การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 134

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 134 เทพปีศาจ

 

「แต่ถ้านายมาเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดีนะ ไม่ใช่เอาแต่แอบดูเงียบๆ แถมนายยังรู้จักกับไอ้เจ้าไทซานอะไรนี่ด้วย――แบบนี้ไม่ใช่ว่านายมาถึงที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วหรอกนะ? 」

 

 

 

แค่เห็นก็รู้แล้วว่าการพูดของซาอินั้นเป็นการประชดประชัน เพราะหากลองแปลความหมายจริงๆ ที่เขาอยากจะบอกก็คือ 「อย่าเอาแต่แอบดูสิฟะ ถ้าจะออกก็ออกมาตั้งแต่แรก ไม่ต้องมาทำเท่แล้วเอาผลงานไปหมดแบบนี้」

 

 

 

 

พอเห็นแบบนี้ผมก็นึกวิธีการตอบโต้ได้สารพัดเลย

 

 

ผมไม่ได้เป็นคนที่มีหน้าที่หรือต้องมารับผิดชอบช่วยเหลืออะไรตระกูลมิตสึรุกิสักหน่อย นอกจากนี้แค่ผมมาช่วยนี่ก็เป็นพระคุณแค่ไหนแล้ว เจ้าพวกนี้ไม่มีสิทธิ์มาบ่นอะไรผมเลยด้วยซ้ำ

 

 

ดังนั้นคำพูดของซาอิก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงเห่าหอนของพวกขี้แพ้เลย ผมจะเอาเรื่องนี้มาเย้ยเขาแล้วบอกว่าเป็นความผิดของพวกเขาที่อ่อนแอต่างหากเลยทำให้ลงเอยแบบนี้

 

 

 

แต่ผมก็ไม่ได้เลือกจะทำแบบนั้นอ่านะ

 

 

 

 

 

「ก็จริงว่าผมมาถึงที่นี่ได้สักพักอย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ」

 

 

 

หากเป็นซาอิ คุมอนที่ผมเคยรู้จัก หมอนี่จะเป็นพวกเฉียบแหลมแถมมีบุคลิกที่วอนเท้าพอสมควร ซึ่งตอนนี้เขากำลังถืออาภรณ์วิญญาณลองกินุสเอาไว้อยู่ สัญชาตญาณผมบอกว่าถ้าไปต่อปากต่อคำเรื่องไร้สาระเพิ่มคงได้เข้าทางเขาแน่

 

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด ซาอิเลิกคิ้วขวาขึ้นด้วยความประหลาดใจเพราะคำตอบที่ผมมอบให้กับเขา

 

 

「โห นายนี่พูดมาตรงๆ จนทำฉันตกใจเลยนะเนี่ย ทำไมนายต้องซ่อนตัวด้วยล่ะแล้วน้องของนายมาที่นี่ด้วยไหม? 」

 

พอพูดจบเขาก็ยิ้มออกมาเหมือนอยากแกล้งผม น่าขนลุกชะมัดถ้าท่านเอ็มมะไม่อยู่ที่นี่ก็จะเล่นให้สักหน่อย

 

 

ให้ตายสิหมอนี่คิดจะยั่วผมไม่หยุดเลยแฮะ ผมก็เลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตามเดิม

 

 

 

「เหตุผลที่ผมไม่ได้เข้ามาขวางพวกท่านก็เพราะท่านและท่านซิดนีย์ต่างก็เป็นศิษย์สำนักรุ่นทองคำ ไหนจะมีท่านสกายชิพที่เป็นถึงอดีตหัวหน้าหน่วย นอกจากนี้ก็มีท่านชิมะที่เป็นอดีตนักรบแนวหน้าของธงที่ 1 หากผมเข้ามายุ่งก็อาจจะกลายเป็นแกะกะแทนได้ไม่ใช่หรือไงกัน? 」

 

 

 

ผมไม่ได้เยาะเย้ยหรือดูถูกเลยนะเออ ก็แค่ถามคำถามเฉยๆ

 

