ตอนที่ 117 เผชิญหน้า
จะว่าไปชูโตะก็คล้ายกับเมืองอิชกะ
ผมคิดระหว่างที่กำลังเดินทางไปยังคฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิ
เพราะทั้งชูโตะและอิชกะต่างก็เป็นเมืองปราการที่ถูกกำแพงโอบล้อมเอาไว้ ก็คงไม่แปลกอะไรหากจะให้คิดว่าบรรยากาศคล้ายๆ กัน ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ
แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องที่เหมือนกันก็คงจะเป็นมีมอนสเตอร์วิ่งไปมานอกแพง แต่คนภายในเมืองก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวอะไรกันออกมา ทุกคนใช้ชีวิตกันอย่างสบายใจ
ความไว้วางใจที่มีต่อเหล่าผู้ทำหน้าที่ปกป้องเมืองก็เต็มเปี่ยมและพร้อมจะสนับสนุนคนเหล่านั้น สองสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่คนของชูโตะเชื่อมั่น
ก็เหมือนกับที่ผู้สถาปนาจักรวรรดิเคยกล่าวไว้ วิธีการรวมใจประชาก็คือการให้พวกเขาคิดเช่นเดียวกับผู้ปกครอง เอาง่ายๆ มันก็เหมือนกับการบอกว่าประเทศจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ต้องเกิดจากความสามัคคีของทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง และเพราะทำตามแบบนั้นชูโตะก็เลยกลายเป็นเมืองที่ผู้คนรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
มันต่างจากเมืองอิชกะ ที่ความสามัคคีของพวกเขาแตกแยกกันไปในทันทีหลังจากเกิดเรื่องไฮดราขึ้น ดูเหมือนว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมาผู้คนในเมืองชูโตะจะมีความเป็นปึกแผ่นมากกว่าเดิม ทำเอาผมสนใจเลยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
「กฎแห่งตระกูลมิตสึรุกินี่มั่นคงไม่เปลี่ยนเลยน้อ หึ ช่างน่าประทับใจจริงๆ」
ผมยิ้มอย่างประชดประชันออกมา เพราะเรื่องที่ผมซึ่งเป็นทายาทคนถัดไปของตระกูลถูกเนรเทศออกจากเกาะ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยสำหรับตระกูลหรือชาวชูโตะ แต่ผู้คนก็ไม่ได้สั่นคลอนอะไรกันเลย
หากโกซุกับเซซิลอยู่ข้างๆ ก็คงพูดอะไรตอบกลับผมมาแล้ว แต่เพราะระยะห่างของพวกผมมันมีพอสมควร ดังนั้นเสียงของผมก็เลยลอยหายไปตามสายลมเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ผมอยู่ห่างจากโกซุก็เพราะหมอนี่สวมชุดคลุมของธงทั้ง 8 อยู่ซึ่งมีความโดดเด่นมาก ส่วนทางเซซิลก็สวมกิโมโนชั้นดีซึ่งแสดงถึงความเป็นคนจากตระกูลดัง หากไปเดินตัวติดกับพวกเขาจะดึงดูดความสนใจโดยไม่จำเป็นเอาได้
นอกจากนี้โกซุนั้นเป็นถึงชิบะ หนึ่งในเสาหลักของตระกูลมิตสึรุกิ ผู้อยู่ลำดับ 3 ของธงที่ 1 ส่วนเซซิลก็เป็นภรรยาน้อยของผู้นำตระกูล ดังนั้นสองพี่น้องชิมะจึงค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่แล้วในชูโตะ ผมไม่อยากจะโดนชาวบ้านตั้งข้อสงสัยหรอกนะว่า ผมที่เดินข้างพวกเขาคือใครกันแน่
