การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 115 ซาร่าและอิเรีย

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 115 ซาร่าและอิเรีย

 

วันนี้ผมได้รับคำขอร้องพิเศษมาจากนักบวชซาร่า

 

เธอขอให้ผมพาเธอกลับไปที่หมู่บ้านเมลเทในวันพรุ่งนี้ ก็นะก่อนหน้าผมก็พาเธอมาที่นี่แกมบังคับด้วยสิ จะปฏิเสธก็คงไม่ได้

 

เอาเถอะ สถานการณ์หลายๆ อย่างมันก็เปลี่ยนไปแล้วด้วย ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหากผมจะพาเธอกลับไปที่หมู่บ้าน

 

 

พิษที่แพร่กระจายไปทั่วก็หยุดลงเพราะไฮดราได้ตายไปแล้ว ยารักษาก็มีความคืบหน้าไปเยอะมาก หากอ้างอิงตามที่มิโรสลาฟบอกมันก็คงจะเกี่ยวข้องกับเลเวลของผมที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อาการที่จะกลับมาในทุกๆ 3 วันก็ถูกแก้ไขไปแล้วด้วยจนเกือบจะหายขาด

 

พอเป็นแบบนี้แล้วปัญหาที่เลือดไม่พอใช้ในการผลิตก็ลดลงไปด้วย จนทำให้ยารักษามีมากพอที่จะช่วยพวกชาวบ้านนอกเหนือจากอิเรียได้

 

แต่ที่ผมใช้คำว่าเกือบก็ตามความหมายของมันนั่นแหละ เพราะไฮดรามันตายได้ยังไม่ถึงเดือนเลย ผมก็เลยไม่รู้ว่าอาการของโรคมันจะกลับมาอีกไหมในระยะยาวหากผ่านไปสักเดือนหรือสองเดือน

 

เอาเป็นว่า เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี่แหละเลยทำให้นักบวชซาร่าไม่จำเป็นต้องคอยดูแลลูกสาวของเธอตลอดเวลาแล้ว นอกจากนี้พวกผู้ป่วยที่ยังทรมานกับโรคนี้ก็ใช่จะมีแค่อิเรีย เธอคงเป็นห่วงคนเหล่านั้นขึ้นมาก็เลยขอให้พาเธอกลับไปที่หมู่บ้าน

 

หากขี่คราว โซราสไปก็คงจะใช้เวลาสักครึ่งวัน นอกจากนี้ปัญหาของไคลอาก็ถูกแก้ไปแล้วด้วย พวกผมก็เลยมีเวลาที่จะออกไปไหนมาไหนได้มากขึ้น

 

ข้อกังวลเดียวของผมที่มีตอนนี้ก็คือนักบวชซาร่าจะกลับไปที่หมู่บ้านเมลเท เพราะเรื่องพิษที่ไม่มีทางรักษาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ผมก็เลยไม่มีเหตุผลจะหยุดเธอได้อีก

 

พอผมเริ่มไม่สบายใจที่เธอบอกแบบนั้น ต่อมาเธอก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นเพราะเธอบอกว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่ไปยังหมู่บ้าน นั่นก็หมายความว่าเธอจะต้องกลับมาที่บ้านของผมอีกแน่ แต่ให้ตายสิอยากจะให้เธอลงหลักปักฐานที่นี่ไปเลยจริงๆ

 

ตั้งแต่นักบวชซาร่ามาที่นี่เธอก็รับหน้าที่ในการทำอาหารให้กับคนที่บ้านนี้แถมยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเสียอีก ถึงขนาดไคลอาที่มาอยู่ได้ไม่นานต้องขอร้องให้เธอทำอาหารเพิ่ม

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนอื่นๆ ก็คงจะคิดแบบเดียวกันและยินดีหากจะได้ทานอาหารของเธอไปอีกสักพัก

 

เอาเป็นว่าพอตัดสินใจกันได้แล้ว ผมก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง

 

พอคิดๆ ดูหัวใจผมก็เต้นขึ้นมาเลยแฮะ เพราะการเดินทางไปยังหมู่บ้านเมลเทด้วยคราว โซราส มันก็หมายความว่าผมจะได้นั่งบนอานเดียวกันกับนักบวชซาร่าอย่างเป็นธรรมชาติน่ะสิ ได้ใกล้เธอขนาดนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง นี่มันโอกาสที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ นะเออ

