ตอนที่ 167 นามนั้นคือ
พอผมได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากโจเอลก็เกิดความสงสัยในวิหารขึ้น
ทว่า การจะปักใจเชื่อโดยฟังสิ่งที่อัศวินดำตรงหน้าของผมพูดแค่เพียงฝ่ายเดียว คงจะไม่ยุติธรรมสำหรับอีกฝ่ายไปหน่อย
แน่นอนว่าทางโจเอลก็ดูจะไม่ได้โกหก ทว่าฝั่งคาร์ดินัลไซราระผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องที่เขาเล่าก่อนหน้าจะมีอะไรผิดแปลก
นอกจากนี้มันก็มีบางสิ่งที่ขาดหายไปในเรื่องราวของโจเอล
นั่นคือเหตุผลที่ทางวิหารจำเป็นต้องกำจัดแอโร่
สิ่งแรกที่เป็นไปได้ก็คงประมาณว่าแอโร่ไปค้นพบเรื่องเสียๆ หายๆ ของทางวิหารเทพแห่งกฎหมายเข้าและถูกสั่งปิดปาก จากทางสันตะปาปาซึ่งเป็นผู้นำของนครศักดิ์สิทธิ์คาริตัส
และความร้ายแรงของเรื่องดังกล่าวมันหนักหนามากเกินไปเสียจนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บแอโร่เสีย――ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม
นอกจากนี้ถึงทางวิหารเทพแห่งกฎหมายจะมีเรื่องแบบนั้นจริง มันก็จะเกิดคำถามขึ้นอีกว่า ทำไมแอโร่ถึงได้ข้อมูลสำคัญแบบนั้นมา
หากประเด็นพวกนี้กระจ่าง สิ่งที่โจเอลสงสัยก็คงได้รับการเปิดเผย
「งั้นฉันว่าคงต้องไปฟังทางด้านของคาร์ดินัลไซราระสักหน่อย」
เหมือนเป็นการบอกกับอีกฝ่ายว่าผมไม่ได้ปักใจเชื่อไปเสียหมด
โจเอลเองก็เหมือนจะเข้าใจและยักไหล่ให้
「นั่นสินะ ยังไงก็ระวังไว้ด้วยล่ะ ที่นี่ก็มีสายตาของฝั่งนั้นซะด้วยสิอย่างนักบวชสาวที่นายพามาไง อ้อจริงสิพูดถึงคนที่นายพามา เอลฟ์ผมสีเงินนั่น ใช่คนที่ไปมีเรื่องกับพวกเด็กๆ ของฉันใช่ไหม? 」
พอจบเรื่องโจเอลก็เปลี่ยนเรื่องในทันที เขากลับมาถามเรื่องอื่นแทน
ส่วนคำตอบก็คือตามที่เขาคิด เพราะวิสทีเรียเป็นคนยืนยันเองเลยนี่นะ
เธอบอกว่าตอนที่กำลังเดินทางไปรอบๆ เพื่อหาข้อมูลเบฮีมอธ เธอก็ถูกพวกเหยี่ยวทะเลทรายสงสัยเข้า ก่อนจะมีเรื่องกันนิดหน่อยจนทำให้หนึ่งในพวกนั้นบาดเจ็บ
ผมตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล เพราะมันคนละเรื่องกับการเป็นตัวการทำลายเมืองจนทำให้ทางวิหารต้องออกหน้าแทน หากเป็นเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
เมื่อเห็นผมตอบกลับมาอย่างง่ายดาย โจเอลก็พยักหน้ายิ้มให้
หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าตนไม่ได้อยากจะแก้แค้นอะไรหรอก ก็แค่อยากมาทำข้อตกลง
จากนี้ไปทางเหยี่ยวทะเลทรายก็จะไม่ไปยุ่งอะไรกับวิสทีเรีย ประกาศจับก็จะไปถอนออกให้ ส่วนทางผมก็แค่จ่ายค่ารักษาแล้วก็ค่าชดเชยอะไรนิดหน่อยให้กับคนบาดเจ็บ
ผมก็ตอบตกลงไป ก็จริงว่าการกำจัดเหยี่ยวทะเลทรายมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหรอก แต่ขืนทำไปเดี๋ยวปัญหายุ่งยากในอนาคตมันจะตามมาอีก หากเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยสามารถจบปัญหานี้ไปได้ก็ไม่เห็นจะต้องไปสาวความอะไร
…..บางทีเรื่องราวมันอาจจะออกไปทางหัวหน้าเหยี่ยวทะเลทรายได้พูดคุยกับดราก้อนสเลเยอร์และทำให้อีกฝ่ายถอยไปได้ ชื่อเสียงของโจเอลก็จะมากขึ้นไปอีก แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะบ่นอะไรเพราะหากเรื่องมันออกมาหน้านี้พวกลูกน้องเขาก็คงยอมรับได้ด้วย
ช่วยไม่ได้สินะ ผมมองดูโจเอลที่กำลังดื่มเหล้าเพลิงวิญญาณต่อ
◆◆◆
ในเวลาเดียวกัน
บริเวรโอเอซิสอาเวโต้ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทะเลทรายคาตาลาน นายทหารคนหนึ่งที่กำลังยืนหาวขณะเฝ้ายามก็ได้ยินเสียงบ่นจากพวกพ้องของเขา
「เห้ย ถ้ากัปตันมาเจอเข้าเดี๋ยวก็โดนบ่นเอาหรอก ก็ไม่ได้ห้ามจะให้หาวหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็ปิดปากหน่อยสิฟะ」
「เห้อ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อยเลยน่า พอเห็นดวงจันทร์ชัดขนาดนี้แล้วมันก็นะ」
ทหารที่หาวพูดออกมา พอได้ยินเช่นนั้นทหารที่เข้ามาบ่นก็หันไปมองบนท้องฟ้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไร้เมฆบดบัง อย่างที่คู่หูของเขาบอก พระจันทร์ดวงโตกำลังลอยล่องอยู่ แสงสีทองสว่างจ้าจากดวงดาวทำให้ตาพร่ามัวเล็กน้อย หากเป็นกวีเขาคงจะเริ่มขับขาดบรรเลงบทกวี แต่สิ่งที่ทหารรู้สึกในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งนั้น มันมีเพียงแค่ความรู้สึกแอบขนลุก
「….พอเห็นแบบนี้ทำให้นึกถึงดวงตาของมอนสเตอร์ขนาดยักษ์เลยนะ อย่างกับว่าถูกมันจ้องมองมาจากบนฟ้าเลย」
「ฮ่าๆ พูดบ้าอะไรวะนั่น」
พวกเขาก็อยากจะพูดคุยเฮฮากันต่อ ทว่าก็ต้องปิดปากเงียบเอาไว้แทนแล้วกลับไปเฝ้าเวรยามต่อ
อาเวโต้เป็นโอเอซิสที่ใกล้ที่สุดกับพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจ และมักจะถูกโจมตีโดยพวกมอนสเตอร์ พวกคนที่รับผิดชอบเวรยามก็เลยต้องขันแข็งกันสักหน่อย หรือก็คือพวกเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้มีเวลามากพอจะทำนั่งคุยล้อเล่นกัน
ทะเลทรายวันนี้สว่างไสวด้วยแสงจันทร์และทิวทัศน์ที่งดงามของมัน ดังนั้นคงไม่ต้องเพ่งสายตาตรวจสอบอะไรนัก แต่ระวังไว้ระดับหนึ่งก็ดีกว่าปล่อยตัวสบายๆ
ทั้งคู่ทำหน้าที่ของตนต่อไป โดยระหว่างนั้นก็แอบมีการพูดคุยกันนิดหน่อยบ้าง จากนั้นไม่นานดวงตาของพวกเขาที่จ้องมองไปยังกำแพงทรายก็หรี่ลง
「……กำแพงทรายมัน สลายไปแล้ว」
พายุทรายขนาดยักษ์ที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ยังไม่มีใครสำรวจย่อมสามารถเห็นได้จากหอสังเกตการณ์ตรงนี้ และพอเป็นคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่างยิ่งทำให้เห็นชัดกว่าเดิม
อันที่จริงสัญญาณของคลื่นคลั่งจากกำแพงทรายมันก็เริ่มเบาบางลงมาสักพักแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไปมันคงจะหายไปอย่างสมบูรณ์ในช่วงรุ่งสาง
หากพวกดาราสีเงินยังมีชีวิตกันอยู่ ก็คิดว่าโอกาสนี้แหละเป็นจังหวะที่ดี――ในการร่นถอยออกมาจากพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจ
ทว่าก็ได้มีเสียงระฆังดังขึ้นทำลายความเงียบงัน
เสียงกึกก้องที่ดังขึ้นทั่วโอเอซิสนี้คือสัญญาณบอกถึงการมาเยือนจากมอนสเตอร์ แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่คนตี
ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
「ทิศเหนือ!」
「……เดี๋ยวนะ…ทางใต้ก็ด้วย? 」
พอคู่หูของเขาพูดแบบนั้นอีกฝ่ายก็พยายามฟังเสียงให้ดี แล้วก็พบว่ามันมาจากทั้งสองทิศจริงๆ
ทหารเดาะลิ้น
「ทั้งเหนือ ทั้งใต้ ซวยแล้วสิ เวลาแบบนี้หากจะมาจากตะวันตกอีกสักดอกคงไม่แปลกเลย」
คำพูดที่เหมือนการปักธงนั้นได้เป็นจริงในเวลาไม่นาน
พายุฝุ่นกองใหญ่พวยพุ่งมาจากทางตะวันตก เพราะแสงจันทร์เลยทำให้เห็นว่ามันคือกองทัพของพวกมอนสเตอร์ทหารที่เห็นถึงกับอ้าปากค้าง
「สมพรปากไหมล่ะ! เห้ย รีบลั่นระฆังเร็วเข้า!」
ทหารบอกให้คู่หูของเขาไปลั่นระฆังก่อนจะตะโกนให้พวกที่อยู่ข้างล่างบอกว่าเตรียมรับมือกับการโจมตีทางตะวันตกด้วย
ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรสำหรับอาเวโต้อยู่แล้วที่จะถูกมอนสเตอร์บุกมาโจมตี ทว่าความแปลกของมันในคราวนี้คือการที่ถูกโจมตีพร้อมกันทั้ง 3 ทาง หากมันมาทางทิศตะวันออกอีกทาง โอเอซิสแห่งนี้ก็จะถูกปิดล้อมโดยสมบูรณ์ การล่าถอยไปยังโอเอซิสลีโลก็จะทำไม่ได้ด้วย
「ได้แบบนี้อย่าบอกนะว่าเป็นมอนสเตอร์คลุ้มคลั่ง…? 」
มอนสเตอร์จำนวนมากในทะเลทรายคาตาลานบางครั้ง พวกมันก็กินพวกเครื่องเทศที่อยู่ในทะเลทรายจนหมดและบุกมาทางเบลก้าให้เห็นบ่อยๆ
แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว――ทหารไม่อยากจะให้สิ่งที่ตัวเองคิดเป็นเรื่องจริง แต่ระหว่างที่เขากำลังคิด ก็รู้สึกตัวว่าคู่หูของตนได้หยุดสั่นระฆังไปแล้ว
เขาที่เห็นแบบนั้นก็บ่นกับคู่หูของตนด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
「เห้ย อย่าหยุดสั่นระฆังสิวะ! ถ้าเอ็งหยุดเดี๋ยวเขาก็เข้าใจกันผิดหรอกว่าสัญญาณฝั่งเราเป็นแค่การเข้าใจผิด!」
「…………นะ」
「เห้ยๆ ไม่ใช่เวลามาตะลึงนะ! ตั้งสติหน่อย!」
ตอนนี้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขยับตัว ดวงตาทั้งสองของอีกฝ่ายยังคงเบิกกว้างและจ้องมองไปทางทิศตะวันตก
พอเห็นว่ามันผิดปกติเกินไป เขาจึงได้หันไปมองยังจุดที่สายตาของคู่หูเขามองอยู่
สิ่งที่เขาเห็นก็คือฝูงมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ในระยะใกล้และทะเลทรายยามค่ำคืน ถัดไปก็เป็นกำแพงทรายที่เขาเห็นได้จากไกลๆ ――พอนึกได้แบบนี้ทหารก็รู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่ลงรอยกัน ก่อนจะใช้กล้องส่องเพื่อความชัดเจน
สิ่งนั้นมันคือกำแพงทรายที่เขามองว่าจะพังทลายลงในไม่ช้าจริงหรือ?
ไม่จริง บอกทีเถอะว่ามันไม่จริง
มอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังมุ่งมาทางนี้ นอกจากนั้นก็มีบางสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นตามมาจากเบื้องหลังซึ่งเป็นใหญ่โตจนทำให้คิดว่าเป็นกำแพงพายุทราย
มันใหญ่เสียจน เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ความใหญ่ของมันแสดงให้เห็นแม้จะอยู่ไกลออกไปจากจุดที่เขาอยู่ ลองคิดดูสิหากว่ามันมาตรงนี้จะใหญ่ได้อีกขนาดไหน
ไม่สิหากมันมาถึงตรงนี้ได้ แค่ขาของมันทั้งอาเวโต้และเลโลก็คงจะถูกมันเหยียบย่ำจมดินไปในคราวเดียว แม้แต่เมืองเบลก้าก็คงไม่สามารถรับมือกับมันได้แน่
สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นกำแพงทราย แท้จริงแล้วมันคือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่ปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้
「นะนะนะนะ…นั่นมัน…อะไรกัน….」
เสียงตกตะลึงของทหารดังขึ้นบนหอสังเกตการณ์
อันที่จริงหากพวกเขาตั้งใจสังเกตการณ์อย่างใจเย็นก็จะเห็นได้ว่าพวกมอนสเตอร์ที่รวมตัวกันเป็นฝูงข้างล่างบางส่วนกำลังช่วยกันรุมโจมตีมอนสเตอร์ขนาดยักษ์นั่น แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจและเดินเตร่ไปในทะเลทรายเช่นเดิมขณะถูกพวกมันโจมตี
หากได้ข้อมูลดังกล่าวมา พวกเขาก็จะสามารถระบุตัวของมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ซึ่งเป็นตำนานแห่งทะเลทรายนี้ได้
…แต่สุดท้ายถึงพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ไป มันก็คงไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ที่โอเอซิสแห่งนี้จะถูกโจมตีได้
มันคือหนึ่งในเผ่าพันธุ์ในตำนานแห่งโลก
ร่างอวตารแห่งความตะกละที่กลืนกินแม่น้ำ ล้างบางผืนดิน กัดกินพงไพร
ทลายแสงดาวจนดับสิ้น
เหล่าผู้คืบคลานบนผืนดินต่างก็ร่ำร้องราวกับถวายชีวาเป็นเครื่องสังเวย
เศษเนื้อกระจาย โลหิตหลั่งริน
ความหิวกระหายที่ปกครองผืนทะเลทราย
นามนั้นคือความกระหาย (เบฮีมอธ)
นามนั้นคือการกลืนกิน (เบฮีมอธ)
จ้าวแห่งทะเลทราย ราชาแห่งเหล่าสัตว์ร้าย
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code