ตอนที่ 129 สองสุดยอด
ทางด้านตะวันตกของเมืองชูโตะ ได้เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นระหว่างพวกมอนสเตอร์ที่กรูกันเข้ามาโจมตีเมืองหลังกำแพงเมืองถูกทำลายลงไป กับเหล่านักรบแห่งผืนป่าที่ออกมาต้านเอาไว้
พลังของพวกมอนสเตอร์ที่อยู่บนเกาะนั้น ผิดแปลกไปจากทวีปหลักก็เป็นเพราะพลังเวทที่รั่วไหลออกมาจากประตูปีศาจ ทำให้พวกสายพันธุ์ธรรมดาในทวีปเทียบไม่ได้เลย แถมจำนวนของมันก็เรียกว่ามากล้น พูดได้เลยว่าหากต้องปะทะกับพวกมันตรงๆ แม้แต่กองทหารของจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าก็คงแตกพ่าย
ปัจจุบันผู้ที่รับมืออยู่ตรงจุดนี้ก็คือธงที่ 8 ซึ่งเป็นหน่วยที่มีกองกำลังสังกัดอยู่เยอะที่สุด
โดยหัวหน้าหน่วยของธงที่ 8 นั้นก็เป็นพวกที่มีความระมัดระวังในทุกการกระทำแม้จะต้องคุมคนหมู่มาก วิธีการต่อสู้ในช่วงปกติที่พวกเขาเลือกจะใช้นั่นก็คือการใช้พลังคิและศาสตร์การต่อสู้ทุกแขนงจากมุมสูงของกำแพง ก่อนจะปล่อยให้เหล่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณออกไปสู้ต่อหลังจากนั้น เพื่อลดกำลังที่ต้องใช้และควบคุมความเสียหายให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุด
ทว่าตอนนี้กำแพงดังกล่าวมันได้หายไปแล้ว พวกเขาธงที่ 8 จึงต้องใช้คนของหน่วยในการป้องกันมอนสเตอร์ที่จะหลุดเข้าไปในเมืองชูโตะแทน
ซึ่งแนวป้องกันของพวกเขาตอนนี้อยู่ด้านนอกของกำแพงเมืองที่พังลงไปและกำลังยันกับพวกมอนสเตอร์อยู่
แน่นอนว่าในวิธีการนี้ถึงจะมีการวางบุคลากรระดับแนวหน้าเอาไว้รับมือเพื่อช่วยลดภาระให้กับพวกนักรบหน้าใหม่ แต่ศัตรูที่โถมเข้ามานั้นมันมากจนเกินจะรับมือได้หมด แถมยังบุกมาทั้งทางฟ้า บนดิน ใต้ดินอีก จึงทำให้เหล่านักรบหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ถูกกลืนหายไปในการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้
「เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ――จงแขวนประหารสิ้น สึริชิโจ (สตรีแขวนคอ) 」
สิ้นเสียงนั้น เสียงหักของกระดูกบริเวณไหปลาร้าก็ดังขึ้น
หนึ่งในนักรบแห่งผืนป่าที่สวมฮาโอริสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นคนของธงที่ 8 ได้เกิดอาการเลือดออกไปจนเป็นฟองแล้วล้มลงไป จากอายุของเขาแล้วน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่อายุน้อยที่สุดในนี้ ซึ่งไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ
ส่วนคนที่กำลังเหยียบร่างของเขาอยู่ก็คือคิจินร่างผอมที่มีเขาอยู่บนหน้าผากซึ่งมีนามว่าคริฟ โดยเขานั้นเป็น 1 ใน 16 หอกแห่งคาซานเช่นเดียวกับอิซากิ
ในมือของคริฟตอนนี้กำลังถือเชือกสีดำที่ทำการใช้หักกระดูกไหปลาร้าของนักรบแห่งผืนป่าเอาไว้อยู่ โดยมันได้ส่องแสงออกมาเป็นพักๆ ราวกับตอบสนองต่อเลือด
จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยขณะเลือกกับเชือกในมือของตน
「นี่ก็คนที่สิบแล้ว สงสัยการต่อสู้ครั้งนี้น่าจะใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมงได้ ฟุฟุฟุ ร้อนแรงกันจริงๆ พวกนักรบแห่งผืนป่าส่วนใหญ่มันก็ไม่ได้ใช้อาภรณ์วิญญาณกันเป็นซะด้วย แบบนี้ข้าก็สบายแล้วสิ」
หลังจากพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาจบ คริฟก็ได้ขยับตัวเข้าไปแทรกอยู่กับฝูงมอนสเตอร์ที่อยู่รอบตัวเขา
แน่นอนว่าพวกมอนสเตอร์ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับคริฟ เพียงแค่ว่าพวกมันไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนของเขาได้
สึริชิโจหรือที่เรียกกันว่าปีศาจแขวนคอ มันมีความสามารถในการบงการความคิดของเป้าหมายในการหาลูทางการกระทำให้เป้าหมายฆ่าตัวตายอีกทั้งยังทำให้ตัวเองอยู่นอกขอบเขตการรับรู้ของเป้าหมายอีกด้วย
นอกจากการชักนำแล้ว ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีความสามารถในการโจมตีเสียเลย เพราะการโจมตีด้วยเชือกสีดำของมันนั้นก็สามารถสังหารเป้าหมายได้เช่นเดียวกัน นี่แหละคือสิ่งที่อยู่ในมือของคลิฟ อาวุธลอบสังหาร――อาภรณ์วิญญาณที่มีชื่อว่าสึริชิโจ
คริฟได้ทำการแหวกว่ายแทรกไปตามฝูงมอนสเตอร์ เพื่อลอบเข้าข้างหลังของพวกนักรบแห่งผืนป่าแล้วทำการหักคอพวกเขาที่ละคน
สไตล์การต่อสู้ของเขานั้นเป็นแบบนักฆ่ามากกว่านักรบ แถมยังเป็นการต่อสู้ที่ผิดไปจากวิถีของคิจินที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี ดังนั้นนอกจากเขาจะได้รับคำดูถูกจากศัตรูแล้วเขายังได้รับคำดูถูกจากพันธมิตรด้วย ไม่ว่าเขาจะแสดงผลงานในสนามรบมากสักเพียงใด เขาก็ไม่มีทางได้รับคำชมหรือการยอมรับ กลับกันมันยิ่งเป็นการตอกย้ำทำลายความภาคภูมิใจของเหล่าคิจิน และบั่นทอนจิตวิญญาณที่มีต่อเทพปีศาจ
แต่คนเดียวที่ยื่นมือมาให้โอกาสกับคริฟก็คือกษัตริย์แห่งคาซาน กิเอน
『อนิม่าในจิตวิญญาณของพวกเราก็ต่างเชื่อมโยงกับท่านเทพปีศาจชียูผู้ยิ่งใหญ่ เทพแห่งการสงครามที่พัฒนาศาสตราวุธทุกชนิดขึ้นมามิใช่หรือไงกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อาภรณ์วิญญาณของเจ้าก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับสิ่งที่ท่านเทพปีศาจได้สร้างให้ อย่าได้ละอายและเดินไปข้างหน้าต่อด้วยความภาคภูมิเถอะ!』
นั่นคือในอดีตตอนที่กิเอนยังมีชีวิตอยู่และพบกับคริฟที่กำลังเดินไปมาอย่างไร้จุดหมายอยู่ในปราสาทของเขา ก่อนจะเรียกคริฟเข้ามาพูดคุยและปลอบใจ