ผมเดินช้าๆ ขณะมองบ้านสไตล์ตะวันออกตามข้างทาง นี่สินะบ้านเกินที่ผมใช้ชีวิตมาตลอด 13 ปีตั้งแต่เกิด
พอเดินมาถึงตรงจุดหนึ่งความทรงจำในอดีตของผมก็ผุดขึ้นมาให้เห็น ผมจำได้ว่าตรงมุมถนนนั้นมีร้านขายขนมหวานอยู่ ซึ่งผมมักจะพาเซซิลกับอายากะไปด้วยกันเสมอ
ถ้าเป็นไปได้พอเสร็จธุระแล้วไว้ลองแวะกินสักหน่อยดีกว่า บางทีหัวใจที่เหือดแห้งไปแล้วเหมือนทะเลทรายคาตาลานของผมอาจจะชุ่มชื้นขึ้นมาบ้างก็ได้
――ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรไปเรื่อย ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงมุมที่ผมกำลังมองไปอยู่
ชายหนุ่มผมหยักศกสีเทา ผิวสีแดง เขาได้ใช้ผ้าหลายชั้นพันหัวตัวเองเอาไว้เหมือนผ้าโพกหัว ดูเหมือนเขาเพิ่งจะแวะร้านขนมที่ผมพูดถึงไป เพราะในมือของเขานั้นมีขนมจีบเสียบไม้10ไม้ไว้ในมือทั้งสองข้าง
ไม่เยอะไปหน่อยเหรอนั่น ระหว่างที่ผมคิด ชายหนุ่มคนนั้นก็ยัดทั้งหมดเข้าปากไปด้วยความรวดเร็วจนเหลือเพียงแค่ไม้เปล่าๆ ในมือเขา เมื่อตอนที่พวกผมเดินสวนกัน
จากนั้นเขาก็ทำการเลียซอสที่ติดอยู่บริเวณมือของเขา การกระทำแบบนั้นดูเสียมารยาทก็จริง แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันหยาบคายอะไรเลย มันน่าจะเป็นสัมผัสแห่งความแข็งกร้าวและมีชีวิตชีวาสมวัยของเขาก็ได้ พอเห็นแบบนั้นผมก็ยิ้มออกมา
ดูแล้วคงจะเด็กกว่าผมไปสัก 1-2 ปี นอกจากนี้ดูบริเวณใบหน้าและแขนที่มีแผลเป็น เขาน่าจะเป็นหนึ่งในนักรบแห่งผืนป่าแน่ แถมค่อนข้างแกร่งเลยด้วย
――แต่มันก็หมายความว่าเขาอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ผมต้องสู้ด้วย
ผมค่อยๆ หรี่ตาจ้องมองไปยังร่างของชายหนุ่ม เพื่อประเมินความแข็งแกร่งเหมือนกับที่ผมทำกับโกซุและเซซิล
ทันใดนั้น สายตาที่เฉียบคมของชายหนุ่มก็จ้องกลับมาที่ผมทันที จนถึงตอนนี้สายตาของเขามักจะมองไปยังพื้นที่รอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่บัดนี้สายตาดังกล่าวได้เปลี่ยนไป เพียงแค่จ้องมองเท่านั้น กระแสจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็แผ่ออกมากระทบกับร่างของผมดั่งภาพลวงตา
「ถ้าเจ้ากำลังหาคู่มืออยู่ ข้าช่วยได้นะ」
ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่ร่าเริง เขาไม่ได้โกรธอะไรเลย สายตาที่เขาส่งมามีเพียงความปรารถนาอันบริสุทธิ์ที่อยากต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่ง
พอเป็นแบบนี้แล้ว ผมก็เลยต้องยอมรับความผิดและก้มหัวขอโทษเขาไป
「ไม่หรอก ฉันไม่ได้กะจะให้เป็นแบบนั้น ขอโทษสำหรับความหยาบคายด้วยแล้วกัน」
ผมพูดขอโทษออกไปอย่างใจจริง นั่นทำให้ชายหนุ่มตกใจมากและทำหน้าผิดหวังออกมา
「น่าเสียดายจริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีเลยแท้ๆ เอาเถอะ หากเจ้าไม่เอาด้วยข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ทีหลังก็อย่าไปมองคนอื่นแบบนั้นอีกล่ะ」
「ฉันจะเก็บคำแนะนำของนายเอาไว้แล้วกัน ขอโทษทีนะ」
「แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วน่า ข้าไม่อยากได้คำขอโทษ 2 รอบหรอกนะ ไว้เจอกันมะ-หือ?!」
ขณะที่โบกมือลาผมแล้วจะเดินสวนกันไป เสียงแปลกๆ ก็หลุดออกมาจากปากของเขา ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วแล้วจ้องมาทางผม ไม่สิต้องบอกว่าเป็นสร้อยข้อมือของผมมากกว่า
「นี่เจ้า ไปเอาสร้อยข้อมือเส้นนี้มาจากไหนกัน?」
「นี่เหรอ? อ๋อของขวัญจากเพื่อนฉันน่ะ เธอให้ฉันมาก่อนเดินทาง」
「เพื่อนเหรอ หื้ม เอาเถอะ ว่าแต่เพื่อนของเจ้าได้บอกอะไรเกี่ยวกับประโยชน์ของมันไหมเนี่ย?」
「เท่าที่จำได้เธอบอกว่าเป็นเหมือนเครื่องรางอวยพรให้สุขภาพดีเดินทางปลอดภัยน่ะ」
ผมเอียงศีรษะด้วยความสงสัยว่าเขาตั้งใจจะถามอะไรกันแน่ ทางชายหนุ่มก็เอามือกอดอกและมองผมใหม่อีกครั้ง ราวกับนักวิชาการที่กำลังเจอปัญหายุ่งยาก สายตาของเขาเฉียบคมและล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม
「เจ้าชื่อว่าอะไร? ข้าคาการิ」
「โซระ」
「งั้นเหรอ แบบนี้นี่เอง โซระเจ้าจงรักษามิตรภาพของเพื่อนคนนั้นไว้ให้ดีล่ะ หากเจ้าได้มันเป็นของขวัญมาก่อนออกเดินทาง ก็แปลว่าเจ้าไม่ใช่คนของเกาะนี้สินะ?」
「–อื้อ ฉันไม่ใช่คนของที่นี่」
「งั้นเจ้าก็รีบออกจากเกาะไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะ เว้นเสียแต่อยากจะเข้ามาพัวพันกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น」
พอพูดพบชายหนุ่ม-คาการิก็รีบหมุนส้นเท้าแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจุดมุ่งหมายคือทางใต้ เขาน่าจะไปที่ท่าเรือซึ่งผมเดินทางมามั้ง
ผมจ้องมองแผ่นหลังของเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปเริ่มเดินเหมือนกัน โดยมีปลายทางคือที่ที่ผมเคยเรียกมันว่าบ้าน ซึ่งอยู่ทางเหนือ
◆◆◆
ผมมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลโดยที่ไม่ถูกหยุดไว้หน้าประตู สองพี่น้องชิมะได้พาผมไปยังห้องรับรองแขก ก่อนจะบอกกับผมว่าพวกเขาจะไปแจ้งผู้นำตระกูลถึงการมาของผม หลังพักผ่อนอะไรเสร็จ เดี๋ยวผมจะได้ไปเจอกับเขาที่ห้องประชุมใหญ่
ผมไม่ได้สนใจพิธีการอะไรหรอก แต่เรื่องที่ผมไม่พอใจก็ตรงที่พวกเขาไม่ยอมให้ผมไปเยี่ยมหลุมฝังศพแม่ผมก่อนนี่แหละ
จากที่โกซุบอก เขาบอกว่าตรงนี้น่าจะใช้เวลาไม่นาน เอาง่ายๆ ก็คือเขาคงไม่อยากให้พ่อของผมรอนานนั่นแหละ เขาก็เลยเลือกที่จะให้ผมไปเยี่ยมแม่ของผมทีหลัง
ดูเหมือนอดีตผู้ดูแลของผมคนนี้จะยังเชื่ออยู่แฮะว่า พอผมได้เจอพ่อของตัวเองแล้ว ผมจะยอมปล่อยความแค้นในอดีตทั้งหมดแล้วกลับมาอยู่ภายใต้นามของตระกูลอีกครั้ง หรือนั่นอาจจะเป็นความหวังของเขาเองเฉยๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะแบบไหนก็น่ารำคาญชะมัด
