การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 114 เรื่องราวบทย่อย

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 114 เรื่องราวบทย่อย

 

—บทแรก การประสานอันลึกลับ—

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในจักรวรรดิแอด แอสเทอร่า ได้มีนักบวชหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอยู่คนหนึ่ง

 

แม้ว่าเขาจะยังหนุ่ม แต่เพราะความเมตตาที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมของเขาก็ทำให้เขาเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนมากหน้าหลายตา

 

นอกจากนี้เขายังมีความสามารถในด้านเวทมนตร์และศาสตร์การใช้คทา ที่มีความพยายามในการจัดการกับพวกเหล่าปีศาจร้ายที่เข้ามารบกวนโลกใบนี้

 

อยู่มาวันหนึ่ง นักบวชผู้นี้ก็ได้เดินทางออกจากบ้านเกิดของตน โดยปลายทางนั้นคือเกาะลึกลับซึ่งเต็มไปด้วยความแค้นมากว่า 300 ปี

 

เกาะดังกล่าวนั้นมีสิ่งที่ถูกเรียกกันว่าประตูปีศาจที่เชื่อกันว่าอีกฟากคือโลกของพวกมอนสเตอร์ หากเขาสามารถปิดประตูปีศาจนี้…ไม่สิ แค่ปิดมันยังไม่เพียงพอ หาเขาสามารถทำลายประตูปีศาจนี้ลงได้ ต้นตอแห่งความชั่วร้ายก็จะหายไป มนุษยชาติก็จะถูกช่วยเหลือ นักบวชหนุ่มที่คิดได้เช่นนั้นก็ได้เดินเข้าไปยังเกาะอสูรยักษ์

 

หลังจากการต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักบวชผู้นั้นก็ได้เข้าถึงวิชามายาดาบเดียว นอกจากนี้ก็ยังได้เข้าพิธีรับตำแหน่งเป็นสมาชิกของธงทั้ง 8 แห่งผืนป่า

 

นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้อุทิศตนให้กับหน้าที่ของตนโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำจนได้รับความไว้วางใจจากคนรอบตัวและในที่สุดเขาก็พบเจอกับภรรยาของเขาซึ่งอาศัยอยู่ในที่แห่งนั้นด้วย ช่วงเวลาของเขาช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขทั้งชีวิตส่วนตัวและการงาน ช่วงเวลาของนักบวชผู้นี้ก็ได้ดำเนินไปเรื่อยๆ 1ปี 2ปี 3ปี

 

ทว่าถึงเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใดนักบวชผู้นี้ก็ไม่อาจจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดของตนที่ต้องการทำลายประตูปีศาจลงได้ แต่ความสำรวจอย่างอื่นของเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่มองข้ามได้ เพราะเขาได้รับความไว้วางใจและเคารพจากคนรอบตัวเป็นอย่างมาก ภรรยาที่อยู่เคียงข้างเขาก็เป็นหญิงสาวที่อ่อนโยน นิสัยด สำหรับคนอื่นแล้วก็มองว่าเขาคือคนที่มีชีวิตคู่ที่น่าอิจฉา ตัวนักบวชเองก็มีความสุขไม่ต่างกัน

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปได้หลายปีตั้งแต่ที่เขาอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ความรู้สึกแปลกๆ ก็เกิดขึ้นมาในใจของนักบวช

 

นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถเข้าถึงสุดยอดวิชาของมายาดาบเดียวอย่าง อาภรณ์วิญญาณได้นั่นเอง

 

นักบวชผู้นี้คือคนที่มาจากนอกเกาะ ก็คงไม่แปลกอะไรนักหากเขาจะไม่สามารถตามผู้ที่เกิดบนเกาะและเรียนวิชามายาดาบเดียวตั้งแต่อายุ 13 ได้ทัน

 

ทว่าเขาก็ไม่อาจจะยอมรับได้กับคนที่เดินทางเข้ามายังเกาะนี้ในเวลาเดียวกันหรือหลังจากเขา คนเหล่านั้นต่างก็ได้รับอาภรณ์วิญญาณมากันหมดแล้ว

 