 

 

พอผมจะไปกันแล้ว เจ้าพวกเด็กๆ ก็โวยวายกันขึ้นมาซะงั้น แต่ผมก็ไม่สนหรอกหุหุ

 

ทันทีที่ผมได้รับคำตอบจากนักบวชซาร่าเสร็จผมก็รีบไปเตรียมการอะไรให้เรียบร้อย สำหรับการเดินทางสองต่อสอง อานบนหลังของคราว โซราสก็จัดการเสร็จแล้วด้วย

 

 

「หากต้องการเราสามารถเดินทางกันได้เลยนะครับ 」

 

 

「โถ่ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันยังเตรียมไก่นี่ไม่เสร็จเลย..… 」

 

นักบวชซาร่ากล่าวขอโทษออกมา ก่อนจะบอกว่าเธอแค่ถามผมเฉยๆ ว่าเป็นไปได้ไหมที่จะกลับพรุ่งนี้ ดังนั้นไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้

 

ผมก็เลยบ่นอะไรไม่ได้ แต่ก็แอบสงสัยในคำพูดของเธอ

 

「…ไก่เหรอครับ? 」

 

「พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบการตายของสามีฉันค่ะ เขาชอบไก่ต้มเกลือ ฉันเลยเอามันมาเซ่นไหว้ที่หลุมฝังศพของเขาทุกปี 」

 

 

「อ๋อ…ที่แท้ก็..แบบนี้นี่เอง 」

 

ผมเผลอพูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา ราวกับว่าคำพูดของเธอมันเหมือนลิ่มที่ตอกไปยังความคิดชั่วๆ ของผม เอาน่าเรื่องบังเอิญแหละๆ

 

ผมจึงกระแอมขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนไป

 

 

「หากเป็นแบบนี้ พาอิเรียไปด้วยจะไม่ดีกว่าเหรอครับ? 」

 

 

「เรื่องนั้น ตอนที่เธอออกจากหมู่บ้านไปเป็นนักผจญภัย เธอบอกกับพ่อของเธอไว้ค่ะ ว่าเธอจะไม่มาให้พ่อของเธอเห็นอีกเด็ดขาดจนกว่าจะทำตามสัญญานั้นได้สำเร็จ 」

 

 

นักบวชซาร่ากล่าวพร้อมกับวางมือไว้บนแก้มของเธอเหมือนเป็นกังวล

 

เธอไม่ได้บอกผมถึงเนื้อหาสัญญาของพวกเขา แถมผมก็ไม่ถามต่อด้วย เธอเป็นแม่ของอิเรีย ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เธอจะเอามันไปบอกคนอื่น นอกจากนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกสมควรซักไซ้กับเธอด้วย พวกผมเลยเห็นตรงกันแบบนี้แหละ

 

บทสนทนาของพวกผมก็เลยจบลงตรงนี้ จากนั้นผมก็เลยไปถามกับอิเรียด้วยตัวเองแทน เธอบอกกับผมว่าเธอสัญญากับพ่อของเธอไว้ว่าเธอจะกลับไปหาเขาอีกครั้งก็ต่อเมื่อเธอกลายเป็นนักผจญภัยระดับ 4 เหมือนกับพ่อของเธอ

 

นอกจากนี้ในอดีตนักบวชซาร่าก็เป็นนักผจญภัยระดับ 4 เช่นเดียวกัน

 

…ผมก็มักจะลืมอยู่เสมอว่านักบวชซาร่าที่มีบุคลิกอ่อนโยนเช่นนี้แหละคือคนที่สอนทั้งเวทมนตร์และศาสตร์การต่อสู้ให้กับอิเรียด้วยตัวเอง

 

แต่ในจินตนาการของผมก็ต้องบอกเลยว่า ท่าทางของเธอที่ดูสงบและผ่อนคลายในชุดนักบวชตอนนี้นี่แหละ เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว

 

อะแฮ่ม อันที่จริงผมก็จินตนาการนักบวชซาร่าใส่ชุดเหมือนกับอิเรียออกไปสู้เหมือนกันนะ…อื้ม ไม่เลวๆ แต่คิดๆ ดูแล้วเธอคงต้องขยับตัวสู้ลำบากกว่าอิเรียมากแน่ๆ หากเทียบขนาดหน้าอกของเธอกับอิเรียแล้ว…