 

 

พอเห็นผมพูดแบบนั้นทางซาอิก็ทำหน้าเหมือนไปกินของแสลงมา รอยยิ้มที่แสดงออกมาก็ดูบิดเบี้ยวไปกว่าเดิมอีก คงรู้แล้วสินะว่าผมไปหลงคำยั่วยุง่ายๆ หรอก

 

 

บางทีที่หมอนี่ทำมาทั้งหมดก็น่าจะเพราะสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับพวกคิจินเหมือนที่รากุนะเป็นก็ได้

 

 

 

ในขณะที่ผมฆ่าพวกลูกกระจ๊อกของโอเค็นด้วยอาภรณ์วิญญาณ ผมกลับเลือกโจมตีโอเค็นด้วยเวทมนตร์ไม่ให้ถึงตาย จนกลายเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยท่านเอ็มมะกับคนอื่นๆ ดังนั้นหากจะสงสัยว่าผมเล่นละครลิงกับอีกฝ่ายก็ไม่แปลกอะไรนัก

 

 

 

 

เพราะงั้นหมอนี่ก็เลยพยายามจะกระตุ้นให้ผมโมโหและปั่นหัวผมเพื่อดึงข้อมูลจากผมไปด้วยคำพูดของเขา

 

 

แต่แทนที่เขาจะถามผมตรงๆ แบบรากุนะ เขากลับถามออกมาแบบกึ่งเล่นกึ่งจริงแทน

 

 

――ผมมองไปยังใบหน้าของเพื่อนร่วมรุ่นผมที่ยืนอยู่ตรงหน้า

 

 

แม้ท่าทางของซาอิจะยังทำตัวสบายๆ แต่ดวงตาของเขาไม่ใช่เล่นๆ เลยแฮะ

 

 

 

ผมและผิวสีน้ำตาลเข้ม กับร่างที่ผอมสูง ซึ่งมีลักษณะการยืนหลังค่อมเล็กน้อยเขาไม่เปลี่ยนไปจาก 5 ปีก่อนเลยสักนิด

 

 

ตอนที่ผมอยู่บนเกาะเมื่อก่อนหมอนี่ก็ชอบล้อชื่อโซระของผมว่าคาระ (ความว่างเปล่า) เสมอ

 

แค่นึกก็ชักโมโหขึ้นมาละสิ เมื่อก่อนผมสวนอะไรกลับไปไม่ได้ด้วยเพราะคำพูดและการกระทำของเขาก็มักจะมีคนหนุนอยู่เสมอเนื่องจากความสำเร็จของเขาที่เหนือกว่าผมไปหลายเท่า

 

 

 

 

พอรู้ว่าทางเขาเองก็พยายามฝึกฝนอย่างหนักจนได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทางผมเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าฝึกต่อไป โดยไม่ตอบโต้อะไรซาอิที่หยอกล้อผม

 

5 ปีก่อนทางผมเองก็รักษาระยะห่างกับซิดนีย์เอาไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนนิสัยแย่อะไร แต่เพราะซิดนีย์เป็นเพื่อนสนิทของซาอิ ผมก็เลยไม่อยากจะไปสานสัมพันธ์อะไรกับซิดนีย์แม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยดี――เอาเป็นว่าซาอิ คุมอน เป็นของแสลงสำหรับผมในอดีตมากจริงๆ

 

 

 

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมค่อนข้างจะระวังตัวไม่ให้ไปยุ่งอะไรกับซาอิในตอนที่กลับมายังเกาะ แม้ว่าหลังจากผมเอาชนะไฮดราได้สำเร็จ ผมจะมั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเขาแน่ๆ แต่ความรู้สึกอันแสนอ่อนแอตอนยังอยู่ที่เกาะก็ใช่จะหายไปง่ายๆ ผมยอมรับว่าในใจของผมยังกลัวซาอิอยู่ ไม่ต่างอะไรกับผมกลัวพ่อของผมและรากุนะ――กระทั่งไม่นานมานี้แหละ