หากเป็นคนที่มีพรสวรรค์และความพยายามมากกว่านักบวช เขาก็พอจะยอมรับมันได้ แต่ว่าคนที่มีทุกอย่างด้อยกว่าเขาก็ยังสามารถได้รับอาภรณ์วิญญาณมาได้นี่สิ

 

ก็จริงว่าทั้งความสามารถในการต่อสู้และเวทมนตร์นักบวชผู้นี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของธงทั้ง 8 แต่นั่นก็คือในกรณีที่ไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณในการต่อสู้

 

แต่ก็นั่นแหละ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้

 

 

แล้วอาภรณ์วิญญาณมันคืออะไรกันแน่ล่ะ? พลังของอนิม่าที่เกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา

 

ถ้างั้น แล้วอนิม่าคืออะไรล่ะ?

 

หากที่เขารู้มามันก็คือตัวตนอีกตัวตนหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ นั่นแหละคืออนิม่า แต่ว่าทำไมเขาถึงสัมผัสมันไม่ได้กันล่ะ จะทำสมาธิหรืออดอาหารบำเพ็ญอะไรมากขนาดไหน ตัวตนอีกตัวตนหนึ่งก็ไม่ปรากฏออกมาให้เห็นกระทั่งเงา เสียงของมันเขาก็ไม่เคยได้ยิน

 

หากยังเป็นช่วงที่เขาหนุ่มๆ ถึงจะไม่มีอาภรณ์วิญญาณเขาก็ยังสามารถยืนอยู่แนวหน้าและใช้ความสามารถของเขาในการต่อสู้ได้

 

แต่สำหรับเขาที่จะย่างเข้า 40 แล้วความเสื่อมโทรมของร่างกายซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ปรากฏให้เห็น ร่างกายของนักบวชผู้ผ่านศึกหนักมาตั้งแต่วัยเยาว์ อาจจะเป็นตัวเร่งในความเสื่อมนี้ก็ได้

 

ด้วยเหตุผลเหล่านี้นี่เองจึงทำให้เขาไม่สามารถสู้ในแนวหน้าได้เหมือนเดิม แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ละทิ้งความพยายามและสนับสนุนพวกพ้องของเขาจากแนวหลังในฐานะจอมเวท ในตอนแรกเขาก็ไม่คิดหรอกว่าแนวหน้ากับแนวหลังจะต่างอะไรกันมากนัก แต่เพราะเกาะแห่งนี้มันต่างจากที่อื่น พวกมอนสเตอร์สามารถปรากฏออกมาได้ทุกหนแห่งตลอดเวลาและจอมเวทที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้สุดท้ายก็เป็นได้เพียงอุปสรรคของพวกพ้อง

 

ถึงจะเห็นขีดจำกัดของตนเองแล้ว นักบวชก็ยังคงดิ้นรนที่จะอยู่ในธงแห่งผืนป่าต่อไป จนทำให้ภรรยาของเขาเปิดปากพูดขึ้น

 

ไม่เห็นจำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นเลยนี่คะ คุณก็สู้และพยายามอย่างหนักมาตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว บางทีมันคงถึงเวลาที่คุณต้องพักแล้วค่ะ ถอยห่างจากแนวรบแล้วหันมาเลี้ยงดูเหล่าคนรุ่นหลังให้เติบใหญ่แทนจะดีกว่าไหม?

 

พอนักบวชได้ยินเธอพูดแบบนั้นเขาก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก

 

มันคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ตัวเขาเองก็เคยถามกับตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ต้องพยายามปัดมันออกไปด้วยความคิดที่ว่าตนอยากจะทำลายประตูปีศาจให้จงได้

 

หากคนที่พูดออกมาเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของเขา เขาก็คงจะปล่อยผ่านอยู่หรอก

 

แต่ว่าคำพูดนี้กลับออกมาจากปากของภรรยาเขาที่คอยสนับสนุนเขามาโดยตลอด เขาจึงไม่สามารถให้อภัยเธอได้ เขารู้สึกเหมือนกับว่าความพยายามและความทะเยอทะยานของเขาถูกปฏิเสธโดยคนที่ไว้ใจที่สุดจนไร้ความหมายไป