 

ระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ อิเรียก็เหมือนจะสัมผัสได้ว่าผมกำลังคิดอะไรแปลกๆ ก็เลยจ้องมาทางผมไม่ละสายตาเลย

 

จนมาถึงวันนี้ตัวผมก็ยังได้รับคำพูดที่แสนเชือดเฉือนมาจากอิเรียเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยผมก็ไม่โดนเธอลงไม้ลงมือแล้วอ่ะนะ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีอยู่มั้ง

 

พอจบเรื่องนี้แล้ว ผมก็แยกทางกับอิเรียแล้วไปหาไคลอา เพื่อฝึกซ้อมประจำวันด้วยกันอีก การได้ออกแรงเสียหน่อยนี่มันไม่เลวเลยจริงๆ

 

 

หลังจากกลับมาถึงหมู่บ้านเมลเท พร้อมกับนักบวชซาร่า พวกผมก็ลงมาจากหลังของคราว โซราส โดยที่พกเอายารักษา โพชั่นฟื้นฟูพลังกาย น้ำมนตร์ แล้วก็ของอีกเอยะเลย

 

ของพวกนี้กว่าจะรวบรวมมาได้นี่ก็เปลืองแรงพอสมควรเลย เพราะเมืองอิชกะก็ยังคงได้รับผลกระทบจากไฮดราและพวกมอนสเตอร์จากเหตุการณ์คราวก่อน ก็ได้แต่หวังว่าพวกชาวบ้านจะเอาไปให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุดนะ

 

การกระทำที่ดูเอื้อเฟื้อแบบนี้ในครั้งก่อนผมมีจุดมุ่งหมายก็เพื่อซื้อใจพวกชาวบ้าน แต่ในครั้งนี้คงจะต้องบอกว่าเป็นการขอโทษต่อพวกเขามากกว่า

 

ตอนที่ผมพาตัวนักบวชซาร่ากับคนอื่นๆ ออกไปจากหมู่บ้าน ผมใช้เหตุผลที่ว่า ต้องยืมแรงพวกเธอในการปกป้องเมืองอิชกะจากเหตุคลุ้มคลั่ง ถึงแม้ในความเป็นจริงคือผมอยากจะช่วยพวกเธอให้ปลอดภัยก็เท่านั้นเอง พูดง่ายๆ ก็คือผมทอดทิ้งคนในหมู่บ้านนั่นเอง แล้วนี่ก็คือวิธีการชดใช้ของผม

 

พูดกันตามตรงนะว่า ผมก็ไม่มีหน้าที่ต้องมาปกป้องหมู่บ้านนี้เสียหน่อย ดังนั้นผมก็ไม่สมควรจะถูกตำหนิอะไรด้วยหากจะทิ้งพวกเขาไป แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ต่อหน้านักบวชซาร่า

 

เอาจริงๆ ทั้งนักบวชซาร่ากับอิเรียก็คงรู้ถึงเหตุผลจริงๆ ของผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมก็ควรจะแสดงให้พวกเธอเห็นด้วยว่าผมไม่ลืมที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อผู้คนที่ผมทอดทิ้งไปก่อนหน้านี้

 

นอกจากนี้เสียงคำรามของไฮดรามันก็กระทบมาถึงบริเวณนี้ด้วย ดังนั้นคงไม่พ้นต้องถูกถามเรื่องยุ่งยากแน่ ราสเองก็อยู่ที่หมู่บ้านด้วยสิ

 

แถมข้อมูลของไฮดรากับเหตุคลุ้มคลั่งนั่นมันก็ถูกเสริมเติมแต่งเกินจริงไปมากจนพวกคนที่หนีออกมาจากเมืองอิชกะเพื่อไปยังทางใต้ของอาณาจักรคานาเรียด้วย

 

ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับการยุติเหตุคลุ้มคลั่งของมอนสเตอร์จึงต้องถูกถ่ายทอดมาโดยผู้ส่งสารของอาณาจักรทันที แต่เนื้อหาก็มีเพียงแค่สถานการณ์ในตอนนี้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว รายละเอียดอื่นๆ จะมีการแจ้งเพิ่มเติมภายหลัง เพราะงี้แหละผู้คนก็เลยยังวางใจอะไรกันไม่ได้

