ตอนที่ 137 ผลลัพธ์
「ฮึ้ว…! ก็ใช้ได้เลยนะเนี่ย」
หลังจากที่ฟันโอเค็นทิ้งไป ผมก็สัมผัสได้ถึงวิญญาณจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกาย ก่อนจะพูดกับตัวเอง ก็เข้าใจหรอกนะว่าเก่งระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนทั้งบุตรแห่งไทซานเอย สาวกแห่งพระเจ้าเอย หากจะคาดหวังกับชื่อพวกนี้แล้วคิดว่าเก่งสุดๆ ก็น่าจะเกินไปหน่อย
ก็จริงอยู่ว่าหากปล่อยให้โอเค็นหนีไปได้แล้วตามไม่ทัน เดี๋ยวหมอนี่อาจจะสร้างเรื่องยุ่งยากให้ภายหลัง――แต่หากลองเทียบโอเค็นกับเทพปีศาจที่ผมเอาชนะได้ก่อนหน้านี้ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ความคุ้มค่ามันต่างกัน
ผมคิดขณะมองไปยังศพของโอเค็น บริเวณที่ผมจดจ้องไปก็คือส่วนของเขาที่งอกมาจากหัว ดูสภาพแล้วคงไม่น่าจะเอาไปใช้เป็นไอเทมเวทมนตร์อะไรได้แล้วแฮะ พอโดนผ่านครึ่งไปพร้อมกับร่างของเขา
จะบอกว่าไม่เสียดายก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะบางทีเขาของโอเค็นอาจจะใช้เป็นสื่อเวทแทนเขาของเบฮีมอธก็ได้――ซึ่งมันมีไว้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายพิษของไฮดรา
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรย้อนคืนได้ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาหลายๆ อย่างดูแล้วอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักในการเอาเขาคิจินกลับไปด้วย
หากผมเอาเขาของโอเค็นกลับไปแล้วดันสร้างบาเรียขึ้นมาได้จริง แน่นอนว่าพิษของไฮดราในป่าทีทิสและแม่น้ำเคลก็จะถูกแก้ไข
ทว่าข้อเท็จจริงในเรื่องที่เขาของคิจินสามารถสร้างบาเรียเวทที่ทรงพลังได้ก็จะถูกแพร่กระจายออกไปทางพวกระดับสูงของอาณาจักรคานาเรียและอิชกะ
ก็หมายความว่าพวกเขาอาจจะคิดเรื่องการหาพลังงานสำรองหากพลังเวทของเขาอันแรกหมด
คงไม่ต้องพูดแล้วมั้งว่าซูซูเมะที่อยู่กับผมคงถูกจ้องตาเป็นมัน
ดังนั้นผมคงไม่สามารถเอาของที่จะเพิ่มโอกาสที่ทำให้ซูซูเมะตกอยู่ในอันตรายกลับไปได้หรอก
――แถมนึกสภาพเธอสิ ถ้าผมเอาเขาของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตัวเองกลับไปให้เธอดูจะเป็นยังไง ไม่เอากลับไปน่ะดีแล้ว
เอาเป็นว่าตอนนี้โอเค็นก็ตายไปแล้ว เทพปีศาจผมก็กินแล้ว หลุมฝังศพของแม่ก็ไปเยี่ยมมาแล้ว เงื่อนไขของทางตระกูลในการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของผมก็ผ่านแล้ว ผมว่าผมน่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นบนเกาะหมดแล้วนะ เหตุผลที่จะอยู่ต่อก็ไม่มีแล้วด้วย กลับอิชกะเลยแล้วกัน
ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะไปร่ำลาท่านเอ็มมะก่อนกลับหรอก แต่คงจะไม่ดีนัก เพราะหากผมแสดงความเคารพรักต่อท่านเอ็มมะมากเกินไป เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าคนที่ถูกเนรเทศออกเกาะไปดันหลงรักภรรยาของผู้นำตระกูลและวางแผนแปลกๆ เอาไว้ คือผมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าพวกนั้นจะคิดแบบไหน แต่ผมไม่อยากให้ท่านเอ็มมะเดือดร้อนไปด้วยน่ะสิ
นึกหน่อยซิๆ เหลืออะไรที่ต้องทำอีกไหมน้อ
พอผมคิดแบบนั้น ก็มีภาพใบหน้าของคิจินที่ผมเคยพูดด้วยเมื่อกี้ผ่านเข้ามา คาการิ ถึงแม้จะยังดูเด็ก แต่พลังนี่ของจริงเลย