 

วันนั้นเองที่เป็นวันแรกในชีวิตคู่แต่งงานของนักบวชที่เขาได้ลงไม้ลงมือกับภรรยาของตัวเอง

 

และในวันเดียวกันก็เป็นวันที่นักบวชได้ยินเสียงของอนิม่าซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งในจิตใจของเขาดังขึ้น นี่คือครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของธงทั้ง 8 แห่งผืนป่า

 

อนิม่าคือตัวตนอีกตัวตนหนึ่งในส่วนลึกของจิตใจ แก่นแท้อันเปลือยเปล่าที่บริสุทธิ์และไม่อาจถูกปรุงแต่งได้ด้วยสิ่งใด

 

ตัวตนในอุดมคติซึ่งไล่ตามความฝันและฝึกฝนอย่างมุ่งมั่น ไม่ใช่สิ่งที่อนิม่าต้องการ

 

ตัวตนของอนิม่านี้มีความบิดเบี้ยวและน่าเกลียดน่ากลัว ตัวตนที่บริสุทธิ์และใช้ชีวิตอย่างชอบธรรมจึงไม่อาจเข้าถึงมันได้

 

การผสานกันจะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อการดำรงอยู่ของทั้งสองเข้ากันได้เป็นอย่างดี นั่นแหละคืออนิม่า

 

 

—บทสอง กลยุทธ์—

「ยินดีต้อนรับกลับนะ ไคลอา」

 

ไคลอาเดินผ่านเข้ามาภายในประตูบ้านเพื่อจะตรงเข้าไปยังภายในอาคารด้วยท่าทีที่ดูอ่อนแรงไม่มั่นคง ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังไหล่ของเธอ ทันทีที่เธอได้ยินเสียงนั้น ไหล่ของเธอก็สั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ไคลอารีบหันไปหาต้นเสียงด้วยความรีบร้อน และแล้วเธอก็ได้เห็นชายคนหนึ่งซึ่งกำลังเอาไหล่ของตนพิงกำแพงราวกับรอการกลับมาของเธอและยิ้มให้เธออยู่ ซึ่งก็คือผมเองแหละ

 

 

「คุณโซระนี่เอง…」

 

 

「หืม หน้าเธอดูซีดๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่า?」

 

พอได้ยินแบบนั้น ใบหน้าที่ซีดเซียวของไคลอาก็ซีดหนักขึ้นไปอีก ทั้งความกลัวและความหวาดระแวงได้เกิดขึ้นมาในดวงตาสีแดงของเธอ

 

ผมแสยะยิ้มอีกครั้ง

 

――ถึงท่าทางการแสดงของผมจะทำเป็นเหมือนรู้ทุกอย่างอยู่แล้วก็เถอะ แต่บอกกันตามตรงมันก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง

 

ที่ผมรู้ก็คือมีคนน่าสงสัยแทรกซึมเข้ามาในเมืองอิชกะหลังเกิดเรื่องของจินโบในคราวก่อน สายตาของดยุกดรากูนอทที่จับตามองจักรวรรดิกับข่าวสารที่ได้มาจากสหภาพมีส่วนช่วยผมได้เยอะเลย

 

หากเป็นพวกสายลับมืออาชีพก็อาจจะหลบพ้นสายตาพวกเขาได้อยู่หรอก แต่นักรบของเกาะถ้าให้ว่ากันตามตรง เขาถูกฝึกมาให้เป็นนักรบไม่ใช่สายลับสักหน่อย

 

ดังนั้นผมก็เลยพอจะรู้การเคลื่อนไหวคร่าวๆ ของพวกเขา

 

แต่ปัญหาก็คือผมไม่รู้ว่าพวกนั้นจะติดต่อกับไคลอาตอนไหน

 

ถึงผมจะบอกว่าพวกเขาไม่ได้ฝึกมาเพื่อเป็นสายลับก็จริง แต่ถ้าผมเอาแต่จับตามองการเคลื่อนไหวอยู่ในเมืองยังไงพวกเขาก็รู้สึกตัวได้ แถมถ้าพวกเขาระวังตัวกันมากกว่าเดิม แผนการของผมก็จะยุ่งยากขึ้นไปด้วย