 

ทางเมืองอิชกะเองก็ยังมีเรื่องวุ่นวายให้ตามแก้ไขกันอีกเยอะ ก็คงเลี่ยงไม่ได้หรอกที่พวกชาวบ้านเมลเทซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจะกังวลเกี่ยวกับพวกมอนสเตอร์ที่อาจจะเข้ามาโจมตีพวกเขา

 

แล้วพอผมพาอิเรียซึ่งติดพิษที่ไม่มีทางรักษาหายกับนักบวชซาร่าซึ่งเป็นที่พึ่งพาหนึ่งเดียวของพวกเขาไป ความวิตกกังวลของพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการกระทำของผมจึงส่งผลเสียร้ายแรงต่อชาวบ้านมากจริงๆ

 

พอผมบอกความจริงเรื่องที่ไฮดรากับมอนสเตอร์คลุ้มคลั่งได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก นอกจากนี้ยารักษาพิษก็ถูกทำมาเป็นจำนวนมากแล้วด้วย โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องง่ายเงินสักแดง ผู้ใหญ่บ้านกับพวกชาวบ้านก็ขอบคุณผมอยู่หรอก ถึงแม้จะยังมีท่าทางอึดอัดอยู่บ้าง

 

 

เอาเป็นว่าผมก็บอกในสิ่งที่จำเป็นไปหมดแล้ว ส่วนที่ผมไม่บอกเกี่ยวกับเรื่องดราก้อนสเลเยอร์หรือดราก้อนสเลเยอร์จอมปลอมก็เป็นเพราะปัญหามันจะตามมาอีกเยอะเลยน่ะสิ โดยเฉพาะหากมันไปถึงหูของราสเข้า

 

ถึงแม้ว่าอีกไม่นานข่าวลือมันคงจะมาถึงหูพวกเขาแน่ แต่อย่างน้อยตอนนั้นผมก็คงไม่อยู่ที่หมู่บ้านนี้แล้ว สุดท้ายผมก็หวังว่าพวกเขาก็คงจะเชิดชูผม ที่ผมถ่อมตน ไม่เอาความสำเร็จของตัวเองมาคุยโม้โอ้อวดแล้วกัน

 

จริงสิ ตอนนี้ผมอยู่กันที่สุสานบริเวณนอกหมู่บ้าน เนื่องจากผมไม่เห็นหน้าของเธอมาสักพักแล้วตั้งแต่มาที่หมู่บ้าน ผมก็เลยบอกพวกผู้ใหญ่บ้านไปว่าผมกังวลเกี่ยวกับเธอ แล้วอยากจะออกตามหา ถึงความเป็นจริงมันคือข้ออ้างให้ผมหนีจากพวกเขาก็เถอะ

 

แล้วผมก็เจอกับนักบวชซาร่าที่กำลังยืนอยู่หน้าหลุมฝังศพ ในลักษณะก้มศีรษะและพนมมือเหมือนภาวนาอะไรสักอย่าง

 

ผมก็เลยรู้ได้ทันทีว่านั่นคือหลุมฝังศพสามีของเธอ พ่อของอิเรีย ทางผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนการภาวนาของเธอ ดังนั้นผมก็เลยตั้งใจจะหันหลังกลับไปรอห่างๆ …..ไม่ไหวแฮะ ละสายตาจากการสวดภาวนาที่แสนงดงามของเธอไม่ได้เลยจริงๆ

 

มันคือฉากที่ดูมีความเงียบสงบ เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ดูอบอุ่นใจ ถึงจะพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ผมบอกเลยว่าหากเป็นภาพวาด ไอ้นี่แหละสมบูรณ์แบบ

 

นักบวชซาร่ารักสามีของเธอมากขนาดไหนกันนะ แถมจนถึงตอนนี้ก็ยังรักเขาไม่เปลี่ยนเลยด้วย ท่าทางการกระทำของเธอมันสื่อออกมาได้ชัดเจนกว่าคำพูดเป็นพันๆ คำ

 

ก่อนที่ผมจะรู้สึกตัว อารมณ์บางอย่างภายในอกของผมมันก็พลุ่งพล่านออกมา

 