คาการิถูกโอเค็นที่เป็นผู้นำของทางไทซานว่าท่าน ก็แปลว่าเขาต้องเป็นหัวหอกของทางฝั่งคิจินแน่ นอกจากนี้ทางคาการิก็บอกเองว่ารอบนี้ตัวเองมาแค่เป็นพยาน ไม่คิดจะสู้ ก็แปลว่าพวกคิจินน่าจะกำลังวางแผนอะไรกันอยู่
จากข้อมูลที่ได้รับในวันนี้ พวกนั้นน่าจะวิเคราะห์ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลมิตสึรุกิได้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างแผนโจมตีเต็มรูปแบบในครั้งถัดไปแน่ๆ
ผมก็ไม่อยากจะให้เกาะที่แม่ของผมหลับใหลอยู่และเกาะที่ท่านเอ็มมะอาศัยอยู่ต้องวุ่นวายไปมากกว่านี้ด้วยสิ ดังนั้นผมเอาเรื่องนี้ไปเตือนทางตระกูลดีไหมนะ――ผมคิดแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาแทน เห้อ ไร้สาระน่า
สำหรับตระกูลมิตสึรุกิ การปกป้องประตูปีศาจคือหน้าที่ที่พวกเขาทำมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมาโดยตลอดช่วง 300 ตามคำสั่งของจักรพรรดิ ไร้เดียงสาชะมัดหากจะไปบอกให้พวกเขาเสริมการป้องกันประตูปีศาจเพิ่ม
สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรที่จำเป็นต้องทำบนเกาะแล้วจริงๆ ตอนนี้ก็ต้องกลับไปที่อิชกะตามแผนที่วางไว้ก่อน จากนั้นค่อยมุ่งหน้าไปเบลก้าเพื่อตามหาเบฮีมอธต่อ
ถ้าผมสร้างปัญหาอะไรที่นี่เพิ่มอีก มันก็มีความเป็นไปได้ที่ตระกูลจะมายุ่งอะไรกับคนของผมระหว่างที่ผมไม่อยู่เหมือนกัน แต่ผมคงไม่ต้องกังวลมั้ง
เพราะเมื่อผมได้เจอพ่อของผม พ่อก็ยังเป็นคนเดิม พ่อคนที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าคิดอะไรอยู่ในหัว แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยกลับคำของตัวเอง ตอนนี้ผมก็พิสูจน์ความแข็งแกร่งให้เขาเห็นแล้ว เขาก็น่าจะไม่เปลี่ยนใจแล้วไปทำอะไรซูซูเมะอีก นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของประตูปีศาจ เขาคงไม่สามารถส่งพวกระดับสูงออกไปนอกเกาะได้หรอก
หลังจากคิดอะไรเสร็จหมดแล้ว ผมก็เริ่มเตรียมตัวออกเดินทางกลับ
――ทว่าก่อนจะได้ทำแบบนั้น อยู่ดีๆ ผมก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางกำลังจ้องมองผมอยู่ เลยหันกลับไปดู
สายตานั้นมันมาจากทางคฤหาสน์ของตระกูลมิตสึรุกิที่สร้างอยู่บนเนินเขา ผมไม่เห็นหรอกนะว่าเป็นใครเนื่องจากมันไกลมาก แต่ผมรู้ได้เลยว่าคนที่อยู่ตรงนั้นกำลังจ้องมองมาทางผมอยู่
ก็ไม่ได้มีความเป็นปรปักษ์มาจากสายตานั้นหรอกนะ แต่ใครมันจะไปชอบให้คนจ้องแบบนั้นกัน ผมพยายามจะเพ่งสมาธิเพื่อหาว่าสายตานั้นเป็นของใครกันแน่――แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร
หากลองคิดดูดีๆ แล้ว ขนาดพวกคิจินยังมีคนที่คอยจับตามองการกระทำของพวกตัวเอง คงไม่แปลกเท่าไหร่หากตระกูลมิตสึรุกิจะมีของแบบนั้นเหมือนกัน
ผมถอนหายใจออกมา แล้วหันหลังกลับเพื่อบอกว่าไม่ได้สนใจสายตานั้นแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเผยตัวของคนที่ทำหน้าที่สอดส่องให้ตระกูลด้วย คิดอะไรมากไปเกี่ยวกับเจ้าของสายตานั้นก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ผมส่งแรงไปที่เท้าและเตะพื้นพุ่งออกไป โดยที่ยังสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองแผ่นหลังของผม
◆◆◆
「――อึก?!」
ทันทีที่เขาได้สติ มิตสึรุกิ รากุนะก็ยกร่างท่อนบนของตัวเองขึ้นมาจากที่นอน ก่อนจะใช้มือซ้ายจับไปที่หน้าอกของตนแล้วหายใจหอบออกมา
「ท-ที่นี่…ที่ไหน…」
สายตาในตอนนี้ของเขาค่อนข้างพร่ามั่ว เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นรากุนะก็พยายามพยุงร่างของตัวเองขึ้นเพื่อสำรวจรอบๆ
อย่าได้หยุดเท้า ต้องก้าวต่อไป ไม่เช่นนั้น จะถูกมอนสเตอร์นั่นผ่าครึ่งเอาแน่ พอความคิดนั้นผ่านเข้ามาในหัว――รากุนะก็นึกถึงเรื่องภายในความทรงจำที่ดำมืดไปชั่วขณะของเขาได้ทันที
เขากำลังต่อสู้อยู่กับคิจินที่บุกมาในคฤหาสน์ของตระกูล เขาจำได้ว่าตอนนั้นอีกฝ่ายเรียกเทพปีศาจออกมา และเขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีของศัตรูได้ สุดท้ายเขาก็ถูกดาบขนาดยักษ์นั่นโจมตีเข้ามาที่หน้าอก――
「นี่เราหมดสติไปงั้นเหรอ…หึ…สภาพดูไม่ได้เลยวุ้ย….!」
รากุนะกัดฟันแล้วมองลงไปที่ร่างของตน ก่อนจะพบว่าทั้งร่างของเขาตอนนี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลหลายชั้น
และหากลองมองดูให้ดีๆ จะเห็นว่าภายใต้ผ้าพันแผลนั้นมีร่องรอยของดาบขนาดใหญ่สลักลึกลงที่ร่างของเขา ซึ่งมันลากยาวตั้งแต่ไหล่ซ้ายไปจนถึงสะโพกขวา แน่นอนว่าบาดแผลมันปิดสนิทแล้วเสียจนน่าตกใจว่าทำไมถึงยังรอดจากการโจมตีระดับนั้นมาได้อีก ซึ่งก็ต้องขอบคุณในการตัดสินใจของตัวเองที่เลือกถอยหนีแทนที่จะรับการโจมตีนั้นด้วยดาบ
ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่รักษาแผลของเขาเป็นผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณหรือทางตระกูลพาตัวนักบวชมากัน
แต่ไม่ว่าจะแบบไหน การที่เขาสามารถพักอยู่ภายในห้องของตัวเองได้แบบนี้ก็แปลว่าการคุกคามของเทพปีศาจได้จบลงไปแล้ว บางทีพ่อของเขาชิกิบุอาจจะเป็นคนออกไปจัดการเองก็ได้
ดังนั้นคงจะไม่มีประโยชน์อะไรหากรากุนะจะลุกจากเตียงแล้วจับดาบออกไปข้างนอก รากุนะก็เข้าใจดี แต่ด้วยความรับผิดชอบของทายาทตระกูลแล้ว เขาไม่สามารถนอนหลับสบายหลังจากโดนศัตรูฟันมาเฉยๆ ได้ เขายังสามารถออกไปค้นหาพวกคิจินที่เหลืออยู่ ไม่ก็จัดการกับพวกมอนสเตอร์ที่อยู่นอกกำแพง
เมื่อคิดได้แบบนั้น รากุนะก็เลือกจะออกจากห้องของตน แต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็ส่งผ่านมาทางแผลที่หน้าอกของเขา
「เจ็บชะมัด……!」
แม้แผลจะปิดไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดไม่ได้จางลงไปเลย เมื่อเขาได้สติความรู้สึกของการถูกฝันก็แล่นเข้ามาที่ร่างของเขามากยิ่งขึ้น
ความเจ็บปวดนั้นมันมากพอจะทำให้เขาต้องคุกเข่าลงที่เตียง จากนั้นประตูเลื่อนของห้องก็ถูกเปิดขึ้นอย่างเงียบๆ
ตรงหน้าเขาคืออายากะที่ถือถังใส่น้ำขนาดเล็กเข้ามา พอเธอเห็นรากุนะแสดงความเจ็บปวดออกมาเธอก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการ
「รากุนะ นายไม่ควรจะรีบลุกตอนนี้นะ ทางที่ดีนอนพักต่อเถอะ」
ภายในถังน้ำนั้นมีผ้าสีขาวสำหรับใช้วางไว้บนหน้าผากของรากุนะอยู่ หากสังเกตให้ดีๆ ก็จะเห็นว่ามีผ้าสีขาวตกอยู่ใกล้ๆ หมอนของเขาอีกอันหนึ่งด้วย มันคงจะหล่นลงไปจากการที่รากุนะสะดุ้งตื่นขึ้น
รากุนะก็เลยรีบถามคู่หมั้นของตนที่แสดงความเป็นห่วงกับเขา
「อายากะ เทพปีศาจถูกจัดการไปแล้วเหรอ?!」
「อื้อ พวกมันพ่ายแพ้ไปหมดแล้ว รวมถึงพวกมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามาในชูโตะด้วย ดังนั้นนายก็นอนพักผ่อนให้สบายเถอะ」
「ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ความเป็นไปได้ที่พวกคิจินที่รอดตายจะแทรกซึมเข้ามาก็มีอยู่ ฉันต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด」
ขณะที่รากุนะกำลังจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง อายากะก็เข้าไปกอดเขาอย่างอ่อนโยนราวกับเด็กน้อย
อายากะตบหลังของเขาเบาๆ เพื่อให้สงบลงและกระซิบที่ข้างหูของเขา
「เรื่องนั้นเดี๋ยวพวกนักรบแห่งผืนป่าจะรับผิดชอบเอง ตอนนี้งานของนายคือต้องพักฟื้นร่างกายก็พอแล้ว」
ทันทีที่เธอพูดแบบนั้น เธอก็ค่อยๆ ยกร่างของรากุนะลงไปที่เตียงในชั่วพริบตา ความว่องไวของเธอทำให้รากุนะไม่สามารถตั้งตัวได้ทันและในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้อยากจะขัดขืนอะไรด้วยเขาก็เลยทำได้เพียงแสดงสีหน้าที่บูดบึ้งออกมา
「อายากะ นี่เธอ…」
「ท่านเอ็มมะก็เป็นห่วงนายนะ ถึงตอนนี้เธอจะกำลังพักผ่อนอยู่แล้วให้ฉันมาดูแลนายแทนก็เถอะ แต่ก่อนหน้านี้เธอก็เฝ้านายไม่ห่างไปไหนเลยนะ ดังนั้นก็รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นด้วยแล้วกันแล้วอย่าทำอะไรให้เธอต้องเป็นกังวลอีก」
ทันทีที่อายากะพูดแบบนั้น เธอก็เอาผ้าขาวชุบน้ำเย็นแล้วบิดออก ก่อนจะกดลงที่หน้าผากของรากุนะ
เขาไม่สามารถปล่อยให้แม่ของตัวเองต้องมาเป็นกังวลได้ รากุนะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มผ่อนคลายร่างของตนแล้วนอนแต่โดยดี
เมื่อเห็นแบบนั้นอายากะก็ยิ้มออกมาแล้วจัดผ้าปูที่นอนให้เป็นระเบียบ ก่อนจะหยิบผ้าสีขาวที่ตกข้างหมอนลงในถังน้ำ「รากุนะ นายหิวน้ำไหม? 」
「ก็คอแห้งอยู่เหมือนกัน…ที่สำคัญกว่านั้น อายากะ ช่วยบอกฉันทีสิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่ฉันหมดสติไป」
ความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ทั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือของเทพปีศาจ ก็แปลว่าต้องมีคนเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเขาออกมา อายากะก็หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินรากุนะถามถึงรายละเอียดเรื่องนั้นก็สมกับตัวรากุนะดี เพราะเขาเป็นพวกเกลียดการปลอบประโลมด้วยคำลวง ดังนั้นอายากะก็เลยเลือกที่จะเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
「หลังจากที่นายหมดสติไป ฉันก็อุ้มนายถอยออกมาจากตรงนั้นแล้วพวกนักรบของธงที่ 1 ก็มารับมือแทน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันก็หนักหนาจริงๆ 」
「มีใครเป็นอะไรไปบ้าง? 」
「ก็มีคนตายไป 13 คน แล้วก็บาดเจ็บอีก 20 กว่าคน」
ในแง่ของตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้นอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ธงที่ 1 ถือว่าเป็นหน่วยที่สุดยอดมากเพราะเป็นหน่วยที่มีผู้นำตระกูลดูแลโดยตรง นอกจากนี้พวกเขาก็เป็นผู้ใช้อาภรณ์ระดับสูงกันทั้งนั้น
ดังนั้นเขาจึงอดตกใจไม่ได้ที่ความเสียหายของพวกธงที่ 1 ซึ่งเกิดจากเทพปีศาจจะมากขนาดนี้เมื่อได้ยินแบบนั้นรากุนะก็ทำได้เพียงกัดฟันแล้วสบถออกมา ราวกับต้องการดูถูกตัวเอง หาใช่คนอื่น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันก็เพราะรากุนะไม่สามารถจัดการกับเทพปีศาจได้
หากเปลี่ยนเป็นชิกิบุ พ่อของเขา เขามั่นใจได้เลยว่าพ่อของเขาจะต้องฟันเทพปีศาจให้หายไปได้ในดาบเดียว และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรขึ้น ทั้งที่นั่นคือสิ่งที่ผู้นำตระกูลมิตสึรุกิควรจะเป็น สำหรับรากุนะในฐานะทายาทผู้สืบทอดแล้ว เขาตระหนักได้ดีว่าตนบกพร่องมากขนาดไหน
ทั่วทั้งห้องตอนนี้ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
ทางอายากะเองก็จ้องมองรากุนะเงียบๆ โดยไม่ได้ทำการปลอบอะไรเขา เพราะรากุนะไม่ใช่คนแบบนั้น
รากุนะก็เลยเปิดปากพูดอีกครั้งเพื่อไม่ให้อายากะเป็นกังวลเพิ่ม
「แล้วใครเป็นคนโค่นเทพปีศาจลงกัน? ท่านพ่อหรือเปล่า? 」
「……เรื่องนั้น」
เสียงของอายากะที่ตอบคำถามอย่างลื่นไหลมาโดยตลอดกลับหยุดนิ่งไป รากุนะที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นและเรียกอายากะอีกครั้งเหมือนกับต้องการคำตอบจริงๆ
อายากะก็เลยถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
「โซระ เป็นคนจัดการกับเทพปีศาจน่ะ」
「……ว่ายังไงนะ? 」
「จากที่ฉันได้ยินมาเขาสามารถเอาชนะกับเทพปีศาจได้ด้วยการประจันหน้าตรงๆ 」
「ไอ้เจ้าบ้านั่น เป็นไปได้ยังไงกัน!」
รากุระแผดเสียงคำรามออกมาราวกับต้องการปฏิเสธคำตอบของอายากะ ร่างท่อนบนของเขาลุกออกจากเตียงในทันที ผ้าสีขาวที่วางไว้บนหน้าผากของเขาก็หลุดออกอีกครั้ง
รากุนะเริ่มรัวคำถามกับคู่หมั้นของตนที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่อทันที
「หมอนั่นจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน! ใคร ใครมันเป็นคนปล่อยข่าวลือพวกนี้?! ชิบะโกซุเหรอ หรือว่า――」
「ซิดนีย์กับท่านมอร์แกนก็อยู่ในเหตุการณ์นะ นอกจากนั้นท่านเอ็มมะก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเอง」
「หา――!? 」
รากุนะพูดอะไรไม่ออกทันทีเมื่อได้ยินว่าเป็นแม่ของเขาเองเพื่อตอบสนองต่อรากุนะที่แน่นิ่งไป อายากะพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
「แน่นอนว่าพอฉันได้ฟังเรื่องนี้จากท่านเอ็มมะ ฉันก็ไปถามซิดนีย์กับคนอื่นๆ ดูด้วย แต่พวกเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ขนาดซาอิก็ยังยอมรับเลย นอกจากนี้พลังคิในวินาทีที่โซระปลดปล่อยออกมาเพื่อสังหารเทพปีศาจน่ะฉันก็สัมผัสมันได้นะ ไม่สิคนทั้งเกาะก็น่าจะสัมผัสมันได้แน่ๆ 」
ออร่าคิที่แข็งแกร่งจนทำให้คนบนเกาะอสูรยักษ์ตัวสั่นได้ ไม่ผิดแน่พลังนี้แหละที่ทำการกลืนกินร่างของเทพปีศาจเข้าไป
ทั้งรุนแรงและล้ำลึก――มันคือความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่เกิดมาจากพลังของมังกร
อายากะได้เอามือเตะไปที่แขนของตัวเอง เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นร่างกายของเธอคงได้สั่นเป็นเจ้าเข้าแน่
ขณะที่เธอกำลังปลอบรากุนะที่หัวเสียอยู่ เธอก็คิดในใจ
ว่าเธอดีใจเป็นอย่างมากที่โซระออกจากเกาะไปแล้ว เพราะเธอไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเธอเองจะสามารถหยุดตัวเองไว้ได้ไหม หากต้องมาเจอกับโซระในตอนนี้
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code