 

ดังนั้นผมก็เลยปล่อยให้พวกเขาทำตามที่อยาก แล้วเป้าหมายเดียวที่ผมต้องจับตามองก็มีเพียงแค่ไคลอา หากเขาทำการติดต่อเธอแล้วยังไงเดี๋ยวท่าทีของเธอก็แสดงออกมาให้เห็นเองแหละ

 

 

แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่เธอจะหนีไปก็มีอยู่หรอก แต่ด้วยหน้าตาของเธอแล้วคนที่ประตูเมืองก็คงจะสังเกตเห็นได้ไม่ยาก และถึงเธอจะแอบหนีออกไปได้จริงโดยไม่ผ่านประตูเมือง ผมก็มั่นใจว่าผมสามารถตามเธอได้ทันก่อนที่เธอจะกลับถึงเกาะ หากผมใช้พลังทั้งหมดที่มี

 

ผมก็ยืนคิดแบบนั้นแหละระหว่างรอให้ไคลอากลับมา

 

และพอได้เห็นไคลอาทำหน้าซีดทันทีที่เห็นผมแบบนี้ เห้อ ไม่ไหวเลยนะไคลอา เบิร์ช สีหน้าเธอมันฟ้องหมดแล้ว ผมเชื่ออย่างหมดใจเลยว่าคนที่เกาะต้องมาติดต่อกับเธอแล้วแน่ๆ

 

อาจจะด้วยเหตุผลที่ไคลอามาจากตระกูลเบิร์ช ไม่ก็เธอเป็นถึงหนึ่งในรุ่นทองคำที่ถูกคาดหวังจากผู้คนบนเกาะ พอต้องมาตกอยู่ในสถานะตัวประกันแบบนี้ เธอก็เลยไม่สามารถเก็บอาการอะไรได้ง่ายด้วยมั้ง

 

เอาละ ที่นี้ก็มาพูดถึงสิ่งที่ผมบอกกับโกซุและคลิมไปหน่อยแล้วกัน

 

 

『อย่างแรกเลยคือ ผมจะส่งตัวโกซุกับคลิมไปที่เกาะแล้วเอาเรื่องที่ผมต้องการไปแจ้งกับคนบนเกาะ ส่วนความต้องการที่ว่าก็คือเรื่องของซูซูเมะ ผมต้องการดูแลซูซูเมะด้วยตัวผมเองและขอให้ทางตระกูลมิตสึรุกิสาบานว่าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้อีกต่อไป』

 

『ไคลอาจะถูกจับเป็นตัวประกันต่อไปจนกว่าคำสาบานจะลุล่วง แน่นอนว่าหากผู้นำตระกูลปฏิเสธผม พวกเขาก็ต้องเตรียมรับผลที่ตามมา ในกรณีที่พวกเขาคิดจะทำร้ายคนรอบตัวผมก็ด้วย』

 

พ่อของผมก็ส่งจดหมายมาเพียงแค่ว่า “หากต้องการจะให้ฉันปล่อยคิจินนั่นไว้กับแก ก็มาที่เกาะแล้วแสดงความแข็งแกร่งของแกให้เห็นสิ” ไอ้ของแบบนั้นมันก็ไม่เพียงพอจะเป็นเหตุผลให้ผมปล่อยไคลอาซะด้วย

 

 

หากทางเกาะพยายามจะพาตัวไคลอากลับไปในสถานการณ์เช่นนี้ ผมก็คงต้องตอบโต้ไปตามสมควร นั่นเลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ใบหน้าของไคลอาที่ซีดเซียวไป

 

แต่ว่าสิ่งที่ผมบอกไปตอนนั้น ผมไม่ได้บอกให้ชัดด้วยนี่เนอะ ว่าอย่าส่งนักรบของทางนั้นมาที่นี่เลยสักคนเดียว บางทีพวกนั้นอาจจะตอบกลับมาก็ได้ว่าที่ส่งมาก็แค่อยากจะยืนยันความปลอดภัยของตัวไคลอาเฉยๆ ก็ได้ หากเป็นแบบนั้นผมก็จะตอบโต้อะไรได้ยากด้วย ถึงที่พวกนั้นพูดมามันจะดูเหมือนโกหกก็เถอะ