มันคือความอิจฉา ความอิจฉาต่อคนที่จากไปแล้วเป็นสิบๆ ปี แต่นักบวชซาร่าก็ยังคงรักเขาไม่เปลี่ยน

 

แต่เพียงแค่ครู่เดียวอารมณ์แห่งความอิจฉามันให้หายไปและเปลี่ยนไปเป็นความชื่นชมแทน ความรู้สึกที่ผมคิดว่าหากตนสามารถมีชีวิตคู่ได้เหมือนกับพวกเขาก็คงจะดีมันคือสิ่งที่ผมเคยคิดจะสร้างมันขึ้นมากับคู่หมั้นในวัยเด็กของผม….นั่นคือสิ่งที่ผมคิดพอนึกขึ้นได้ผมก็ทำได้เพียงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น และขมวดคิ้วออกมา

 

ผมรู้สึกแปลกใจจริงๆ ที่อารมณ์พวกนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ในภายตัวของผมไม่หายไปไหน

 

ว่าแล้วเชียว สุดท้ายความรู้สึกที่ผมมีต่อนักบวชซาร่ามันแตกต่างจากอารมณ์ที่เต็มไปด้วยตัณหาหรือความปรารถนาที่จะกลืนกินวิญญาณเพียงอย่างเดียว

 

ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอมันช่างเหมือนกับความรู้สึกที่ผมมีต่ออายากะเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ในขณะที่ผมเอาแต่เปิดปากพูดว่าจะแก้แค้น แต่จิตใจลึกๆ ของผมก็โหยหาฉากแบบนี้อยู่จริงๆ

 

นั่นทำให้ผมเบิกตากว้างละประหลาดใจกับความคิดของตัวเองจริงๆ นี่สินะที่ว่ากันว่าคนเรามักจะไม่ค่อยเข้าใจความคิดของตัวเองมากที่สุด….เพราะผมเองก็ไม่ต่างกัน

 

「ไม่สิ ก็คงจะแบบนั้นจริงๆ … 」

 

ผมพึมพำออกมาเบาๆ เพื่อไม่ให้นักบวชซาร่าได้ยิน

 

ผมต้องยอมรับแล้วจริงๆ ว่า ผมชื่นชมและอิจฉาในสายสัมพันธ์ของนักบวชซาร่าและสามีของเธอ มันคือสิ่งที่ตัวผมตอนนี้ไม่สามารถเอื้อมถึงได้จนรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก

 

ผมมองไปยังนักบวชซาร่าด้วยรอยยิ้มที่ดูขมขื่น

 

เธอช่างงดงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

 

หากผมอยากจะให้เธอกลายเป็นของผม ผมก็สามารถทำได้ไม่ยาก ทั้งการช่วยชีวิตของอิเรีย ช่วยเหลือหมู่บ้านเมลเทในระดับที่พวกเขาตอบแทนผมเท่าไหร่ก็ไม่พอ

 

หากผมใช้เรื่องนี้ในการทำให้นักบวชซาร่าตอบแทนผม เธอก็คงไม่มีทางปฏิเสธได้หรอก

 

นอกจากนี้ผมก็สามารถใช้ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านในการกดดันเธอได้อีกด้วย สุดท้ายเธอก็จะกลายเป็นภรรยาตามกฎหมายของอัศวินมังกรที่แม้แต่ดยุกดรากูนอทก็ยังต้องให้ความเคารพ บางทีสักวันหนึ่งผมอาจจะสามารถเข้าไปแทนที่สามีผู้ล่วงลับของเธอก็ได้

 

ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งในความคิดของผมต้องการจะทำแบบนั้นจริงๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

 

ทว่าหากผมเลือกเส้นทางนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมจะต้องสูญเสียภาพที่งดงามตรงหน้านี้ไปแน่นอน

 

―― แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน ผมรู้ตัวดีอยู่แล้วจากนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา และเฝ้ามองแผ่นหลังของเธอต่อไป ก่อนจะหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วตั้งสติปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ข้างหลัง

 

พอจิตใจสงบลงแล้ว ผมก็หันหลังเดินกลับไปอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้รบกวนการสนทนาของพวกเขา

 

ช่างน่าแปลกใจจริงๆ ที่ทุกจังหวะก้าวเท้าของผมดูเบาตัวลงมาก

 

