี่หว่า
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code