『เจ้าอย่าไปคิดถึงมันให้มากนักเลยทหารเอ๋ย ปล่อยให้พวกนั้นมันโวยวายหาว่าเจ้าขี้ขลาดตาขาวไปเถิด! เพราะพวกมันก็แค่คนที่ด้อยกว่าเจ้าในเรื่องของความสามารถและอิจฉาเจ้าก็เท่านั้นเอง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็คงจะเป็นตัวข้าเองที่ดูแลเจ้าพวกนั้นได้ไม่ดีจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ขอต้องขออภัยเจ้าด้วยจริงๆ 』
หลังจากที่กิเอนพูดจบ ก็เป็นในวันนั้นเองที่คริฟได้ถูกแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 16 หอกแห่งคาซานและกิเอนยังได้ออกมาพูดเตือนเหล่าทหารของตนถึงความชอบธรรมในการปฏิบัติไม่ให้ดูหมิ่นผู้อื่น
สำหรับคริฟแล้วนั่นคือความทรงจำที่แสนล้ำค่าของเขาซึ่งจะไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต เขาได้ถวายชีวิตสู้สุดตัวเพื่อให้กิเอนได้ครอบครองเขาทั้ง 5 ――ทว่าสุดท้ายฝันของเขาก็ไม่เป็นจริง
เมื่อเขาทราบถึงการตายของกิเอนอนาคตที่เขาวาดฝันไว้ก็หายไปด้วย ตอนแรกเขาก็คิดจะฆ่าตัวตายตามไปทันที แต่เขาก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ก่อนเพราะมองว่าควรจะพาคาการิลงหลุมไปด้วย
แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำตามที่คิด เขาก็ต้องเปลี่ยนใจใหม่อีกครั้งเมื่ออิซากิเพื่อนร่วมหอกแห่งคาซานของเขาได้บอกว่ากิเอน มอบความไว้วางใจให้กับนากายามะเพื่อสานฝันให้เป็นจริงรวมไปถึงขอให้พวกเขาช่วยอาการิด้วย ดังนั้นหากเขายังฝืนทำต่อไปกิเอนก็คงตายตาไม่หลับ ด้วยเหตุนี้อิซากิจึงหยุดการกระทำของคริฟเอาไว้ได้
ถ้าคิดว่ายังอยากจะตายตามกิเอนไปอยู่ทำไมมีลองมาแก้แค้นพวกผู้ทรยศให้ได้มากที่สุดดูล่ะ――พอคริฟรู้แบบนั้นเขาก็ตอบรับอาสามายังเกาะทันที เขาไม่ได้หมายจะมีชีวิตรอดอยู่แล้ว แล้วเขาก็ไม่สนใจด้วยว่าตัวเองจะถูกใช้เป็นหมากแล้วทิ้ง ขอแค่ตนได้สังหารพวกนักรบแห่งผืนป่าให้ได้มากที่สุด แค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับการเป็นเครื่องเซ่นวิญญาณกิเอนที่อยู่ในยมโลกแล้ว
「ว่าก็ว่าเถอะ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกมนุษย์มันจะเปราะบางกันได้ขนาดนี้ หากเป็นแบบนี้มีหวังได้ฆ่าพวกมันหมดก่อนที่แรงข้าจะหมดแน่」
ฟุฟุ คริฟยิ้มออกมาอีกครั้งขณะสำรวจฝั่งศัตรู ความสามารถของเขานั้นไม่ได้มีเพียงแค่บงการกระตุ้นความคิดของพวกมอนสเตอร์ แต่เขายังสามารถทำกับมนุษย์ได้ด้วยแถมยังทำง่ายกว่าอีกเพราะเป็นพวกมีสติปัญญานึกคิดได้
ด้วยเหตุนี้เองเขาก็เลยพยายามเข้าใกล้พวกธงที่ 8 โดยใช้มอนสเตอร์ที่เครื่องพรางตัว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้คริฟกำลังพยายามหาตัวผู้นำของคนพวกนี้อยู่ เพราะการสังหารผู้นำลงได้มีผลมากกว่าการฆ่าพลทหารเลวทีละคนหลายเท่า สายตาของคริฟค่อยๆ สอดส่องไปเรื่อยๆ
ในระหว่างที่สายตาของเขากำลังจับจ้องไปทางศัตรูที่ตั้งแนวรบอยู่บนภาคพื้น สายตาของเขาก็ได้หันไปทางกำแพงเมืองที่พังทลายลง
――และได้สบตากัน