 

ก็จริงว่า ผมสามารถจัดการคนที่เขาส่งมาให้จบๆ ไปโดยไม่ต้องไปสนอะไรก็ได้

 

เพราะยังไงหากเป็นคนของเกาะแล้วละก็ การกระทำของพวกเขาทั้งหมดที่แสดงออกมามันก็มีแค่อยากพาตัวไคลอากลับไปแน่ๆ ด้วยเรื่องนี้ผมน่าจะฆ่าคนพวกนั้นให้หมดแล้วใช้มันเป็นข้ออ้างในการกินวิญญาณของไคลอาด้วยก็ไม่เลว

 

แต่ว่า เรื่องนั้นผมขอยกยอดไว้ก่อนแล้วกัน เพราะผมทำแน่หากพฤติกรรมของเธอในอนาคตมันเปลี่ยนไป

 

ยังไงเรื่องที่ต้องจัดการก็กองพะเนินอยู่เยอะเลย ตอนนี้ไคลอาก็ทำหน้าที่ในฐานะตัวประกันได้ดีด้วย เธอตระหนักถึงสิทธิ์ต่างๆ และความผิดของตัวเองได้เป็นอย่างดี ดังนั้นก็คงไม่ต้องพยายามฝืนให้เธอแหกกฏอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง

 

เหนือสิ่งอื่นใดเลย

 

คือจากที่ผมเห็นไคลอาซึ่งเป็นคนเอาจริงเอาจัง คงจะเปิดปากพูดขึ้นมาและยอมรับความผิดของตนกับผมเองแน่หากเธอผิดคำสัญญาเข้า

 

ดังนั้นผมก็คือต้องรอให้ไคลอาเดินไปตามทางนั้นเอง แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม

 

 

「เป็นอะไรไป?เธอไปเจออะไรในเมืองเข้าหรือไง อะไรกันน้อที่จะทำให้นักรบแห่งผืนป่าแสดงใบหน้าแบบนี้ออกมาได้?」

 

「…เรื่องนั้น…」

 

เธอไม่รู้หรอกว่าผมมีข้อมูลมากขนาดไหน ดังนั้นไคลอาจึงแสดงสีหน้าปั้นยากออกมา

 

จากมุมของเธอแล้ว เธอคงจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกต้อนให้จนมุม เธอไม่รู้ว่าควรจะโกหกแล้วหาข้ออ้างอะไรมาบอกผมดี หรือเธอควรจะทรยศตระกูลแล้วบอกความจริงทุกอย่างกับผม แต่ไม่ว่าจะทางไหนตำแหน่งที่ไคลอายืนอยู่ตอนนี้ก็คือปากเหวทั้งคู่

 

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอยังคงเงียบไม่พูดอะไรออกมา ความกังวลแบบนี้แหละคือสิ่งที่ผมกำลังต้องการเลย ผมหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานอีกครั้ง

 

 

「ไม่พูดฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ฉันจะจำเอาไว้แล้วกันว่าเธอเลือกที่จะเงียบ」

 

「อึก…」

 

ความกังวลได้ก่อตัวขึ้นในดวงตาของเธอ

 

หากเธอยังเลือกที่จะเงียบต่อไปแม้จะรู้แผนการทั้งหมดอยู่แล้ว ก็เหมือนกับการร่วมมือดีๆ นั่นแหละ หลังจากที่ผมจัดการกับพวกนั้นเสร็จผมก็ใช้ข้ออ้างนี้ในการจัดการไคลอาได้ด้วย

 

ผมบอกอีกทีแล้วกันว่าผมก็ไม่รู้หรอกว่าไคลอาไปทำอะไรมาบ้างวันนี้ ดังนั้นผมก็คงจะไปทำโทษอะไรเธอตรงๆ ไม่ได้หรอก หากไคลอาบอกว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ผมก็ทำอะไรต่อไม่ได้ แต่ว่าพอเห็นใบหน้าท่าทางของเธอตอนนี้แล้วบอกได้เลยว่าหลักฐานมันชัดเจนจนหนีไม่พ้น

 