 

จากนั้นซาอิก็หันมามองผมและเปิดปากพูดขึ้น――ระหว่างนั้นเขาก็ใช้ปลายหอกส่วนทื่อกระแทกเข้ากับพื้นด้วย

 

 

 

 

「แบบนี้นี่เองๆ นอกจากจะสามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้แล้ว ดูเหมือนจะเติบโตในฐานะลูกผู้ชายจนสามารถสบตาฉันได้แล้วสินะ」

 

 

 

น้ำเสียงของเขายังชวนวอนเท้าเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกที่เหมือนเข็มทิ่มแทงผมมันดันหายไปซะงั้น

 

 

หรือว่าหมอนี่มันจะชมผมจริงๆ ฟะ――ไม่สิจะเรียกว่าชมก็คงไม่เชิง ความรู้สึกมันเหมือนทักทายคนที่กลับมาถึงบ้านแบบสบายๆ มากกว่า ความรู้สึกที่ส่งผ่านคำพูดมาก็เหมือนจะไม่อยากกวนอะไรผมแล้ว

 

 

ทางซิดนีย์ที่เข้าไปดูแลปู่ของเขาก็มองมาทางผมด้วยความโล่งอก ดูเหมือนซิดนีย์ก็จะรู้ถึงความตั้งใจจริงของซาอิแต่แรกอยู่แล้ว แต่เขาก็เตรียมพร้อมอยู่เสมอหากสถานการณ์มันบานปลายเกินแกล้งกัน

 

 

บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นแบบนี้ต่อไปผมว่าผมคงจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ใหม่กับทั้งสองซึ่งต่างไปจาก 5 ปีก่อนก็ได้นะ อย่างน้อยก็เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีระหว่างพวกผม

 

 

 

――แต่ใครมันจะไปทำกัน

 

 

ผมก็เลยเลือกเดินจากซาอิมาเงียบๆ แทน

 

 

ความกลัวที่ผมมีต่อซาอิก็หายไปแล้วเหลือเพียงแค่ความทรงจำในอดีต ทั้งที่ตอนแรกผมจัดเขาอยู่ในตำแหน่งที่น่าจับตามองแท้ๆ ให้ตายสิเจ้าพวกนี้ไม่ว่าจะซิดนีย์ มอร์แกนหรือเซซิลดันมาจอดกับคิจินแค่ 7 8 ตัว

 

 

 

ผมเลยมองว่าจากนี้ไปคนที่ผมพอจะให้ความสนใจได้คงจะเป็นคนระดับที่สามารถใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้เช่นเดียวกับโกซุแล้วแน่ๆ

 

 

นอกจากนี้ที่ผมไม่จัดหนักเจ้าซาอิก็เพราะไม่อยากให้ท่านเอ็มมะเข้าใจอะไรผมผิดด้วยสิ――

 

 

 

 

「แกนะแก แกนะแก หนอยยยย เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ!」

 

 

 

 

เอาเป็นว่าผมก็ให้เวลาเจ้าโอเค็นนี่มากพอแล้วมั้ง

 

 

คิจินได้ส่งเสียงคำรามออกมาก่อนจะกระพือปีกของมันแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า บาดแผลที่เกิดจากองค์หญิงแห่งเปลวเพลิงส่วนใหญ่ก็หายแล้วด้วย ดวงตาทั้งสองของมันที่ควรจะถูกหลอมละลายไปแล้วก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม

 

 

พอบอกว่าเป็นสาวกแห่งทวยเทพ ผมก็พอเดาได้อยู่แล้วอ่ะนะว่าหมอนี่ต้องใช้เวทฟื้นฟูได้

 

 

พอมองขึ้นไปดูก็เห็นเลยว่า ดวงตาของคิจินนี่มันแค้นจนไฟลุกไม่ต่างอะไรกับเตาหลอมเลยวุ้ย

 

 

จากนั้นโอเค็นก็เริ่มร่ายเวทด้วยเสียงที่ดังลั่น

 

 

 

「『เขาแห่งอสูรบนศีรษะ ลายเสือดาวบนลำตัว เกล็ดงูที่ปลายหาง』!」

 

 

 

 

เป็นบทร่ายที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ แต่ก็ดูจะเป็นเวทระดับสูงพอสมควรด้วยบทร่ายที่ยาว

 

 

คนที่พูดเตือนขึ้นมาก็คือมอร์แกน สกายชิพอดีตหัวหน้าหน่วยธงที่ 6――ซึ่งผ่านสมรภูมิมาแล้วนักต่อนัก

 

 

 

 

「นั่นมัน เวทลมระดับ 9…..นี่มันตั้งใจจะพัดทุกสิ่งที่อยู่บนพื้นนี้ให้หายไปจนหมดแน่…!」

 

 

 

เสียงของมอร์แกนดังขึ้น โดยมีทางซิดนีย์หลานชายของเขาคอยพยุงร่างเอาไว้อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลหรือความกลัวต่อเวทนี้กันแน่ท่าทางของเขาเลยเป็นแบบนั้น

 

 

ในระหว่างนี้เองบทร่ายก็ถูกร่ายต่อไปเรื่อยๆ สายลมรอบตัวของโอเค็นก็เริ่มพัดแรงขึ้น เสียงเสียดสีกันของอากาศก็เริ่มก่อตัวดังราวกับฟ้าผ่า

 

 

 

「『เสียงคำรามแห่งสัตว์ร้าย คำมั่นสัญญาอันเป็นนิรันดร์ สลักกรงเล็บ ณ ทุ่งเมเปิลสีแดงฉาน』」

 

 

 

ดูเหมือนว่าเวทจะใกล้ร่ายเสร็จแล้ว แถมทางโอเค็นก็ดูจะเค้นพลังหนักกว่าเดิมอีก

 

 

ท่าทางหมอนี่จะเสริมความแรงของเวทด้วยพลังกายตัวเองเข้าไปด้วยแน่ๆ สายลมตอนนี้ได้คำรามออกมาและหมุนรอบๆ ตัวของคิจินเอาไว้ ราวกับมันกำลังสวมชุดที่ทำมาจากพายุ

 

 

พอเห็นว่าเป้าหมายของลมพายุนั้นคือพื้นดินทั้งหมด พวกภรรยาน้อยและคนอื่นๆ ที่ตามมาด้วยก็ต่างกรีดร้องกันออกมาอีกครั้งเพราะแค่ตอนนี้ลมมันก็แทบจะพัดร่างของพวกเขาให้ปลิวไปได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

「『จงทะลวงสายลมและกลุ่มเมฆ ว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด』」

 

 

 

ความแม่นยำในบทร่าย และพลังที่ใช้ เทียบไม่ได้กับตอนที่มันใช้แกล้งอิบุกิเลยสักนิด

 

จากนั้นก็มีเสียงแห่งความสุขดังขึ้นภายในลมพายุที่โหมกระหน่ำนั้น

 

 

 

 

「เอาล่ะ จงหนีให้พ้นปีกฟินิกซ์แห่งข้าเสียสิ!『วายุทมิฬ――ขาทั้ง 4 ที่จะทะยานตัดเส้นขอบฟ้า――โคคุฮิเร็น (เฟยเหลียน) 』!!」

 

 

 

และแล้วเวทมนตร์ที่ทรงพลังก็ถูกร่ายจนเสร็จ

 

 

 

เวทระดับ 9 คือเวทระดับสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะรู้จัก นอกจากนี้พอรวมเข้ากับพลังของคิจินด้วยแล้ว ก็คงไม่ต้องถามมั้งว่าจะแรงได้อีกขนาดไหนกัน

 

 

 

――แต่สำหรับผมแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ

 

 

 

 

「เห้อ ได้แค่นี้เองเหรอ」

 

 

 

อยากจะอ้วกออกมาด้วยความผิดหวังเลยวุ้ย

 

 

เมื่อก่อนผมเคยรับมือกับเวทระดับ 8 มาแล้วตอนอยู่ที่เมืองหลวงของคาราเรีย ความโหดของเวทตอนนี้คงมากกว่านั้น 2 เท่าได้ ทว่าความสุดยอดของเวทระดับ 9 ก็ไม่สามารถทำให้ผมตกใจได้อีกแล้ว

 

 

พลังที่เสริมเข้ามาในเวทมนตร์เองก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจนัก

 

 

 

ก็จริงว่าเจ้าโอเค็นมันแข็งแกร่งแน่ๆ แต่หากจะให้เอาไปเทียบกับไฮดราเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ผมสู้ในป่าทีทิสแล้วคงไม่ไหว ไม่สิผมว่าโกซุที่ใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่ายังหินกว่าเยอะ ดังนั้นภัยคุกคามระดับนี้ผมไม่เห็นจะกลัวเลยสักนิด

 

 

ภาพตรงนี้ก็เลยกลายเป็นทันทีที่เวทระดับ 9 ถูกปล่อยออกมา ผมก็ใช้โซลอีทเตอร์ออกกระบวนท่า วายุ ใส่แบบสบายๆ เข้าปะทะกับเวทของโอเค็น พายุที่โหมกระหน่ำนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นแล้วสลายออกไปเฉยเลย

 

 

 

 

「………………หา」

 

ผมจ้องมองไปยังใบหน้าของโอเค็นที่เหมือนจะพูดอะไรไม่ออก ดูจากสีหน้าของมันแล้วนี่น่าจะสุดกำลังของมันแล้วด้วยสิ นี่ขนาดว่าให้เวลาเตรียมไพ่ตายแล้วนะเห้ย ผิดหวังชะมัด

 

ผมก็ทำได้เพียงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ

 

เอาเถอะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็รีบๆ ฆ่ามันแล้วตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลดีกว่า ว่าแล้วผมก็ใช้โซลอีทเตอร์ฟันวายุออกไปอีกครั้งใส่โอเค็น

 

วายุได้ตัดผ่านห้วงอากาศด้วยความเร็วสูงและตัดแขนขวาของโอเค็นได้อย่างง่ายดาย โอเค็นที่ไม่สามารถประคองการทรงตัวได้ด้วยปีกข้างเดียวก็ร่วงลงมาที่พื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

 

แต่ก่อนที่มันจะได้กระแทกถึงพื้น ผมได้ทำการพุ่งไปยังจุดที่มันจะร่วงแล้วใช้มือข้างหนึ่งในการรับร่างของโอเค็นแทน

 

หากมาตายเพราะร่วงลงพื้นก็อดกินวิญญาณกันพอดีสิฟะ นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่ผมอยากจะถามก่อนฆ่ามันด้วย

 

พอรับร่างของมันได้ ผมก็โยนโอเค็นลงไปที่พื้น ทันทีที่โอเค็นล้มลงมันก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สภาพร่างกายที่คล้ายกับนกได้คืนสู่ร่างปกติเสียแล้ว จากที่ดูมันคงไม่เหลือแรงพอให้รักษาร่างนั้นไว้ได้แล้ว

 

พอผ่านไปครู่หนึ่ง โอเค็นก็พยายามประคองร่างของตัวเองขึ้น และพบกับใบหน้าของผมที่อยู่ในระยะประชิด สีหน้าของเขาได้กระตุกและเปลี่ยนไปในทันทีก่อนจะตะโกนอะไรออกมาก็ไม่รู้ด้วยความสิ้นหวังและพยายามถอยห่างผมออกไป

 

แน่นอนว่าผมไม่ปล่อยให้มันหนีหรอกนะ ผมก็เลยใช้ปลายดาบของโซลอีทเตอร์จ่อไปที่คอของโอเค็น

 

「เอาล่ะ ไอ้เจ้าไทซาน หากปล่อยไว้แบบนี้แกได้ตายเอาแน่ๆ ถ้ามีไพ่ตายอะไรอีกก็งัดออกมาให้หมดซะ」

 

「….จะ….เจ้าเป็นใครกันแน่? ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีตัวประหลาดแบบนี้อยู่ด้วย――」

 

「ตอบคำถามกันก่อนสิเห้ย」

 

ผมได้กดดาบลงไปที่คอของโอเค็น คมดาบได้เฉือนเข้าไปที่คอของมันจนทำให้เลือดไหลออกมา

 

ผมก็เลยถามโอเค็นต่อ

 

「แกก็เป็นพวกเดียวกันกับที่โจมตีคฤหาสน์ตระกูลมิตสึรุกิไม่ใช่หรือไง? ทำไมไม่ใช้พลังที่ทำให้แกร่งพอๆ กับพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานเหมือนตรงนั้นล่ะ? 」

 

「….ถ้าข้าบอก เจ้าจะยอมปล่อยข้าไปงั้นหรือ? 」

 

「ถ้าแกไม่ตอบ ให้มั่นใจได้เลยว่าแกตายแน่」

 

「……」

 

โอเค็นมองผมเงียบๆ ดูเหมือนเขากำลังพยายามจะคิดคำนวณถึงทางรอดอยู่

 

ในที่สุดโอเค็นก็ยอมเปิดปากพูดเพราะเหมือนได้คำตอบที่ตัวเองควรตอบแล้ว

 

 

「คนที่กำลังโจมตีคฤหาสน์อยู่ตอนนี้น่าจะมอบร่างให้กับเทพปีศาจไปแล้ว…หากถามว่าข้าทำได้แบบเดียวกันไหมก็ต้องตอบว่าทำได้ แต่ข้าไม่มีความตั้งใจจะทำเช่นนั้นเลย…」

 

 

「ทำไมล่ะ? ยังไงแกก็ต้องตายอยู่ดี สู้ลากศัตรูลงหลุมไปด้วยให้มากที่สุดไม่ดีกว่าเหรอ」

 

「…..มันไม่ได้หมายความว่าคิจินทุกตนจะอุทิศทั้งชีวิตให้กับเทพปีศาจเสียหน่อย….คิจินทุกตนนั้นเชื่อมโยงกับเทพปีศาจชียูไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ในเรื่องนี้บางตนก็มองว่ามันคือพร บางตนก็มองว่ามันคือคำสาปและเกลียดมันยิ่งกว่าอะไร」

 

 

ก็ได้ยินเรื่องที่มันบอกผมก็เลิกคิ้วขวาขึ้นเหมือนที่ซาอิทำก่อนหน้านี้เลย ชียูที่ว่าน่าจะเป็นชื่อของเทพปีศาจ พอได้ยินว่ามีคิจินเกลียดเทพปีศาจแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆ แฮะ

 

 

 

「ถ้าให้ฉันเดาแกเป็นอย่างหลังสินะ」

 

 

「ฟุฟุ….อายุขัยของสาวกแห่งพระเจ้า (บุตรอันเป็นที่รัก) น่ะช่างสั้นนัก เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไม…..เพราะความสามารถของคิจินตนหนึ่งนั้นมันน้อยนิดเกินจะรับพลังของชียูได้น่ะสิ พ่อของข้ากษัตริย์แห่งไทซานก็ได้สิ้นชีพไปเพราะรับพลังของชียูไม่ไหวเช่นเดียวกัน….」

 

 

 

โอเค็นได้เอามือซ้ายปิดใบหน้าของตนเอาไว้และขยับปากพูดต่อไปในขณะที่ลมหายใจเริ่มหอบขึ้น

 

「ข้าน่ะ….ข้าน่ะไม่อยากจะตายเพราะมัน ใช่แล้วข้ายังไม่อยากตาย….! เพราะงั้นข้าถึงได้เข้าร่วมกับลัทธิแห่งแสงเพื่อทำลายคำสาปนี้ลงยังไงล่ะ――แล้วทำไมข้าจะต้องมาตายในที่แบบนี้กัน? พ่ายแพ้ให้กับมนุษย์น่ะหรือ คึกคึก คึกคึก ….หึหึหึหึหึหึหึหึ!」

 

 

 

โอเค็นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับคนเสียสติ

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าที่มันเสียสติได้ขนาดนี้เป็นเพราะผมหรือนึกถึงอดีตที่พ่อตัวเองตายไปจนเป็นบ้า ไม่ก็เสียเลือดมากเกินไปจนทำให้ประคองสติไม่อยู่

 

 

 

อันที่จริงผมก็มีอีกหลายเรื่องที่จะถามนะ แต่สภาพของมันตอนนี้ไม่น่าไหวแฮะ

 

 

จากนั้นโอเค็นก็ตะโกนออกมา

 

 

 

「――มีใครเหลืออยู่ที่แห่งนี้บ้าง?! ท่านคาการิ ท่านอิซากิ! ข้ายังไม่อยากตาย ข้าจะมาตายในที่แบบนี้ไม่ได้! ใครก็ได้ช่วยข้าที!!」

 

 

มันคือเสียงคำราม มันคือเสียงกรีดร้อง มันคือเสียงวิงวอน โอเค็นเค้นเสียงออกมาจนถึงขีดสุด เส้นเลือดสีแดงในดวงตาของเขามันแทบจะทะลักออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินจาก

 

 

เสียงที่สิ้นหวังของโอเค็นมันดังสะเทือนท้องฟ้าเมืองชูโตะ จนทำให้รู้สึกว่าคนทั้งเกาะน่าจะได้ยินเลย

 

 

ทว่ามันก็ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา ราวกับจะบอกว่าการกระทำของโอเค็นไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าการดิ้นรนอย่างสิ้นหวังต่อความตายตรงหน้า

 

 

ทว่าในวินาทีต่อมา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น

 

 

 

 

「――――หือ!」

 

 

 

ผมสัมผัสได้ถึงการโจมตีจากอีกฝ่าย ก็เลยเลือกที่จะถอยหนีออกมาก่อน

 

 

ได้เกิดประกายแสงขึ้นเพื่อกวาดเอาพื้นที่ที่ผมยืนอยู่ก่อนหน้านี้ให้หายไป ผมมั่นใจเลยว่าหากผมยังยืนอยู่ตรงนั้น ผมได้ถูกผ่าครึ่งซีกแน่

 

 

ผมค่อยๆ ปรับท่าทางของผมเสียใหม่แล้วมองไปยังเบื้องหน้า

 

 

เบื้องหน้าของผมยังมีโอเค็นอยู่ แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือมีคิจินตนหนึ่ง ไม่สิถ้าจะให้พูดชัดๆ น่าจะเป็นเสาต้นยักษ์ต้นหนึ่งมากกว่า

 

 

 

ลักษณะของมันค่อนข้างโดดเด่นพอสมควร

 

 

คิจินที่สูงกว่า 3 เมตร แขนขาใหญ่โตราวกับเสาเหล็กยักษ์ ดวงตาสีแดงก่ำ มาพร้อมกับคมเขี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ออกมาจากปาก

 

 

จะเรียกว่ามนุษย์ก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าคิจินก็ไม่เชิง จะเรียกว่ามอนสเตอร์ก็ไม่น่า

 

 

เทพปีศาจ――นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าผมเป็น

 

 

——–

Note 1 : ในโนเวลจะมีจุดเสริมตรงที่ว่า ชูคุยะมองว่าการที่ชิกิบุไม่ให้พวกตนเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในเมืองคราวนี้คือต้องการจะให้พวกเด็กรุ่นใหม่ได้เจอของแข็งกันบ้างเพื่อเป็นการฝึกฝน เพราะหากพวกตนเข้ามายุ่ง เรื่องราวคงจะจบก่อนที่พวกเด็กๆจะได้แสดงฝีมือแน่

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

 

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน