ตอนที่ 170 ลมหายใจแห่งดวงดารา
――โถๆ ช่างน่าเศร้าที่แสงสว่างแห่งดวงชีพได้ดับลง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความตายนับไม่ถ้วนของลูกๆ มัน มันก็ถอนหายใจออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่นราวกับกระสุนปืนใหญ่
เสียงถอนหายใจนั้นได้สร้างลมกระโชกพัดเอาพวกมอนสเตอร์ที่เกาะอยู่ตามปลายจมูกของมันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ร่างของมอนสเตอร์ที่ถูกสายลมผลักขึ้นไปบนท้องฟ้าก็บิดเบี้ยวเพราะแรงลมก่อนจะสิ้นใจไปแล้วตกลงมากระแทกกับผืนทราย
――โถๆ ช่างเป็นชีวิตที่แสนเปราะบางเสียนี่กระไร
เท้าขนาดยักษ์ของมันที่ชวนให้นึกถึงปราสาทแห่งหนึ่งได้เหยียบร่างเหล่าลูกๆ ของมันที่วิ่งไปทั่วผืนทราย
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นความตั้งใจของมัน แต่ด้วยร่างที่ใหญ่โตเกินกว่าจะหาทางหลบเหล่าลูกๆ ของมันได้ จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จากสายตาของมัน ลูกๆ ก็มีขนาดเพียงแค่รูเข็ม
――อย่าได้เศร้าโศกไปเลย มันก็เป็นเพียงหนึ่งในวัฏจักรของชีวิต อย่าได้เศร้าโศกไปเลย ที่ชีวิตจะต้องเผชิญความยากลำบาก
มันคือสิ่งที่โลกใบนี้กำหนดมาแล้ว หาใช่สิ่งที่ควรขัดขืนหรือต่อต้าน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มันปกป้องและพยายามหล่อเลี้ยงเหล่าลูกๆ อย่างสุดหัวใจ มันกลืนกินศัตรูที่ท้าทายกฎของโลก มันเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง มันเลี้ยงดูเหล่าลูกๆ ของมันที่อยู่ข้างในร่าง มันทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี
มันเองก็ทำหน้าของตนอย่างขันแข็งมาจนถึงตอนนี้ แน่นอนว่ามันพอใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำและต้องการจะทำมันต่อไป
ทว่า มันก็คงไม่สามารถดื่มด่ำกับความพึงพอใจนี้ไปได้ตลอด
ตอนนี้มันได้กลิ่น กลิ่นที่เหม็นฉุนของเหล่าคนเขลาที่จะกบฎต่อโลก
――สิ่งมีชีวิตที่แสนต่ำต้อยกล้าแยกเขี้ยวใส่ ในฐานะผู้แทนแห่งดวงดารา ผู้ชำระล้างผืนโลก มันจะขออาสาเป็นทำลายล้างผู้ต่อต้านกฎอันยิ่งใหญ่
ในวินาทีต่อมา มันก็ได้เปิดปากกว้างขึ้น
◆◆◆
――ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้
ผมคิดอยู่ในใจระหว่างพยายามรักษาระยะห่างกับพายุน้ำแข็งที่โหมกระหน่ำอยู่ตรงหน้า
คือมันก็เป็นไปตามที่คิดไว้ว่าพวกมอนสเตอร์จะถูกบดขยี้ด้วยแรงกระแทกจากผืนฟ้าที่เยือกเย็น แต่พายุน้ำแข็งที่ตามมาคือสิ่งที่คาดไม่ถึงไปหน่อย ก็จริงว่าผมใช้ลมเพื่อสร้างมัน แต่ไอ้พายุที่เกิดขึ้นมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของผม
ข้อพิสูจน์ก็คือไม่ว่ามอนสเตอร์จะถูกพายุนั่นบดขยี้ไปสักกี่ตัว วิญญาณของพวกมันก็ไม่ส่งมาถึงผมเลย
การกลืนกินวิญญาณด้วยโซลอีทเตอร์จากการฟันตรงๆ จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด แน่นอนว่าผมสามารถกลืนกินวิญญาณด้วยการโจมตีระยะไกลเช่นกัน แต่สัดส่วนมันก็จะน้อยออกไปตาม
อันที่จริงก่อนหน้านี้ผมก็ได้วิญญาณจากพวกมอนสเตอร์ที่ถูกคลื่นน้ำอัคคีจัดการไปเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ นอกจากนั้นผมยังแทบจะไม่รู้สึกถึงวิญญาณที่เข้ามาในร่างตั้งแต่ตอนที่บดขยี้ศัตรูด้วยค้อนน้ำแข็ง
สรุปได้ว่าผมสามารถกินวิญญาณของอีกฝ่ายได้ด้วยการใช้เทคนิคและการโจมตีโดยตรงเท่านั้น หากเป็นการใช้เทคนิคที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอีกทีจะไม่สามารถกลืนกินวิญญาณได้
….แถมตอนนี้ผมก็ไม่รู้ด้วยสิว่าพายุน้ำแข็งตรงหน้าผมมันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขอะไรบ้าง ไว้ค่อยไปถามลูนามาเรียละกัน
อย่างไรก็ตามหากการใช้ค้อนน้ำแข็งมันทำให้เกิดพายุทำนองนี้เสมอ ก็คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักในบางสถานการณ์เพราะมันกินวิญญาณไม่ได้ คุณค่าของมันจึงลดลงไปมาก เอาเถอะก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้
ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกได้ว่าวิสทีเรียได้จ้องมองผม แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจก็รู้แหละว่าเธอกำลังทำหน้าซีดเพราะภาพตรงนี้
พวกมอนสเตอร์ที่มาจากทางโอเอซิสอาเวโต้ก็น่าจะถูกกวาดไปหมดเพราะส่งนี้
ก็จริงว่าอาจจะมีระลอกใหม่ แต่พายุน้ำแข็งคงไม่สงบลงง่ายๆ ไว้ให้มันจัดการไปละกัน
ทีนี้ก็ถึงเวลากลับไปที่โอเอซิสเลโลเพื่อบอกถึงสถานการณ์หน่อยละกัน ไว้พายุน้ำแข็งมันสงบลงค่อยมาใหม่อีกที――ระหว่างที่ผมกำลังคิดแบบนั้นอยู่
ร่างกายของผมก็สั่นสะท้าน
มันจะมาแล้ว ผมรู้สึกเช่นนั้น
วินาทีต่อมาผมก็ตะโกนดังลั่น
「คราว โซราส!!」
ผมตะโกนเรียกไวเวิร์นครามที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ถึงจะไม่มีเวลาพูดคำสั่งเฉพาะเจาะจง แต่เหมือนทางฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของผม มันจึงรีบบินลงมาด้วยความเร่งรีบ
อันที่จริงก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเข้าใจจริงๆ หรืออย่างไร แต่ด้วยความเร่งรีบของมันก็เลยทำให้ตอนลงมาถึงมันบาดเจ็บนิดหน่อย
วิสทีเรียก็อยู่ใกล้ๆ นี้ ดังนั้นคงไม่มีปัญหา
ผมพยายามเร่งความคิดของตัวเอง แล้วก็สัมผัสได้ว่ามีแรงระยิบระยับเล็กๆ ส่องออกมาจากอีกฟากของพายุน้ำแข็งที่โหมกระหน่ำ
――――มาแล้ว
แรงกดดันของสิ่งนั้นมันรุนแรงจนทำให้คอของผมแห้งเหือด ความหนาวเย็นได้ไหลลงไปถึงกระดูกสันหลัง สัญญาณแห่งความตายที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานตั้งแต่มีอาภรณ์วิญญาณ
เพื่อจะต้านทานสิ่งนั้น ผมได้ใช้พลังคิทั้งหมดที่มีรวมเอาไว้ด้านหน้าตัวเอง มันไม่ใช่เพื่อการโจมตี แต่เป็นการป้องกัน
คงไม่มีเวลามาคิดชื่อเทคนิคใหม่นี้แล้ว นอกจากนี้มันก็ไม่ได้มีความละเอียดอ่อนพอจะเลือกว่าเทคนิคได้ คิดเสียว่ามันเป็นเพียงบาเรียคิดาดๆ พอตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทำเอาคิดบ้างแล้วสิว่าตัวเองควรเรียนเทคนิคการป้องกันเอาไว้ด้วย
ฟิ้ววววว
เสียงที่แผ่วเบาได้พุ่งเข้ามาจนทำให้ใบหูของผมสั่น
วินาทีต่อมาทัศนียภาพทั้งหมดในขอบเขตการมองเห็นของผมก็กลายเป็นสีขาวโพลน
มันเป็นลำแสงที่พุ่งผ่าน
มันเป็นคลื่นพลังงานความร้อนที่รุนแรง
ในช่วงเวลานี้หากมีใครสักคนสามารถมองเห็นทะเลทรายคาตาลานจากมุมสูงได้ ก็คงจะเห็นสิ่งที่เหมือนกับดาวตกพุ่งผ่านผืนทะเลทรายไป
แม้แต่พายุน้ำแข็งที่ทำลายล้างฝูงมอนสเตอร์ก่อนหน้านี้ยังถูกพัดให้หายไปด้วยลมหายใจแห่งดวงดารา ปริมาณความร้อนและพลังทำลายล้างของมันช่างน่าสะพรึงกลัว การระเบิดที่รุนแรงซึ่งพร้อมทำลายล้างทุกชีวิตตรงหน้า นำพาความตายมาสู่ผู้คน เมือง และผืนดิน
ไม่ว่าจะเป็นป่าหรือผืนดินที่อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด แต่หากได้สัมผัสกับสิ่งนี้ มันก็จะกลายเป็นเพียงดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่แม้กระทั่งหญ้าก็ไม่สามารถเติบโตได้
ผมคิดว่าสิ่งนี้แหละที่ทำให้เกิดทะเลทรายคาตาลานขึ้น มันคือสิ่งที่เหนือเกินกว่ามนุษย์จะทำความเข้าใจได้
ผมคิดระหว่างที่ทุ่มกำลังทั้งหมดไปให้กับการป้องกัน
และแล้วก็มีเสียงที่ไม่ใช่เสียงของผมตอบขึ้น
――คงจะเป็นเช่นนั้น
เสียงที่แสนน่าคิดถึง มันคือเสียงของโซลอีทเตอร์ อนิม่าของผม
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเสียงของมันตั้งแต่ตอนเรื่องราชาแมลงวัน
ในขณะที่ผมกำลังประหลาดใจกับสิ่งนี้ วินาทีต่อมาภาพแปลกๆ ก็แทรกเข้ามาภายในหัวผม
ลมหายใจแห่งดวงดาราที่ทำให้ชีวิตนับไม่ถ้วนได้ดับลง
กำแพงปราสาทที่แข็งแกร่งก็หาได้มีประโยชน์ ประวัติศาสตร์ที่สั่งสมมานับพันปีของอาณาจักรทองคำได้ล่มสลาย มันถูกเหยียบย่ำโดยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน
มันคือภาพที่ผมไม่เคยเห็น มันคือความทรงจำที่ไม่ควรมีอยู่ในหัวของผม
แต่ผมมั่นใจว่ามันคือภาพในอดีต ในยุคแห่งทวยเทพ สาเหตุที่ทำให้เกิดทะเลทรายคาตาลานขึ้น
「……นี่มันความทรงจำของนายงั้นเหรอ โซลอีทเตอร์? 」
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา แต่ผมจะถือว่าเป็นการยืนยันคำตอบ
ก็อยากจะรู้หรอกว่าทำไมต้องให้ผมเห็นภาพพวกนี้ แต่คงไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ
เพราะผมเข้าใจดีว่า สิ่งที่มันต้องการก็คือบอกให้ผมต่อสู้และกลืนกินราชาแห่งเหล่าสัตว์ร้ายนั้นเสีย
ไม่ต้องบอกผมก็จะทำอยู่แล้ว
เป้าหมายที่ผมมาตรงนี้ก็เพราะมันตั้งแต่แรก นอกจากนี้พอได้รับการต้อนรับชุดใหญ่ไฟกะพริบแบบนี้ มันก็มีแต่ต้องลุยให้สุดเท่านั้น
มันแตกต่างจากไฮดราที่กำลังถือกำเนิดมาได้ไม่นาน เบฮีมอธนั้นเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ในมุมของมนุษย์ก็คงประมาณว่าเป็นเด็กกับผู้ใหญ่ แม้พวกมันจะเป็นเผ่าพันธุ์ในตำนานเหมือนกัน แต่ความทรหดโหดหินของมันคนละเรื่องเลย
แต่ผมก็ไม่คิดจะบ่นอะไร เพราะมันก็หมายความได้ว่าอาภรณ์วิญญาณของผมจะสามารถกลืนกินวิญญาณที่มีคุณภาพได้ยิ่งขึ้นไปอีก
「หือ นั่นสินะ ถ้าคิดซะว่านี่เป็นโอกาสที่เราจะเข้าถึงอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าได้ก็ไม่เลวเลยนี่ ว่าไหม? 」
ระหว่างที่ผมพูดออกมาอย่างกล้าหาญ ผมก็สัมผัสได้ถึงการปฏิเสธจากภายใน
จากที่โกซุบอก อาภรณ์แห่งความว่างเปล่าคือจุดสูงสุดของมายาดาบเดียว ที่จะดึงเอาพลังที่แท้จริงของอนิม่าออกมาได้ ทว่าสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากภายในตอนนี้คือการปฏิเสธ ราวกับผมกำลังถูกมันดีดหน้าผากเบาๆ จากมือที่มองไม่เห็น
ดูเหมือนมันคงอยากจะบอกผมว่า เจ้ายังไม่พร้อม
「เอาเถอะก็แล้วไป แต่ถ้ารู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือปราการปืนใหญ่ที่แสนเชื่องช้ามันก็มีวิธีรับมือเยอะเลย」
พอพูดจบผมก็หันไปทางเบฮีมอธที่เหมือนจะรวมพลังลมหายใจของตัวเองอีกครั้ง
ปริมาณความร้อนยังเท่ากับก่อนหน้านี้ แต่พลังทำลายล้างเหมือนจะสูงขึ้น――ทว่าผมกลับไม่ได้รู้สึกกดดันหรือหนาวสั่นอีกต่อไปแล้ว
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code