ตอนนี้ผมถูกล่อลวงทางจิตใจเป็นอย่างมาก จนผมอยากจะหนีไปเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่ผม แล้วคุยกับเธอถึงเรื่องที่ผมเจอมาตลอด 5 ปี ก่อนจะกลับไปซื้อขนมจีบมากินแล้วเดินทางออกจากเกาะ แต่ถ้าผมเลือกทางนั้นเป้าหมายในการเดินทางมาเกาะของผมก็คงเสร็จไปแค่เรื่องเดียว
ในตอนนี้ เป้าหมายในการเดินทางมาเกาะของผมมีด้วยกัน 3 อย่าง อย่างแรกก็คือมาเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่ผม อย่างที่สองขจัดปัญหาเรื่องที่ตระกูลมิตสึรุกิมีต่อคิจินอย่างซูซูเมะ ส่วนอย่างสุดท้ายก็คือทำเรื่องที่ผมทำกับโกซุ เซซิล และชายหนุ่มที่ชื่อ คาการิ
การสังเกตการณ์
หากเป็น 5 ปีก่อน คนรอบตัวของผมทุกคนก็เป็นเหมือนกับเขาที่ไม่มีทางปีนข้ามไปได้ พวกเขาอยู่สูงเกินกว่าจะแยกได้ว่าใครแข็งแกร่งเท่าไหร่ ทุกคนดูเหมือนกันหมด เพื่อนร่วมรุ่นของผม นักรบระดับทั่วไป นักรบระดับสูง สองสุดยอดผู้คุ้มกัน นักบุญดาบ
ตอนนั้นผมรู้เพียงแค่อย่างเดียวว่าพวกเขาแกร่งกว่าผม แต่ผมไม่สามารถรู้ได้ว่าความห่างของพวกเขาแต่ละคนต่างกันแค่ไหน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเกรงกลัวรากุนะไม่ต่างอะไรกับเกรงกลัวพ่อของตัวเอง พวกเขาแกร่งกว่าผมในทุกด้าน
ถึงก่อนหน้านี้ผมจะแข็งแกร่งขึ้นมามากจากการสู้กับโกซุ คลิม และไคลอาที่อาณาจักรคานาเรีย ผมไม่สงสัยเลยว่าผมแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ของคนบนเกาะ ทันทีที่ผมสามารถเอาชนะโกซุซึ่งเป็นลำดับ 3 ของธงที่ 1 ซึ่งตอนนั้นใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าลงได้
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่สามารถลบความรู้สึกกลัวที่ฝั่งแน่นอยู่ภายในจิตใจออกไปได้หมด ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะเอาชนะโกซุหรือคนอื่นๆ ลงได้มากแค่ไหน เพราะจนถึงตอนนี้เสียงกระซิบปริศนาก็ยังคงพูดอยู่ข้างหูผมว่าผมไม่สามารถเอาชนะคนบนเกาะได้หรอก
มันคือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ภายในจิตใจของผมมาตลอด 5 ปี
ปมด้อยที่ถูกฝังรากลึกอยู่ในใจของผม จุดต่ำสุดของชีวิตที่ผมไม่สามารถเป็นหรือทำอะไรได้เลย
คำสาปที่บอกกับผมว่าผมมันอ่อนแอและไม่มีความจำเป็น
มันคอยปกคลุมความเชื่อมั่นในใจของผมเอาไว้อยู่
คำสาปที่จะปลดปล่อยได้ก็ต่อเมื่อผมเผชิญหน้ากับมันตรงๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมกลับมาที่นี่เพื่อตรวจสอบทุกสิ่งด้วยตาของผมเอง
「――ท่านโซระ นายท่านเรียกตัวแล้วครับ ได้โปรดเปลี่ยนชุดแล้วเดินทางมาที่ห้องประชุมใหญ่ได้เลย」
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นตามเสียงเรียกของโกซุที่ดังออกมาจากด้านนอก
——–
Note 1 : ผิวสีนั้นพี่ไม่มีใครสนเลยเหรอ หรือเพราะเมืองมันสงบสุขเกินไปจนคนไม่สนใจอะไรอยู่ละ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code