 

บริเวณทางทิศตะวันตกของอาณาจักรคานาเรีย มีเมืองที่ชื่อว่าเบลก้าอยู่

 

มันคือด่านหน้าที่คอยปกป้องชายแดนของอาณาจักรเอาไว้ ซึ่งมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างมาก ทั้งคูน้ำลึกและกำแพงที่สูงชัน มากกว่าเมืองอิชกะเป็นไหนๆ

 

แต่การป้องกันดังกล่าวไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันประเทศอื่นหรือพวกมนุษย์ เพราะทางตะวันตกนั้นไม่ได้มีอาณาจักรของมนุษย์ติดอยู่กับอาณาจักรคานาเรียเสียหน่อย

 

ถ้าจะให้ตอบว่าอะไรคือสิ่งที่เมืองเบลก้ากำลังป้องกันอยู่ สิ่งนั้นก็คือดินแดนแห่งทะเลทรายที่เหล่ามอนสเตอร์จำนวนมากอาศัยอยู่นั่นเอง

 

ทะเลทรายคาตาลาน ดินแดนของพวกมอนสเตอร์ที่ร้ายกาจพอๆ กับป่าทีทิสและเขาสกิม

 

พื้นที่ส้วนมากภายในนั้นยังไม่ได้ถูกสำรวจ ประเภทและจำนวนของพวกมอนสเตอร์ภายในนั้นก็ไม่อาจทราบได้

 

หากใครคิดจะเข้าไปโดยปราศจากความรู้และการเตรียมตัวที่ดี สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพียงอาหารของพวกมอนสเตอร์ ไม่ก็ติดอยู่ในกับดักทราย ไม่ก็หลงทางจนตายอยู่ในทะเลทรายที่กว้างใหญ่นั้น

 

ความกว้างใหญ่ของมันนั้นถึงขนาดที่ว่าอัศวินมังกรซึ่งมีความสามารถในการบินก็ยังไม่สามารถบินพ้นทะเลทรายนี้ไปได้ แถมตำนานมากมายเกี่ยวกับมันก็ถูกเล่าต่อๆ กันมาเยอะเลยด้วย

 

หากจะให้บอกสักเรื่องก็คงจะเป็นตำนานของเมืองแห่งทองคำที่อยู่ใจกลางของทะเลทรายซึ่งมีบาเรียปกคลุมเอาไว้อยู่

 

นอกจากนี้ก็มีทั้งตำนานที่ว่า ในทะเลทรายดังกล่าวมีดินแดนที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และพฤกษานานาชนิด รวมไปถึงแหล่งศูนย์รวมของมานา

 

หลายคนก็คิดว่าเรื่องพวกนี้มันอาจจะเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลอะไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้มีการค้นพบหลักฐานที่เชื่อกันว่าคือร่องรอยของเรื่องเล่าในตำนานพวกนั้นในทะเลทรายด้วย

 

ยกตัวอย่างก็เช่น แร่ที่ถูกแกะสลักออกมาเป็นรูปดอกกุหลาบที่ดูยังไงก็เป็นฝีมือของมนุษย์ นอกจากนี้ก็มีทั้งแท่งทองและเงิน

 

ด้วยเหตุนี้เองก็เลยมีหลายคนเชื่อกันว่า ในทะเลทรายแห่งนี้จะต้องมีขุมทองและเงินอีกมากมาย แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับอีกหลายๆ ตำนานจะยังไม่ถูกพิสูจน์แต่เท่านี้มันก็มากเพียงพอให้แล้วผู้คนอยากจะออกไปแสวงโชค

 

นอกจากเรื่องของพวกสินแร่ ทะเลทรายคาตาลานก็มีน้ำมันหอม เครื่องเทศมากมายที่เติบโตขึ้นที่ทะเลทรายเพียงเท่านั้นด้วย พวกเศษซากของมอนสเตอร์ที่อยู่แค่ในทะเลทรายก็มีส่วนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลให้ ทะเลทรายนี้ก็เป็นแหล่งดึงดูดของผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่ง

 

ผู้คนมากมายต่างพร้อมใจกันเดินเข้าไปในทะเลทรายที่แสนอันตรายนี้ทุกวี่ทุกวัน โดยมีฐานที่ตั้งหลักอยู่ในเมืองเบลก้า

