ตอนที่ 165 ลึกลับ
นี่ก็ผ่านไป 3 วันแล้วตั้งแต่ที่ผมแยกออกมาจากคาร์ดินัลไซราระ
พวกผมได้ย้ายไปอยู่ที่โอเอซิสลิโล เพื่อทำการค้นหาเบฮีมอธและดาราสีเงิน
โดยการที่พวกผมเลือกออกมาจากเบลก้าไม่ใช่เพราะคาร์ดินัล แต่เป็นเพราะหากพวกผมย้ายจากวิหารแล้วไปอยู่โรงแรมภายในเมืองพวกคนที่ทางวิหารช่วยจัดการให้ก่อนหน้านี้คงได้โถมเข้ามาหาดราก้อนสเลเยอร์แน่
ว่ากันตามตรงมันค่อนข้างน่ารำคาญที่จะจัดการคนพวกนั้น ผมก็เลยออกจากเบลก้ามาเสีย
บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ได้เกลียดชังอะไรคาร์ดินัลไซราระเลย
กลับกันผมต่างห่างที่ควรถูกตำหนิ
ผมพยายามจะปิดบังบาปของวิสทีเรีย โดยใช้ความสำเร็จในการช่วยเหลือสันตะปาปานาโนอาห์เป็นเกราะกำบัง คาร์ดินัลก็ปฏิเสธก่อนชี้ให้เห็นถึงความอันตรายของดาร์คเอลฟ์และความสัมพันธ์ของพวกลิช เขาในฐานะคาร์ดดินัลที่รู้ว่าวิสทีเรียคือตัวการซึ่งกลายเป็นมอนสเตอร์แล้วอาละวาดในเบลก้า ย่อมไม่วางใจอยู่แล้ว
ถึงจะรู้แบบนั้นผมก็ยังเลือกจะทำตามที่ตัวเองต้องการ จึงไม่แปลกใจที่เขาจะแสดงท่าทางไม่พ่อใจออกมา นอกจากนี้จุดมุ่งหมายในการกระทำของผมก็แค่เพื่อตัวเอง ผมอยากจะแข็งแกร่งขึ้นเฉยๆ ดังนั้นหากวัดตาชั่งระหว่างความดีงามกับความชั่วร้ายแล้ว ฝั่งคาร์ดินัลย่อมอยู่ในฝั่งความดี
ผมรู้ดีว่าการส่งตัววิสทีเรียให้อาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ผมก็จะได้เป็นคนที่ปกป้องเบลก้าด้วย เอาเถอะ―― ก็ได้แต่หวังว่าให้เขาเข้าใจ ถึงมันจะมากเกินไปหน่อยก็ตาม
ทางผมก็ไม่ใช่เชื่อในตัวของคาร์ดินัลหรือวิหารเทพแห่งกฎหมายสุดใจจนสามารถเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดเพื่อขอความร่วมมือได้ด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเลือกเรื่องสันตะปาปามาเป็นเครื่องมือ
ส่งผลทำให้สุดท้ายผมกับคาร์ดินัลก็ต้องหยุดความสัมพันธ์กัน แต่อย่างน้อยเขาก็พูดว่าจะจัดการเรื่องเมื่อคืนให้เป็นอย่างสุดท้าย
ด้วยเหตุนี้วิสทีเรียก็เลยไม่ต้องมาเจอเรื่องน่าปวดหัว สรุปแล้วความสัมพันธ์ของผมกับเขาค่อนข้างจะไกลจากการเป็นศัตรูกันนะ ผมรู้สึกขอบคุณเขาด้วยซ้ำ
หนึ่งในเหตุผลที่ผมตัดสินใจออกมา ก็เป็นเพราะไม่อยากจะสร้างปัญหาให้กับเขาอีกต่อไปด้วย
ส่วนโอเอซิสลิโลแห่งนี้ผมก็ไม่ได้มาเป็นครั้งแรกด้วย วันก่อนตอนที่ผมพาคาเทียไปดูบริเวณที่ยังไม่ได้สำรวจ ผมก็มาพักที่นี่แหละ
ถึงมันจะตั้งอยู่กลางทะเลทราย แต่โอเอซิสลิโลก็คึกคักไปด้วยผู้คนและร้านค้า ปริมาณน้ำอาหารก็มากมาย เหล่านักผจญภัยที่มาตั้งฐานกันก็เยอะ
นอกจากนี้มันก็อยู่ไกลจากเบลก้า คงสามารถหลบสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนได้พอสมควร อิทธิพลของวิหารแห่งกฎหมายก็น้อยด้วย มันจึงเป็นจุดที่เหมาะสมกับพวกผมในตอนนี้มาก
พวกเราเดินทางมาที่นี่ด้วยกันอีก 5 คน ประกอบด้วยลูนามาเรีย ซูซูเมะ วิสทีเรีย อิเรียและคาเทีย แน่นอนว่ามีผมกับคราว โซราสด้วย
คือผมก็แอบสับสนตอนที่คาเทียขอติดมาด้วยนี่แหละ ทั้งที่รู้ว่าผมแยกทางกับคาร์ดินัลไซราระไปแล้ว เธอก็ยังเลือกจะตามมาเพื่อหาเบาะแสของแอโร่ ดูเหมือนว่าความสำคัญระหว่างสองอย่างนี้แอโร่จะใหญ่กว่า
ส่วนนักบวชอีกคนอย่างอิเรียพอเธอรู้เรื่องราวทั้งหมดก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา แต่เธอก็ไม่ได้บ่นอะไรต่อเพราะรู้ดีว่าเธอไม่ได้อยู่ในฐานะจะบ่นอะไรได้ หรือเพราะเธอยอมแพ้และรู้ว่าถึงบ่นไปก็ไม่ได้อะไรกันนะ
ลูนามาเรียกับซูซูเมะก็คุยกับวิสทีเรียอย่างสนุกสนาน ดูเหมือนอยากจะไม่ทำให้เพื่อนร่วมทางคนใหม่รู้สึกประหม่า
「ตอนที่ฉันออกมาจากป่าก็ได้คุณชีลช่วยให้คุ้นเคยกับชีวิตในเมืองค่ะ」
ตอนนี้ก็เป็นตาของฉันบ้างแล้ว ซูซูเมะพูดอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะกำมือทั้งสองข้างแน่น เห็นท่าทางมุ่งมั่นแบบนั้นผมก็อดชื่นชมไม่ได้――จะบอกว่าดูน่าเชื่อถือดีก็ได้มั้ง ส่วนทางลูนามาเรียก็เอาแต่ถามวิสทีเรียเกี่ยวกับปีศาจและหุบเหว
ก็ประมาณนั้นแหละ สุดท้ายก็มาจบที่โอเอซิสลิโล อย่างที่บอกไปตอนนี้พวกผมกำลังเตรียมการค้นหาเบฮีมอธ
แตกต่างจากการสำรวจในครั้งก่อนๆ ที่ไร้จุดหมาย ครั้งนี้ผมมีวิสทีเรียอยู่ด้วย
ในบรรดาข้อมูลที่ได้จากเอลฟ์ผมเงินคนนี้ สิ่งที่น่าสนใจสุดก็คงเป็นเรื่องของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่วิสทีเรียพูดก็คงจะเป็นเบฮีมอธซึ่งวนเวียนอยู่แถวๆ บาเรียที่ปกคลุมแอนดร้าเอาไว้
ว่ากันว่ามันคือสิ่งที่คอยปกป้องและเฝ้ามองแอนดร้า ถึงจะไม่รู้ว่าความจริงจะเป็นแบบไหนก็เถอะ แต่เอาเป็นว่าเบฮีมอธกำลังวนเวียนอยู่รอบๆ แอนดร้าแน่
หรือก็คือหากพวกผมไปถึงแอนดร้าได้พวกผมก็จะเจอเบฮีมอธด้วย
จากที่วิสทีเรียบอก แอนดร้าไม่ได้ใหญ่เท่าป่าทีทิสแต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเบฮีมอธเดินเร็วแค่ไหน อย่างน้อยคงไม่ต้องใช้เวลาตามหาเป็นปีๆ หรอกมั้ง
แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่ต้องใช้เวลาหาอีก 1-2 เดือนก็ยังมีอยู่ แต่มันก็เข้าท่ากว่าการหาไปอย่างไร้จุดหมายเยอะ นอกจากนี้ผมก็มีคราว โซราสไว้บินสำรวจในแอนดร้าด้วย
เหตุผลที่วิสทีเรียหาเบฮีมอธไม่เจอก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพราะเธอไม่รู้เส้นทางในทะเลทราย หากพวกผมใช้เส้นทางทางอากาศแทน โอกาศที่จะพบมันก็คงมากขึ้น
ปัญหาที่เหลือมันก็อยู่ตรงที่ เอลฟ์ในแอนดร้านี่แหละ พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อมนุษย์และไวเวิร์นที่บินว่อนไปทั่วดินแดนของเขากันนะ บางทีอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้บุกรุกด้วยก็ได้
วิสทีเรียก็บอกว่าคงไม่เป็นไรตราบใดที่ผมไม่ได้ไปยุ่งกับบาเรียหรือโจมตีแอนดร้า แต่อย่างน้อยก็ระวังตัวไปหน่อยน่าจะดี
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าถึงผมจะโจมตีเบฮีมอธไปพวกเขาก็ไม่คิดจะต่อว่าอะไร ถึงจะถูกเรียกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ไม่ได้เป็น สิ่งทางความเชื่อของศาสนาหรือสิ่งเคารพบูชาของคนในแอนดร้า
ในแอนดร้า เบฮีมอธก็เหมือนกับผู้ประหารเหล่าเอลฟ์ที่ถูกปีศาจสิงสู่ ก็หมายความว่าเอลฟ์คือเหยื่อของมัน หากบาเรียที่ปกป้องแอนดร้าหายไป มันก็คงจะโจมตีพวกเอลฟ์เหมือนกัน
ในมุมนั้นพวกเขาก็คงพอใจที่เบฮีมอธถูกปราบลงด้วยแน่
ปัญหาสุดท้ายก็คงจะเป็นกำแพงทราย――ที่เป็นอุปสรรคในระหว่างการสำรวจคราวก่อน พายุทรายขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในจุดที่ยังไม่ได้สำรวจ ทางวิสทีเรียบอกว่าเธอสามารถรับรู้ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหนเวลาใดและเบาบางลงตอนไหน นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่าหากเป็นตัวเธอคนเดียวสามารถฝืนฝ่ามันไปได้ด้วยสปิริต แต่หากต้องพา 6 ชีวิตกับ อีก 1 ตัวไปด้วยคงยาก
เธอบอกว่ากำแพงทรายที่เกิดขึ้นจะเริ่มเบาบางลงในอีก 2 วัน ดังนั้นพวกผมก็เลยมาทำการตรวจสอบน้ำและอาหารกันก่อน
――ในตอนนั้นเองก็มีชายที่อ้างว่าตนคือหัวหน้าของเหยี่ยวทะเลทรายมาพบผม
「ฮ่าๆๆๆ! ได้เวลาแสดงพลังในการดื่มแล้วนะ ดราก้อนสเลเยอร์!」
หลังจากเห็นผมยัดขนมปังปิ้งเข้าปากแล้วค่อยๆ จิบเบียร์ ชายตรงหน้าของผมก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วกระดกเหล้าแก้วใหญ่เข้าปากตัวเอง แม้ขนาดของแก้วจะใหญ่กว่าแก้วผมไปมาก แต่เหล้าภายในนั้นก็หายไปในชั่วพริบตา
ก็จริงว่ามันไม่ใช่เหล้าที่เหมือนกับที่ผมดื่ม แต่เป็นเหล้าเพลิงวิญญาณถึงปริมาณของแอลกอฮอล์จะไม่ได้หนักเป็นสองเท่าของแก้วผม ทว่าเขาก็กลืนมันได้สบายราวกับดื่มน้ำ
อัศวินดำโจเอล
นั่นคือชื่อของนักดื่มตรงหน้าผม――หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือเขาเป็นหัวหน้าของ『เหยี่ยวทะเลทรายย』ส่วนอัศวินดำคืออีกชื่อหนึ่งของเขา บางทีผู้คนอาจจะตั้งให้เพราะเขาคือด้านตรงข้ามกับอัศวินขาวอย่างแอโร่
จากใบหน้าอายุของเขาประมาณ 30 กลางๆ แม้ใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยหนวดเคราและดูหยาบกร้าน แต่ถ้าได้จัดแต่งทรงผมโกนหนวดสักหน่อย ผมมั่นใจเลยว่าเขาก็เป็นคนที่หล่อเหลามากคนหนึ่ง
โจเอลได้ปรากฎตัวออกมาต่อหน้าพวกผมโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนจะแนะนำตัวเองแล้วชวนผมไปดื่มด้วยกัน
ก็แน่ว่าผมสงสัยว่าหมอนี่คือตัวจริงไหม แต่พอหันไปดูปฏิกิริยาของคาเทีย ผมก็รู้ทันทีที่ว่าเขาคือตัวจริง เพราะสำหรับคาเทียที่เป็นสมาชิกของดาราสีเงิน โจเอลก็เหมือนเป็นศัตรูตัวฉกาจ――ผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม แต่อย่างน้อยคงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแน่ สายตาของคาเทียมั้งฟ้องเช่นนั้น
ผมเองก็ไม่ได้มีอะไรจะเสวนากับเหยี่ยวทะเลทรายด้วย บางทีเขาคงจะมีเรื่องเกี่ยวกับวิสทีเรีย แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องคุยกับเขาเหมือนกับทางวิหารเทพแห่งกฎหมาย เบฮีมอธก็ถูกระบุตำแหน่งได้แล้ว ไม่มีเหตุผลต้องขอความร่วมมือจากคนพวกนี้อีก
ในขณะที่ผมกำลังจะปฏิเสธคำเชิญ โจเอลก็เข้ามากระซิบที่ข้างหูของผม――โดยเขาบอกว่าอยากจะคุยเกี่ยวกับเรื่องแอโร่ ความเบาของมันแม้แต่ลูนามาเรียที่หูดีก็ยังไม่ได้ยิน
คำนั้นแหละที่ทำให้ผมมาจบตรงนี้
ส่วนเหตุผลที่ผมกำลังดื่มแบบเงียบๆ ก็เพราะรอให้หมอนี่เปิดปากพูด แล้วที่ที่พวกเรากำลังดื่มกันอยู่ก็เป็นกลางแจ้ง ปะปนกับพวกขี้เมาคนอื่นๆ บริเวณดังกล่าวไม่ได้มีบริกรมารับออเดอร์ พวกคนที่มาดื่มต้องไปซื้อเครื่องดื่มกับแกล้ม จากร้านรอบๆ นี้แทน พวกที่มีอันจะกินส่วนใหญ่ก็มักจะไปที่บาร์กัน ดังนั้นสถานที่ดังกล่าว แม้แต่คนในลิโลเองก็ไม่ค่อยจะมากันหรอก
พวกที่อยู่ที่นี่ก็จะมีแต่พวกขี้เมาของจริงกับพวกพ่อค้าแผงขายของ ซึ่งคงคาดไม่ถึงหรอกว่าหัวหน้าเหยี่ยวทะเลทรายกับดราก้อนสเลเยอร์จะมาดื่มกันตรงนี้ได้
สถานที่แบบนี้แหละเข้าท่ายิ่งกว่าการคุยกันในห้องปิดเสียอีก
หลังจากโจเอลดื่มเหล้าเพลิงวิญญาณแก้วที่ 4 หมดไปเขาก็เปิดปากขึ้น
「ได้ข่าวว่านายไปทะเลาะกับฝั่งวิหารเทพแห่งกฎหมายมาเหรอ? 」
ถึงตัวประโยคคำถามมันจะไม่ต่างอะไรจากคำถามประมาณว่ากินข้าวเย็นกับอะไร แต่ด้วยน้ำเสียงของเขาผมบอกได้เลยว่านี่คือประเด็นหลักที่เขาจะคุย
ผมจึงยักไหล่แล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย
「ก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหรอก พอดีเล่นอะไรเกินตัวไปหน่อย ก็เลยถูกบอกมาว่าในอนาคตคงร่วมมือกันไม่ได้อีกน่ะ」
「ฮ่าๆๆ ไอ้แบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับทะเลาะกันนะ」
โจเอลหัวเราะและพ่นความร้อนของเหล้าเพลิงออกมาจากปาก ก่อนจะถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เช็ดปากแล้วถามคำถามถัดไป
「คิดว่าคาร์ดินัลนั่นเป็นคนยังไงเหรอ? 」
「หือ――ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะได้ยินนายพูดถึงดาราสีเงินนะ วิหารมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยกัน? 」
「เอาน่า มันก็แค่การยืนยันอะไรนิดหน่อย เพราะเรื่องนี้ฉันคงเอาไปคุยกับคนที่เป็นพวกของฝ่ายวิหารไม่ได้หรอกนะ」
จากนั้นโจเอลก็เอามือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบบางสิ่งออกมาจากภายใน
มันคือตราสัญลักษณ์รูปดาวสีเงิน
พอเห็นผมก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เพราะสิ่งที่โจเอลหยิบออกมาให้ดูมันช่างแสนคุ้นเคยกับของที่ผมเห็นคาเทียติดไว้ตรงอกเสมอ――มันคือตราของพวกดาราสีเงิน
「ดูจากหน้านายแล้วคงไม่ต้องอธิบายอะไรสินะ ดูชื่อที่สลักไว้ด้านหลังของมันสิ เอ้า」
โจเอลโยนตรานั่นมาให้ผม หลังจากรับมันได้กลางอากาศ ผมก็หันตราไปดูชื่อที่สลักเอาไว้ตามที่เขาบอก
คงจะเดากันได้อยู่แล้วมั้งว่าเป็นชื่อของใคร
ใช่แล้วมันคือชื่อของผู้นำปาร์ตี้ดาราสีเงิน
——–
Note 1 : กลิ่นแปลกๆละ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code