มีมนุษย์กำลังยืนอยู่บนเศษซากของกำแพงสูง และมองดูเหล่านักรบคนอื่นกำลังต่อสู้อยู่กับมอนสเตอร์ด้วยสายตาที่หยิ่งผยอง
ใบหน้าของเขางดงามราวกับตุ๊กตา ผมสีดำยาวของเขาคล้ายกับหญิงสาว พอรวมเข้ากับหน้าตาของเขาแล้วก็เรียกได้ว่าดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก แต่ถ้าจะให้อธิบายในความรู้สึกแล้วลักษณะแบบนี้ก็เรียกว่าดูอ่อนแอ
ทว่าสายตาที่จ้องมองมายังคริฟซึ่งแทรกตัวอยู่กับพวกมอนสเตอร์ก็เรียกว่าเฉียบคมมาก แรงกดดันที่ส่งมาผ่านสายตามันหนักราวกับช้างกำลังมาทับไหล่ของเขาอยู่ ขนาดตัวของคริฟเองก็ยังสั่นสะท้านแม้จะอยู่ไกลกันขนาดนี้ เขาก็ยังรู้สึกเลยว่ามีดาบมาจ่อคอตนอยู่
แย่แล้ว สัญชาตญาณของเขาบอกขึ้นในทันที เขารีบสละทุกสิ่งทิ้งแล้วเริ่มวิ่งหนีจากจุดที่ตนอยู่
นั่นมันระดับเลวร้าย เลวร้ายสุดๆ นั่นคือสิ่งที่คริฟรู้สึก
ก็จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้หมายจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่ เขาไม่ได้เกรงกลัวที่จะตายในสนามรบ ความปรารถนาของเขาในการชนะศัตรูที่น่าเกรงขามก็มีอย่างเต็มเปี่ยม
แต่หากสิ่งที่เจอไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นตัวตนที่พร้อมจะเหยียบย่ำตน มันก็อีกเรื่อง เขาไม่ได้อยากจะถูกเหยียบย่ำเหมือนแมลง เขาต้องการการต่อสู้ ไม่ใช่การฆ่าล้างเพียงฝ่ายเดียว
สัญชาตญาณของคริฟถูกต้องเสมอและเขาเชื่อมันจนลงมือทำตามที่คิดอย่างรวดเร็ว
ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดต่อต้าน ทุกสิ่งที่อย่างไม่ต่างจากเดิมเลย ถึงคริฟจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของชายคนนั้นก่อนและรีบลงมือจัดการเขา ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่ต่างจากลงมือตอนนี้
ทันทีที่ชายคนนั้นได้ปรากฏตัวขึ้นในสนามรบ ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที ผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายมีเพียงการสังหารหมู่รออยู่
บัดนี้――ไดรอาท เบิร์ช ได้ลงสู่สนามรบแล้ว
「เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ――จงพัวพัน อารากินุ (ใยไหมสวรรค์) 」
ดาบสีขาวบริสุทธิ์ได้ปรากฏออกมาที่มือของไดรอาท ก่อนที่มันจะแตกตัวออกมาเป็นเส้นบางยาวหลายเส้น ราวกับเส้นใยไหม
แต่เส้นของมันนั้นช่างงดงามและแข็งแกร่งราวกับใยของแมงมุม จากนั้นเส้นใยทั้งหลายก็ได้แตกกระจายออกไปในอากาศแล้วออกกิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนจนราวกับหมายปกคลุมทั่วท้องฟ้าของสนามรบเอาไว้
หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่ง มันก็ปกคลุมทั้งสนามรบเอาไว้หมดแล้ว
จากนั้นสิ่งที่ไดรอาททำก็มีเพียงแค่การกางฝ่ามือของตนออกก่อนจะกำฝ่ามือนั้นเอาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรออกมา
――ด้วยการกระทำเพียงแค่นั้น ทั่วทั้งสนามรบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
มอนสเตอร์ทุกตัวที่อยู่ในระยะมองเห็นของไดรอาทได้ถูกผ่าออกเป็นส่วนๆ ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน
เพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของพวกมันก็ถูกหั่นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่พวกที่มีเกล็ดแข็งแกร่งราวกับเหล็กหรือกล้ามเนื้อที่หนา ก็ไม่อาจจะต้านทานไยของไดรอาทได้ ชิ้นเนื้อ เลือด ผิวหนัง กระดูก ทุกอย่างได้ถูกเชือดเฉือนออกไปชิ้นๆ จนไม่เหลือสภาพเดิม
เท่านั้นยังไม่พอแม้พวกมันจะกลายเป็นก้อนเนื้อไปแล้ว ขนาดของมันก็ยังเล็กลงไปอีกเพราะก้อนเนื้อที่มีขนาดเท่ากำปั้นได้ถูกหั่นให้เหลือเท่าปลายนิ้ว ซึ่งมีความแม่นยำเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะต้องการใช้พวกมันชดใช้ในโทษที่โจมตีเมืองชูโตะหรือลงโทษที่พวกมันกล้าแยกเขี้ยวใส่ตระกูลมิตสึรุกิกันแน่
แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน การกระทำของไดรอาทก็แสดงให้เห็นแล้วว่าตนไม่ปรานีต่อศัตรูที่อยู่เบื้องล่างเลย
แน่นอนว่ารวมไปถึงคิจินที่เป็นตัวต้นเรื่องด้วย
「คึ….บ้าไปแล้ว!」
คริฟที่พยายามหนีจากไดรอาทโดยการใช้พวกมอนสเตอร์นับหมื่นเป็นเกราะกำบัง สุดท้ายแล้วเขาก็หนีไม่พ้น เพราะพวกมันทั้งหมดที่เป็นโล่ให้กับเขาถูกสังหารไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้เขาก็คงไม่มีทางหลบสายตาของไดรอาทไปได้แน่
เมื่อตระหนักได้ว่ามีเส้นใยที่บางจนมองแทบไม่เห็นกำลังจะเข้ามาพันรอบคอของเขาอยู่ เขาจึงทำการใช้อาภรณ์วิญญาณของตนในการป้องกันคือตนเอาไว้ โดยความแข็งแกร่งของมันนั้นสามารถทำลายได้แม้กระทั่งอาภรณ์วิญญาณของหอกทั้ง 16 ที่เป็นพวกพ้องเขาได้ นี่แหละคือความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นดั่งที่กษัตริย์คาซานผู้ล่วงลับบอกกับเขา
ดังนั้นไม่ว่าอาภรณ์วิญญาณของศัตรูจะคมสักเพียงใด ก็ไม่อาจจะทะลวงมันได้แน่ นั่นคือสิ่งที่คริฟเชื่อ
และแล้วหัวของเขาก็หลุดออกไปจากร่างพร้อมกับอาภรณ์วิญญาณด้วยความเชื่อแบบนั้น
เมื่อหัวของเขาลอยขึ้นไปบนอากาศ ใบหน้าของเขาก็ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ซ้ายขวา ทแยงไปมาจนกลายเป็นชิ้นๆ ลำตัวของเขาก็ถูกสับจนละเอียดเป็นผุยผงและกระจายอยู่ตามพื้น
หากจะให้บอกสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คงจะเป็นเขาของเขา ไดรอาทได้ใช้เส้นใยของตนดึงเขาของคริฟเข้ามา ความวิเคราะห์มันดู
「……ก็แค่ขยะ」
จากนั้นเขาก็ขยี้มันทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะโยนเศษซากนั้นลงไปจากกำแพงเมือง แล้วหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ดซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต้องการขจัดคราบสกปรกออกไปให้หมด
บทสรุปก็คือฝูงมอนสเตอร์ที่บุกมาทางทิศตะวันตกได้ถูก หัวหน้าหน่วยธงที่ 1 จัดการจนเหลือเพียงแค่ 10% จากตอนแรก และที่เหลือก็ถูกธงที่ 8 จัดการต่ออีกที
ตอนนี้มอนสเตอร์ที่หมายจะบุกเข้ามาในเมืองตรงจุดนั้นคือ 0 เป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าจะธงแห่งผืนป่าจะได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่หากมองในจุดของการปกป้องเมืองแล้วก็ถือว่าลุล่วงไปได้ด้วยดี
แน่นอนว่าผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ใช่แค่ของทางทิศตะวันตก ทางทิศเหนือและตะวันออกก็ไม่ต่างกัน
◆◆
「เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ――จงเชื้อเชิญ สการี (ราชินีแห่งเงา) 」
ชูคุยะ คุมอน รองหัวหน้าหน่วยของธงที่ 1 ได้ทำการนำหอกสีดำที่เหมือนกับถูกย้อมด้วยหมึกทั้งด้ามและปลายหอกออกมา
ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในฐานะหอกของมัน แค่ทักษะส่วนตัวของชูคุยะ แม้แต่ระดับหัวหน้าธงของหน่วยอื่นก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้แล้ว
พลังของอาภรณ์วิญญาณเขาคือการโจมตีเงาของฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย หากเขาทำการโจมตีตรงจุดไหนของเงา ร่างของฝ่ายตรงข้ามจุดนั้นก็จะได้รับบาดเจ็บไปด้วย หากเงาของอีกฝ่ายถูกแทงทะลุหัวใจ ร่างจริงของอีกฝ่ายก็จะถูกแทงหัวใจไปด้วย
ดังนั้นคนที่ต่อสู้กับชูคุยะ นอกจากจะต้องกังวลถึงการโจมตีที่จะเข้ามายังร่างของตนแล้ว พวกเขายังต้องกังวลถึงการโจมตีที่ตรงไปยังเงาอีก
ทว่าความสามารถของสการียังไม่หมดเพียงเท่านั้น การโจมตีของหอกดังกล่าวยังมีพิษร้ายแรงที่สามารถละลายร่างของเป้าหมายได้ในทันทีและขัดขวางไม่ให้แผลดังกล่าวถูกรักษาได้ คงไม่ต้องพูดถึงว่าหากพิษดังกล่าวเข้าร่างของอีกฝ่ายได้จะเกิดอะไรขึ้น จนพูดได้ว่าหากถูกแทงที่แขนก็ต้องตัดแขนทิ้ง ถูกแทงที่ขาก็ต้องตัดขาทิ้ง
แต่ก็เพราะความสามารถของอาภรณ์วิญญาณเขามันร้ายกาจและดูโหดร้ายจนเกินไป ชูคุยะก็เลยมักจะไม่ค่อยเอาออกมาใช้สักเท่าไหร่ จนทำให้เป็นที่พูดกันใหม่หมู่นักรบแห่งผืนป่าว่าหากเป็นการสู้แบบตัวต่อตัวชูคุยะน่าจะเหนือกว่าไดรอาทไปแล้ว
แต่ก็นั่นแหละการประเมินดังกล่าวจะเรียกว่าสูงเกินไป หรือต่ำเกินไปก็ได้
เพราะเงื่อนไขที่มีอยู่นั่นก็คือ ต้องเป็นการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 มันก็หมายความว่าพลังของชูคุยะ จะมีผลกับมนุษย์หรือศัตรูบางพวกเท่านั้น ในขณะที่ทางไดรอาทมีความสามารถในการทลายทัพได้
ไดรเอทเน้นไปที่การโจมตีระยะกว้าง ชูคุยะเน้นไปที่การโจมตีตัวบุคคล――นั่นคือความสัมพันธ์เชิงความสามารถของสองสุดยอด แต่ก็เป็นในวันนี้เองที่หลายคนต้องเปลี่ยนความคิดไป
เพราะกว่า 90% ของมอนสเตอร์ที่เข้ามาโจมตีทางกำแพงทิศเหนือได้ถูกชูคุยะ คุมอนสังหารลงด้วยตัวคนเดียว
「ก็นั่นแหละน้อ ถ้าไม่ปล่อยให้ออกมาอาละวาดบ้าง เดี๋ยวนางจะมากระซิบบ่นจนหนวกหูทุกคืนได้」
ชูคุยะที่ทะลวงหัวใจของพวกมอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนด้วยการขว้างหอกออกไปเพียงครั้งเดียว กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่สบายๆ
โดยที่เท้าของเขาตอนนี้กำลังเหยียบร่างของคิจินที่ตายแล้ว ซึ่งมีเขางอกออกมาจากหน้าผากอยู่
「วันก่อน นายท่านบอกว่ามีสัญญาณของความวุ่นวายอยู่ข้างในประตูปีศาจ แค่นี้ก็น่าจะชัดแล้วว่าเรื่องในครั้งนี้เป็นฝีมือของพวกคิจิน ก็ไม่คิดหรอกนะว่าชูโตะจะจบลงเพราะแค่พวกมัน แต่ก็ยังไม่เห็นพวกที่มีพลังพอจะใช้คิทำลายกำแพงเมืองได้เลยแฮะ พวกมันหายไปไหนกันหมดนะ จะว่าไปชักสนใจวิธีที่พวกมันเล็ดลอดกันออกมาได้ด้วยสิ」
ชูคุยะตั้งคำถามกับตัวเองออกมา แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจจะหาคำตอบจริงๆ หรอก
ถ้าพูดให้ชัดก็คือถึงเขาจะอยากแต่ในเมื่อเจ้านายของเขาห้ามเอาไว้ก็ต้องทำตาม
『หน้าที่เราคือสนใจแต่ตัวที่อยู่ข้างนอก ส่วนข้างในก็ปล่อยไป』
ในการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้านายของพวกเขาได้มอบคำสั่งให้ ไดรอาท ชูคุยะ และ โกซุ โดยเนื้อความคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในเมืองชูโตะ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะมายุ่ง
ดังนั้นหน้าที่ของชูคุยะก็คือทำตามคำสั่งโดยไม่ขัดขืนอะไร
แน่นอนว่าทางไดรอาท และโกซุที่รับมือกับมอนสเตอร์ในทิศตะวันตกและตะวันออกก็ไม่ต่างอะไรกับชูคุยะ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงคำรามที่ดังกึกก้องขึ้น ทั้ง 3 คนแน่ใจว่าต้นเสียงมาจากภายในเมืองชูโตะ แถมมันยังรุนแรงพอจะทำให้หัวใจของทั้ง 3 สั่นไหวได้ ความรุนแรงของมันไม่ต่างอะไรกับมังกรคำรามเลยสักนิด
นั่นจึงทำให้สายตาของทั้ง 3 คนมุ่งไปในทางทิศเดียวกัน
ออร่าปีศาจได้พุ่งขึ้นทะลุท้องฟ้า จนทำให้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนราวกับไม่สามารถทนรับแรงกดดันมหาศาลนี้ได้
ทั้ง 3 รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ราวกับโลกกำลังสั่นไหวนี้
ไม่ใช่แค่พวกเขา 3 คน นักรบระดับสูงที่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่ประตูปีศาจต่างก็เข้าใจมันดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
นี่คือสัญญาณของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่กำลังจะจุติมายังเมืองชูโตะ
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code