 

หลังจากกลับมาจากหมู่บ้านเมลเทแล้ว เป้าหมายถัดไปของผมก็เป็นเมืองเบลก้านี่แหละ ถึงแม้ทั้งสองที่จะอยู่ในอาณาจักรคานาเรียเหมือนกัน แต่ระยะทางของมันก็กินเวลามากกว่าครึ่งเดือนเลยหากต้องเดินทางไปด้วยรถม้า

 

ถ้าจะให้พูดมันกินเวลามากกว่าไปหมู่บ้านเมลเทด้วยรถม้าถึง 2 เท่าได้ ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าจากเมืองอิชกะไปจักรวรรดิยังใกล้กว่าอีก

 

แต่โชคดีที่ผมมีคราว โซราสอยู่ด้วยในการเดินทาง มันก็เลยลดเวลาที่ผมต้องใช้ลงได้มาก

 

ส่วนเหตุผลที่ผมมาเมืองเบลก้าก็เพราะต้องการรวบรวมข้อมูลของราชาสัตว์ร้ายเบฮีมอธ ที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาของมันสามารถใช้เป็นตัวทำปฏิกิริยาหลักในการสร้างเวทสำหรับกางบาเรียป้องกันพิษของไฮดราได้ตามคำของนครศักดิ์สิทธิ์

 

ตามคำบอกเล่าของลูนามาเรียแล้ว ดูเหมือนผู้คนจะเคยพบเห็นมันมาบ้าง นอกจากนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในตำนานอะไรด้วย แต่จุดที่พบเห็นนั้นมันคือส่วนลึกของทะเลทรายคาตาลาน หากรวมเข้ากับข้อมูลของนักผจญภัยชั้นยอดของเมืองเบลก้า พวกเขาบอกว่าจะเห็นมันโผล่ออกมาประมาณปีละหนสองหน

 

 

จะว่าไปผมเคยบอกแล้วนี่เนอะ ว่าเอลการ์ดซึ่งเป็นกิลด์มาสเตอร์ของเมืองอิชกะ ก็คือ1 ใน 3 นักผจญภัยระดับ 1 ของอาณาจักรคานาเรีย ส่วนอีก 2 คนที่เหลือก็คือนักผจญภัยของเมืองเบลก้านี่แหละ

 

นอกจากนี้ปาร์ตี้ระดับสูงสุดของเมืองอิชกะนั้นจะอยู่ที่ระดับ B ซึ่งมีเพียงแค่ 3 ปาร์ตี้เท่านั้น แต่ทางเมืองเบลก้า นั้นมีปาร์ตี้ระดับ A ถึง 2 ปาร์ตี้ และระดับ B อีก 6 ปาร์ตี้ด้วยกัน

 

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เมืองเบลก้านั้นมีนักผจญภัยระดับสูงจำนวนมากอาศัยอยู่ แต่แน่นอนว่าความอันตรายโดยรอบมันก็สูงตามไปด้วย ความถี่ของพวกมอนสเตอร์ที่เข้ามาโจมตีเมืองก็มากขึ้นทุกๆ ปี

 

ดังนั้นทางกิลด์นักผจญภัยสาขาเบลก้าจึงกำหนดโควตาสำหรับการปราบมอนสเตอร์ขึ้นมา โดยผู้ที่ไม่สามารถผ่านข้อกำหนดของพวกเขาได้ก็จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษของนักผจญภัยภายในเมือง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะมีพวกนักผจญภัยหน้าใหม่ที่เข้ามาในเมืองนี้และพยายามสร้างชื่ออย่างเอาเป็นเอาตาย จนสุดท้ายก็ฝืนทำอะไรเกินตัวจนบาดเจ็บและเสียชีวิตไปก็มี แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นกิลด์มาสเตอร์สาขานี้ก็เชื่อว่าถึงพวกของเก่าจะตายไป แต่พวกหน้าใหม่ที่เข้ามาในเมืองนี้จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แน่

 

ทำให้เห็นได้ชัดว่าแนวคิดของกิลด์มาสเตอร์เมืองเบลก้ากับเอลการ์ดแตกต่างกันมาก

 

 