เห้อให้ตายสิ ดูเหมือนผมจะได้กินวิญญาณของพวกนักรบแห่งผืนป่าเร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ

 

—บทสาม เรื่องที่ไม่มีใครรู้จาก ไคลอา เบิร์ช—

 

「ไม่พูดฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ฉันจะจำเอาไว้แล้วกันว่าเธอเลือกที่จะเงียบ」

 

「อึก…」

พอได้ยินคำพูดนั้นขอโซระ ไคลอาก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอันเจ็บปวดออกมา เธอรู้ตัวดีว่ากำลังอยู่ในสถานะไหน

 

เฮจิน นักรบจากธงที่ 4 ที่เธอเจอก่อนหน้านี้ ไม่ผิดแน่ว่าเขาต้องการจะโจมตีโซระ หากเธอยังเลือกที่จะนิ่งเงียบต่อไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับให้ความร่วมมือพวกเขา

 

หลังจากจบเรื่องนี้โซระก็น่าจะใช้เหตุผลดังกล่าวในการต้อนเธอให้จนมุม และเธอก็ไม่สามารถต่อต้านอะไรได้

 

เพื่อจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น เธอก็ควรจะบอกแผนของเฮจินทั้งหมด แต่หากเธอเลือกทางนั้นเธอก็จะกลายเป็นคนทรยศในทันที ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถตัดสินใจได้โดยง่าย

 

ราวกับกำลังเจอทางตัน

 

แต่แล้ว ไคลอาก็พบกับทางเลือกที่ 3

「คุณโซระ มาฝึกกันเถอะค่ะ!」

 

「……………หา?」

 

พอไคลอาบอกคำขอของเธอไป สีหน้าของโซระก็เปลี่ยนไปเหมือนนกพิราบที่โดนดีดถั่วใส่ วิธีการกะพริบตาราวกับไม่เข้าใจเรื่องราวชวนทำให้นึกถึงโซระคนเก่าที่เธอรู้จัก

 

จากนั้นสักพัก โซระก็ขมวดคิ้วก่อนจะถามด้วยความสับสน

「ฝึกหรือ ตอนนี้อ่ะนะ?」

 

「ค่ะ!」

 

「…」

 

โซระหรี่ตาลงอีกครั้งราวกับต้องการประเมินสถานการณ์

 

ไคลอาก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับโซระอีกครั้งโดยการจ้องมองไปยังเขาและพูดขึ้น

「ฉันจริงจังนะ มาฝึกโดยใช้อาภรณ์วิญญาณกันเถอะค่ะ」

 

พอได้ยินแบบนี้ โซระก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ไม่นานนักเขาก็เริ่มเข้าใจเจตนาของเธอ และหัวเราะออกมา

「อ้อแบบนี้นี่เอง กะเอางี้เลยสินะ」

 

ไคลอาก็ทำได้เพียงจ้องมองโซระที่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขด้วยสีหน้าที่จริงจัง

 

ที่ผ่านมาไคลอาก็ได้ฝึกฝนกับโซระมาหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขายังไม่เคยใช้อาภรณ์วิญญาณปะทะกันมาก่อน ไม่สิจะให้พูดต้องบอกว่าไคลอาใช้อาภรณ์วิญญาณฝึกกับโซระมาตลอด แต่ทางโซระต่างหากที่ไม่เคยใช้อาภรณ์วิญญาณของเขาในการฝึกกับเธอเลย

 

อาภรณ์วิญญาณของโซระคือการกลืนกินพลังของผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่ไคลอารู้มาจากการต่อสู้เมื่อก่อน

 

ไคลอาไม่ใช่พวกขี้ลืมอยู่แล้วด้วย เธอก็เลยรู้ว่าทำไมโซระถึงไม่เอาอาภรณ์วิญญาณของตัวเองออกมาใช้ระหว่างฝึก ในเมื่อไคลอาทำตัวในฐานะตัวประกันที่ดี โซระก็คงไม่มีเหตุผลที่ต้องทำให้เธอบาดเจ็บหนักโดยไม่จำเป็น

แต่ตอนนี้ไคลอาคือคนที่ขอให้เขายกเลิกข้อจำกัดนั้นไปด้วยความสมัครใจ

 

หากเป็นคนที่รู้ถึงระดับของทั้งคู่ก็คงจะบอกว่า การกระทำของไคลอาก็ไม่ต่างอะไรกับขอให้โซระกลืนกินพลังของเธอเลยสักนิด

 

แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าถูกเขาจัดการแล้วกลืนกินเพราะผิดสัญญาที่ให้ไว้

 

นอกจากนี้หากไคลอาและโซระฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง พวกนักรบจากธงที่ 4 ก็ต้องสัมผัสได้แน่ๆ

 

พวกธงที่ 4 คือหน่วยที่ได้รับภารกิจให้ทำงานนอกเกาะ ซึ่งจะให้พูดก็เหมือนกับพวกที่ถูกทิ้งต่างจากธงที่เหลือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาและไคลอาซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นทองคำ หากให้เทียบก็คงเป็นสวรรค์กับผืนดิน

 

ส่วนความแตกต่างของพลังระหว่างเธอกับโซระ ให้พูดตามตรงเธอก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ

 

หากพวกเฮจินสัมผัสได้ถึงการปะทะกันของไคลอากับโซระ พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าพลังคิที่โซระปล่อยออกมาได้มันรุนแรงขนาดไหน แล้วคงได้รับรู้เสียทีว่าโซระไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอาชนะได้ ไม่สิไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนเธอก็ต้องทำให้พวกเขายอมแพ้ให้ได้

 

นี่แหละคือเหตุผลที่เธอต้องการจะฝึกกับโซระในตอนนี้เลย

สิ่งที่เธอกังวลก็คงจะเป็นเรื่องที่โซระอาจจะปฏิเสธ ซึ่งเธอก็ทำอะไรต่อไม่ได้ จะให้เธอชักอาภรณ์วิญญาณออกมาแล้วไปโจมตีเขาตรงๆ ก็ไม่ได้อีก

「ว่ายังไงคะ ก็จริงอยู่ว่าตอนนี้ฉันเป็นตัวประกันคงไม่มีสิทธิ์อะไรไปบังคับคุณ แต่ว่า…」

 

「ก็แน่สิ ฉันอยู่ในตำแหน่งที่อยากจะทำอะไรกับเธอก็ได้อยู่แล้ว แถมฉันก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำขอของเธอด้วยนะ」

 

ไคลอากัดริมฝีปากทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่โซระก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มต่อ

 

「แต่เอาเถอะ ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ บอกตามตรงนะว่าครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายชนะ ไคลอา…ทำได้ดีเลยนี่」

 

「ถ้างั้น!」

 

「เอาสิ มาฝึกโดยใช้อาภรณ์วิญญาณกัน ยังไงความสามารถของฉันก็มีโกซุที่รู้ไปแล้วด้วย ไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบังอีก――เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ」

 

พอสิ้นเสียงนั้น ดาบสีดำก็ปรากฏขึ้น ความมืดมิดของมันช่างดำมืดยิ่งกว่าค่ำคืน

 

แม้ว่าเขาจะยังไม่ชักดาบออกมาจากฝัก ความกดดันมันก็มากพอจะทำให้ร่างของเธอเกือบแตกสลายได้แล้ว

「เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ」

 

ทางไคลอาเองก็เค้นพลังทั้งหมดที่มีอยู่และเรียกอาภรณ์วิญญาณดาบยาวสีหยกของเธอออกมา

 

ถึงแม้จะเป็นแค่การฝึกฝนแต่มันก็สร้างภาระให้กับอนิม่าของไคลอาเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาว่าดาบของเธอนั้นกำลังสั่นราวกับต้องการประท้วงการกระทำของเธอ

ทางไคลอาก็ทำได้เพียงแค่ขอโทษอนิม่าของเธออยู่ในใจ จากนั้นก็ชักดาบออกมาโดยไม่มีความลังเล

「จงปรากฏ คุซานางิ!」

「จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์!」

 

อาภรณ์วิญญาณทั้งสองได้ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

 

ประกายแสงสีดำและเขียวได้ลุกโชนขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองอิชกะ

 

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน