ตอนที่ 166 ทำไม
「――นายไปได้มาจากไหน? 」
มันคือตราของดาราสีเงินที่อัศวินขาวแอโร่ควรจะพกติดตัวไปด้วยจนตัวตาย ดังนั้นทำไมมันถึงมาอยู่ในมือของหัวหน้าเหยี่ยวทะเลทรายได้ล่ะ
พอคิดได้ผมจึงถามออกไปเพื่อให้เรื่องมันชัดเจน
จากนั้นอัศวินดำโจเอลก็ยักไหล่ก่อนจะตอบกลับมา
「บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้ไปแอบหยิบมา หมอนั่นมันทิ้งเอาไว้น่ะ」
「ทิ้งไว้? 」
「เอ้อสิ ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปดื่มกับไอ้เจ้าแอโร่ หมอนั่นมันลืมสิ่งนี้เอาไว้น่ะ」
ผมขมวดคิ้วสงสัยกับคำตอบที่คาดไม่ถึง ดูยังไงมันก็แปลกหัวหน้าปาร์ตี้จะลืมตราของตัวเองแล้วกลับบ้านไปเฉยๆ เนี่ยนะ นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าดาราสีเงินกับเหยี่ยวมทะเลทรายไม่ถูกกันหรอกเหรอ แล้วทำไมพวกเขาถึงมานั่งดื่มด้วยกันสบายเฉิบเลยล่ะ
บางทีคงเห็นว่าผมสงสัยระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขา โจเอลก็เลยยกเหล้าเพลิงวิญญาณเข้าปากหนึ่งรอบก่อนจะอธิบายเรื่องราว
ตอนโจเอลอายุได้ 13 ปีเขาได้มาเป็นนักผจญภัยของเบลก้าทันที เนื่องจากเขาไม่มีทั้งพ่อแม่ เงินทอง การศึกษา การจะยกระดับชีวิตตัวเองยังไงนักผจญภัยก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ หรืออย่างน้อยก็คือสิ่งที่โจเอลในตอนนั้นคิด
สำหรับโจเอลแล้ว การปรากฏตัวของแอโร่ที่เข้าร่วมกิลด์หลังเขาไป 3 ปีจึงเป็นอะไรที่น่าชวนปวดหัว ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันอย่างไม่มีทั้งพ่อแม่และเงินทอง แต่แอโร่ได้รับทุนการศึกษาจากคาร์ดินัลไซราระ ――ถึงสมัยนั้นเขาจะไม่ใช่คาร์ดินัลก็เถอะ
เขาได้อ่านได้เขียน ได้เรียนรู้มารยาทและสิ่งที่ผู้ดีควรทำทุกอย่าง นั่นย่อมทำให้เขาโดดเด่นมากในหมู่นักผจญภัยของเบลก้าที่เต็มไปด้วยพวกเศษเหลือที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาอย่างโจเอล ตัวแอโร่ก็เป็นดั่งอัญมณีในหมู่กองขยะ
ถึงจะมีทั้งหมดที่ว่ามาแต่หากแอโร่ไม่ได้แข็งแกร่งจริง เขาก็คงอยู่ที่กิลด์ไม่ได้ด้วยความแข็งแกร่งที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วของเขา เขาก็เลยได้กลายเป็นแนวหน้าของเบลก้าได้โดยใช้เวลาไม่นาน
「หมอนั่นมันน่ารังเกียจมาตั้งแต่เด็กแล้ว เห้อ ฉันมั่นใจเลยว่าคนอื่นก็คิดไม่ต่างกันหรอก」
โจเอลพูดแล้วกระดกเหล้าเพลิงวิญญาณที่เหลือให้หมดในคราวเดียว
「ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยเกลียดหมอนั่น ทางนั้นเองก็ไม่ได้ชอบแนวทางและการกระทำของฉันจนทะเลาะกันบ่อยๆ พวกเรามักจะหาหนทางแข่งขันและทำเรื่องโง่ๆ ด้วยกันเยอะเลยจนมันทำให้หลายๆ อย่างพัฒนามากขึ้น ทว่าในระหว่างนั้นทั้งดาราสีเงินและเหยี่ยวทะเลทรายเติบโตไปด้วยจนพวกคนในปาร์ตี้ทั้งสองเริ่มขัดแย้งกันเองจากภาพลักษณ์ภายนอก…..เพื่อไม่ให้ทั้งเหยี่ยวทะเลทรายและดาราสีเงินทำอะไรเกินเลยพวกฉันก็เลยมักจะมาหารือกันตรงนี้แหละ」
ทุกครั้งที่มีปัญหาโจเอลก็จะมาคุยกับแอโร่ที่บริเวณนี้
แบบนี้เองสินะ
「ตอนนั้นฉันก็คิดมามันแปลกๆ ที่เจ้าแอโร่เรียกฉันมาทั้งที่พวกเด็กๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรกัน เพราะหมอนั่นไม่ใช่พวกเรียกคนอื่นไปไหนโดยไม่มีธุระด้วย แต่พอมาถึงก็ดันบอกว่าอยากจะคุยกับฉันเพราะไม่ได้คุยกันนานแล้วซะงั้น」
ตอนนั้นโจเอลบอกว่าเขานั่งรออยูที่โต๊ะจนแทบจะหลับ และแล้วแอโร่ก็มาถึงโดยถือเหล้าเพลิงวิญญาณที่พวกคนแคระทำให้เขาดู
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าพวกคนแคระเป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่งในการผลิตเหล้า แอโร่นั้นรู้รสนิยมของโจเอลดี ส่วนทางโจเอลเองก็รู้จักแอโร่พอตัวเช่นกัน พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดผมก็มองว่าพวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่อกันที่ดีเลย
「เนื้อหาที่พวกฉันได้คุยกันก็เป็นเรื่องพวกตำนานโบราณอะไรทำนองนั้นแหละ ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีแค่เรื่องนี้ พอมานึกดูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหมอนั่นมีเจตนาอะไรกันแน่」
หลังจากจัดการเหล้าเพลิงวิญญาณของคนแคระจนหมดแล้ว แอโร่ก็ยืนเหล้าเพลิงวิญญาณอีกขวดมาตรงหน้าของโจเอลเหมือนเป็นการขอบคุณมาที่ร่วมดื่มด้วยกัน
ในตอนนั้นโจเอลเห็นว่าแอโร่ได้วางตราของดาราสีเงินไว้ข้างๆ ขวดเหล้านั้นด้วย ก่อนที่เขาจะเดินจากไป
「ไอ้ฉันก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องออกไปตามหาหมอนั่นด้วย กลับกันควรปล่อยไปมากกว่าเพราะหากมีใครมาเห็นว่าฉันอยู่กับหมอนั่นมันจะลำบากเอาไว้ คิดดูสิว่าหากมีข่าวลืออย่างหัวหน้าดาราสีเงินกับเหยี่ยวทะเลทรายมาประชุมลับกันมันจะเกิดอะไรขึ้น เหล้านั่นฉันก็เลยมองว่าคงเป็นค่าปิดปากด้วย」
โจเอลเองก็หวังว่าเดี๋ยวคงได้รู้ว่าแอโร่จะบอกอะไรเพิ่มในวันพรุ่งนี้ แต่ทว่าแอโร่กลับไม่ได้บอกอะไรเขาอีกเลยและออกเดินทางไปยังพื้นที่ที่ไม่ได้สำรวจทันที
――แล้วเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
「ก็จริงว่าพอเข้าไปในทะเลทรายเรื่องที่ไม่คาดฝันมันจะเยอะเต็มไปหมด แต่พอฉันกลับมานั่งคิดดู ยังไงก็ไม่มีทางหรอกที่แอโร่กับดาราสีเงินจะเสียท่าให้พวกมอนสเตอร์ในทะเลทรายได้โดยไม่มีใครรอดกลับมาเลย」
ใบหน้าของโจเอลเต็มไปด้วยความโกรธและความสงสัยปะปนกันไป จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องต่อไปโดยที่ผมเดาไม่ออกเลยว่าอารมณ์ของเขามันเอนเอียงไปฝั่งไหนมากกว่ากัน
หลังจากที่ดาราสีเงินหายตัวไป การค้นหาครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นภายใต้การนำของคาร์ดินัลไซราระซึ่งเป็นคนใกล้ชิดแอโร่ แน่นอนว่าเหยี่ยวทะเลทรายก็ให้ความร่วมมือด้วย แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
ที่เหลือก็เป็นเรื่องผมเคยได้ยินมาจากคาเทีย การค้นหาล้มเหลวปาร์ตี้ก็ถูกบังคับให้ยุบไปโดยปริยาย กลับกันเหยี่ยวทะเลทรายก็มีอิทธิพลมากขึ้น จากเรื่องนี้ก็เลยมีหลายคนสงสัยว่า หรือจะเป็นเหยี่ยวทะเลทรายที่ฆ่าพวกดาราสีเงินกัน
โจเอลหัวเราะเหมือนกับคนบ้า
「ก็จริงว่าเจ้าแอโร่มันขวางหูขวางตาจนอยากเข้าไปตบสักที หากเป็นตอนที่ฉันยังเด็กๆ อ่ะนะ แล้วก็โง่หรือเปล่าฟะถ้าฉันเป็นคนทำแบบนั้นจริงๆ ฉันไม่เหลือพวกระดับล่างของปาร์ตี้ไว้หรอก บ้าบอชะมัด」
โจเอลบ่นออกมาราวกับอยากด่าพวกที่สงสัยอะไรแบบนี้ บางทีสิ่งที่โจเอลต้องเผชิญในตอนนี้อาจจะหนักหนากว่าที่ผมคิดก็ได้
โจเอลยังรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับการตายของแอโร่
ทางเมืองบอกว่ากำลังหลังของดาราสีเงินได้เผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ในทะเลทราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้สำรวจ ก็อย่างที่รู้ว่าทะเลทรายคาตาลานเป็นแดนของมอนสเตอร์ที่ประมาทสักวิเดียวก็อาจจะถึงชีวิตได้ แต่แอโร่ก็เป็นถึงสุดยอดของสุดยอดในหมู่นักผจญภัยที่ใช้ชีวิตในทะเลทรายนั่นมามากกว่า 10 ปีแล้ว
โจเอลที่แข่งขันกับดาราสีเงินมาโดยตลอด เขาย่อมรู้จักพลังของดาราสีเงินดีเสียยิ่งกว่าพวกพ้องของดาราสีเงินซะอีก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาสงสัย
ทว่า ไม่ว่าจะพยายามขุดค้นมากสักแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรพอจะสนับสนุนความสงสัยนั้นได้เลย
「ตราที่หมอนั่นทิ้งไว้ให้ก็ไม่ได้มีกลไกพิเศษหรือเวทมนตร์อะไรสลักไว้อยู่ ก็ลองพยายามไปสืบเองมาบ้างแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะถามความเห็นของนายบ้าง คิดว่าไงล่ะดราก้อนสเลเยอร์? 」
พอถูกถามอย่างกะทันหัน ผมก็เลยตอบไปตามสิ่งที่คิดในตัวตอนนี้
「ฉันว่าบางทีนายอาจจะคิดมากไปเองหรือเปล่า」
การกระทำทั้งหมดของแอโร่ก่อนที่จะหายตัวไปอาจจะไม่ได้มีนัยสำคัญอะไร พวกดาราสีเงินก็แค่หมดโชคที่เคยมีมาตลอด10ปีและถูกมอนสเตอร์ฆ่าตายไปก็ได้ หรือก็คือมันไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรในเหตุการณ์นี้เลย
เพราะงั้นถึงจะเป็นระดับโจเอล ขุดค้นอะไรไปก็คงไม่เจอสิ่งที่ตามหา
「ฮ่าๆ ก็คงงั้นแหละนะ」
โจเอลยักไหล่และจิบเหล้าเพลิงวิญญาณต่อ
พอหมดแก้วเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง
「หรือไม่ก็ ฉันควรคิดว่าศัตรูที่อยู่เบื้องหลังมันร้ายกาจและระวังตัวมากขนาดไหน」
「…………หา? 」
โจเอลพูดออกมาขณะที่จ้องมองผม พอผมมองเข้าไปยังดวงตาคู่นั้น ผมก็เริ่มกลับมาจัดระเบียบความคิดภายในหัวใหม่
หากการกระทำของแอโร่ทั้งหมดคือเรื่องที่คิดมาก่อนแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรเลยกับการที่เขามอบความไว้วางใจให้โจเอลดูแลดาราสีเงินต่อจากเขาหากเกิดอะไรขึ้นกับเขา――บางทีนั่นอาจจะเป็นความหมายของการที่เขาทิ้งตรานี้ไว้ให้
อย่างไรก็ตามหากการคาดเดานี้เป็นเรื่องจริง คำถามต่อมาก็คือถ้าแอโร่รู้ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเขา ทำไมเขาถึงไม่หาทางจัดการมันกันล่ะ
แอโร่ อัศวินขาวที่ทุกคนในเบลก้าต่างก็รู้สึก ด้วยชื่อเสียง ความแข็งแกร่งของเขา ถึงจะเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมากเขาก็น่าจะสามารถฝ่าฟันมันไปได้ และถึงบางอย่างมันจะเกินมือเขา เขาก็สามารถขอความช่วยเหลือจากพวกพ้องได้อยู่ดี
ทว่าแอโร่กลับไม่เลือกทำเช่นนั้น คนที่เขาไว้ใจเพียงคนเดียวก็คือโจเอล แถมแอโร่ยังไม่ได้ทิ้งอะไรที่บอกใบ้ถึงตัวตนของสิ่งที่เขาต้องเผชิญไว้อีก ทำไมกันล่ะ…
――หรือเพราะหากโจเอลรู้ถึงตัวตนของสิ่งนั้น เขาก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ด้วยเหมือนกัน
หรือก็คือแอโร่มองแล้วว่าถึงดาราสีเงินกับเหยี่ยวทะเลทรายจะร่วมมือกัน ก็ไม่สามารถฝ่าฟันปัญหารอบนี้ไปได้
และในเบลก้าก็มีเพียงไม่กี่องค์กรที่อิทธิพลเหนือกว่าสองปาร์ตี้รวมกัน
จากนั้นผมก็นึกถึงคำที่โจเอลพูดในตอนแรก――ที่เขาบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่สามารถเอาไปพูดใหักับพวกทางวิหารได้
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าอิทธิพลขอวิหารเทพแห่งกฎหมายมันใหญ่ขนาดไหน ถึงทั้งสองปาร์ตี้จะรวมพลังกันก็ไม่ไหว
และคำถามต่อมาก็จะเกิดขึ้น
คำถามที่ว่า――ทำไมแอโร่ถึงเลือกโจเอลให้ดูแลดาราสีเงินต่อจากตน
ก็จริงว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ต่อหน้าประชาชนดาราสีเงินและเหยี่ยวทะเลทรายนั้นขัดแย้งกัน ผมก็เลยมองว่ามันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักในการยกดาราสีเงินให้โจเอลดูแล
หลังจากดาราสีเงินหายไป เหยี่ยวทะเลทรายที่กลืนกินฐานอำนาจก็สร้างปัญหาให้กับเบลก้าเยอะขึ้นด้วย ผมมองว่าแอโร่ก็คงจะรู้ดี
ถ้าผมเป็นแอโร่ผมก็คงจะฝากฝังให้กับคาร์ดินัลไซราระดูแลต่อ เพราะเห็นว่าใกล้ชิดกัน
มันไม่ได้หมายความว่าคาร์ดินัลไซราระจะต้องมาเป็นนักผจญภัย แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเลือกคนหนุ่มสาวให้มาเป็นผู้นำรุ่นใหม่ได้ และทางวิหารเทพแห่งกฎหมายก็จะช่วยผลักดันคนหนุ่มสาวพวกนี้ต่อไปได้ ดีไม่ดีดาราสีเงินอาจจะยังไม่ล่มสลายก็ได้
แต่แอโร่ก็ไม่ได้ทำแบบนั้น สุดท้ายเขาก็เลือกจะฝากทั้งหมดไว้กับโจเอล
――ทำไมกันนะ พอคิดแบบนี้เรื่องแปลกๆทุกอย่างมันก็ชี้เป้า เชื่อมโยงไปถึงวิหารเทพแห่งกฎหมายหมดเลย
——–
Note 1 : หื้มมมมมมมม
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code