「เอาเถอะ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราที่ไม่ได้สังกัดกิลด์แล้วสักหน่อย 」

 

ผมพึมพำออกมาหลังรวบรวมข้อมูลเสร็จ โดยตอนนี้ผมกำลังพักอยู่ที่โรงแรมชั้นหนึ่งของเมือง

 

แน่นอนว่าผมไม่ได้มีความต้องการจะมาเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักผจญภัยที่เมืองนี้ สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงข้อมูลของเบฮีมอธเท่านั้น

 

เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ ผมก็เลยซ่อนคราว โซราสไว้ที่ภูเขาระหว่างทาง

 

ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงแผนการในอนาคต เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พอเปิดประตูออกมาก็พบกับอิเรียที่สวมชุดคลุมสีขาวของนักบวชเอาไว้อยู่

 

เบลก้านั้นมีวิหารขนาดใหญ่ของเทพแห่งกฎหมายอยู่ ซึ่งพวกเขาก็มีหน้าที่สำคัญพอๆ กับกิลด์นักผจญภัย ซึ่งช่วยปกป้องและดูแลความสงบภายในเมือง พอได้ยินเรื่องนี้ผมก็เลยพาอิเรียมาที่เบลก้าด้วย

 

นี่คือส่วนหนึ่งของแผนการ ผมจะใช้อิเรียในการรวบรวมข่าวสารของเบฮีมอธจากทางวิหารด้วย

 

 

「เป็นไงบ้าง? 」

 

 

 

「การพบเห็นมันล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีครึ่งว่ากันว่าหลังพายุทรายมีเงาของมอนสเตอร์ขนาดยักษ์สูงหลายสิบเมตรปรากฏให้เห็น ในเวลาเดียวกันก็มีอีกกลุ่มหนึ่งเห็นหางขนาดใหญ่ของบางสิ่งหายไปในหลังเนินทะเลทรายด้วย 」

 

 

「งั้นเหรอ ก็แปลว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสินะที่จะหามันเจอ 」

 

อิเรียก็พยักหน้าให้กับคำพูดของผม ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาซึ่งห่างจากผมไปเล็กน้อย ด้วยสีหน้าที่ประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

 

แต่ก็คงเป็นเพราะ ผมเช่าห้องเดี่ยวที่มีสองเตียง แต่มันก็ไม่ได้มีกฎว่าต้องใช้ทั้งสองเตียงนี่เนอะ แล้วพอผมไม่อธิบายอะไรให้อิเรียฟังมากนัก ก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะคิดอะไรแปลกๆ ยิ่งผมพาเธอมาที่นี่แค่เพียงคนเดียวด้วยแบบนี้

 

ผมที่ทำการแก้แค้นมิโรสลาฟกับลูนามาเรียไปแล้ว จะเหลือก็มีเพียงแค่อิเรียที่ผมยังไม่ได้แตะต้องอะไรเธอเลย ซึ่งเหตุผลก็มาจากนักบวชซาร่านี่แหละ เพราะผมมองว่าหากผมไปทำอะไรลูกของเธอเข้าเธอคงไม่พอใจผมแน่ๆ ผมเลยก็ต้องหยุดตัวเองเอาไว้ก่อน

 

แต่ตอนนี้ ผมได้ทำการสลัดความรู้สึกต่างๆ ที่มีต่อนักบวชซาร่าทิ้งไปหมดแล้ว ดังนั้นผมก็คงไม่จำเป็นต้องหยุดตัวเองอีกต่อไป นอกจากนี้ผมกลับรู้สึกว่าอิเรียช่างดูน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมในฐานะหญิงสาวที่จะมาแทนที่แม่ของเธอ ผมสามารถปัดเป่าความรู้สึกผิดใดๆ ออกไปได้อย่างง่ายดาย เฉกเช่นการเตะก้อนกรวดบนถนน

 

ทั้งความผิดในอดีตของเธอ และหนี้ที่เธอติดผมตอนที่รับการรักษาจากพิษ มีเหตุผลมากมายเหลือเกินที่ผมจะมีสิทธิ์ในการจัดการกับนักบวชสาวคนนี้

 

——–

Note 1 : จบไปแล้วครับ กับแก้แค้น SS 1 เดี๋ยวเจอกันใหม่หลังสงกรานต์นะครับ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน