การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 172 วังวนทะลวงดวงดาว

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 173 วังวนทะลวงดวงดาว

 

 

หลังจากนับถึงสิบ ผมก็ให้สัญญาณวิสทีเรีย

 

 

 

「ตอนนี้แหละ!」

 

 

หลังจากเชื่อว่าคลื่นลมหายใจของเบฮีมอธน่าจะเริ่มอ่อนลงบ้างแล้ว ผมก็ปรับองศาของบาเรียเพื่อเบี่ยงการโจมตีช่วงสุดท้ายออกไป

 

 

 

ในเวลาเดียวกันผมก็ให้วิสทีเรียเริ่มทำตามที่คุยกันไว้ เอลฟ์ผิวสีแทนตอบรับคำพูดของผมแล้วขึ้นไปขี่คราว โซราสเพื่อบินกลับไปยังเลโลโอเอซิส

 

 

ระหว่างนี้ผมก็ต้องควบคุมบาเรียอย่างระมัดระวัง หากเบฮีมอธแสดงท่าทีว่าจะเบนวิถีเล็งไปทางวิสทีเรียผมก็ต้องรีบเข้าไปช่วยเธอทันที

 

 

 

โชคดีที่การโจมตีของมันไม่ได้เปลี่ยนวิถี

 

ไม่รู้เพราะอะไรแต่เหมือนอีกฝ่ายจะเล็งมาทางผมแค่คนเดียว ก็ไม่ได้จะบ่นอะไรหรอกนะ ดีด้วยซ้ำเพราะผมจะได้มีสมาธิกับการต่อสู้โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก

 

 

 

เพราะการโจมตีของศัตรู ทรายในทะเลทรายจึงหลอมละลายจนหมด พื้นตรงหน้าของผมตอนนี้ก็เหมือนกับพื้นบริเวณปากปล่องภูเขาไฟ แต่คงไม่มีปัญหาอะไรหากใช้การย่างก้าวพุ่งไปมาบนฟ้าเหมือนตอนสู้กับปาซูซุ

 

 

 

เมื่อพิจารณาแล้วว่าวิสทีเรียอยู่ห่างจากตรงนี้พอสมควร ผมก็เริ่มตั้งท่าด้วยดาบในมือขวาส่วนมือซ้ายก็ใช้ในการสร้างบาเรียรับมือกับการโจมตีของเบฮีมอธ

 

 

 

หากผมสามารถโจมตีมันระยะนี้แล้วทำให้มันจอดได้เลยก็คงจะดี แต่คงเป็นไปไม่ได้สำหรับศัตรูที่สูงสุดฟ้าแบบนั้น

 

อย่างไรก็ตาม ผมก็สามารถใช้จังหวะสั้นๆ หยุดลมหายใจของมันแล้วร่นระยะทันที

 

ตอนนี้คงต้องโฟกัสไปในการใช้เหล็ก (ทะลวง) เหมือนกับที่ใช้ในตอนสู้กับไฮดรา หากวายุคือเทคนิคในการกวาดระยะไกลเป็นวงกว้าง เหล็กก็คือการโจมตีแบบทะลวงระยะไกล

 

ลมหายใจของเบฮีมอธกำลังเริ่มอ่อนกำลังลงจนกลายเป็นเพียงคลื่นแสงเล็กๆ ในการสวนกลับไปจังหวะนี้การใช้เหล็กจะเหมาะสมกว่าวายุ

 

มายาดาบเดียว เหล็ก ก็เหมือนกับหอกทะลวง

 

แต่ตอนนี้ผมทำการสร้างภาพในหัวเป็นหอกที่ขนาดใหญ่ที่หมุนวน――วังวนที่คมกริบราวกับหอก หมุนวนเหมือนเกลียวตะปู ซึ่งสามารถทะลวง คว้านร่างของศัตรูให้ทะลุที่ระดับสูงยิ่งกว่านั้น

 

 

พลังคิที่ใช้ในการสร้างบาเรียถูกโอนถ่ายไปยังเทคนิคนี้ แน่นอนว่าพอพลังป้องกันลดลงร่างของผมจึงถูกการโจมตีของเบฮีมอธผลักกลับมา แต่ตอนนี้ไม่มีวิสทีเรียหรือคราว โซราสอยู่ ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหา

 

ผมได้รีดเร้นเอาพลังคิมาใส่จนขีดสุดเพื่อปลดปล่อยทักษะดังกล่าวเพื่อทะลวงคลื่นแสงของมัน

 

 

「มายาดาบเดียว――วังวนทะลวง!」

 

 

◆◆◆

 

 

 

――คึก คึก คึก

 

 

 

『สิ่งนั้น』――เบฮีมอธส่งเสียงออกมา

 

ประหลาดใจ โกรธ เศร้า งุงงน น้ำเสียงซึ่งแฝงไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

 

ลมหายใจของมันนั้นทรงพลังมากเสียจนแผดเผาสิ่งที่อยู่รอบข้างมันไปด้วย เหล่าเด็กๆ ของมันต่างก็กลายเป็นเศษเนื่อที่ถูกหลอมละลายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกสักพักแล้ว พวกที่คอยมากัดกินร่างของมันก็ค่อยๆ หายไปเพราะความร้อนจากลมหายใจที่ยาวนานด้วย

 

 

เบฮีมอธรู้สึกเศร้าโศกกับเรื่องนี้มากจึงต้องรีบหาทางจัดการกับศัตรู แต่อีกฝ่ายกลับไม่หายสิ้นลมไปเพราะการโจมตีของมัน คลื่นมรณะที่ทะลวงทุกสิ่ง มันคือของที่เบฮีมอธใช้ฆ่าศัตรูมาแล้วนับไม่ถ้วน

 

แต่คราวนี้กลับไม่ได้ผล ไม่สิห่างไกลกับคำว่าสร้างบาดแผลได้ด้วยซ้ำ――

 

 

 

――มันคือการปฏิเสธต่อการพิพากษาแห่งโลก มนุษย์ตัวจ้อยที่น่ารังเกียจ

 

 

 

ร่างของมันเริ่มสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีคนเข้าใกล้มันมากขึ้น ความเร็วในการพุ่งเข้ามาหานั้นสูงมากราวกับเขากำลังควบอาชาเหล็กข้ามผืนทราย

 

 

มันจึงพยายามจะใช้ลมหายใจอีกครั้ง แต่คราวนี้ศัตรูไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง การพุ่งไปมาหลายทิศทางระหว่างการร่นระยะทำให้มันเล็งได้ยากขึ้น

 

 

มันเองก็คิดจะใช้ลมหายใจในการกวาดศัตรูเหมือนกัน แต่การโจมตีก่อนหน้าก็พิสูจน์ได้แล้วว่าหากไม่รวมพลังไว้ตรงจุดเดียวคงไม่สามารถทำลายบาเรียของอีกฝ่ายได้

 

 

นอกจากนี้หากฝืนปล่อยลมหายใจต่อไป พวกเด็กๆ ของมันจะได้รับอันตรายไปด้วย

 

 

 

เนื่องจากผลกระทบของลมหายใจ ความร้อนที่สูงเกินจะทนไหวได้เกิดรอบตัวมัน มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ที่อยู่รอบๆ ตัวมันจึงถูกฆ่าตาย พวกที่กำลังเกาะตามลำตัว ขา หางก็เหมือนจะทรมานกับอุณหภูมิที่สูงนี้ไม่น้อย

 

หากยังฝืนใช้ไปมั่วกว่านี้ พวกที่เหลือคงจะไม่รอดด้วยเหมือนกัน

 

 

มันต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่กันถึงจะบ่มเพาะชีวิตนับไม่ถ้วนให้เกิดขึ้นมาจากทะเลทรายซึ่งขาดการอวยพรจากโลก ด้วยเหตุนี้เองการเสียสละพวกเด็กๆ ของมันในคราวเดียวให้กับศัตรูเพียงคนเดียวจึงเป็นนเรื่องที่มันรับไม่ได้ แม้ว่าจะฝ่ายจะมีกลิ่นของมังกรที่แสนน่ารังเกียจก็ตาม

 

 

 

มันคือความลังเลใจของมันในฐานะมารดาแห่งเหล่ามอนสเตอร์ นั่นจึงทำให้ระยะห่างของมันกับอีกฝ่ายน้อยลงไปอีก

 

 

ในช่วงเวลานี้ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนภายในตัวของมันก็ถือกำเนิดขึ้น มันคล้ายกับความโกรธ แต่ก็ไม่ใช่ความโกรธ

 

 

การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของมันคือลมหายใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เกือบจะเป็นวิธีการโจมตีเดียวของมันด้วย

 

 

 

ปราการปืนใหญ่คลื่นทะลวงที่สามารถยิงได้จากระยะไกลมากๆ มันคือความสามารถเฉพาะตัวของเบฮีมอธ มันถูกสร้างมาเพื่อให้ร่างกายที่ใหญ่โตของมันใช้โดยเฉพาะ ปากคือปากกระบอกปืน ลำตัวคือปราการ ขาคือตัวค้ำยัน สิ่งอื่นใดล้วนไม่จำเป็นอีก

 

 

แต่ในขณะเดียวกันหากศัตรูสามารถเข้าใกล้ได้ การตอบสนองของมันก็จะอ่อนลง

 

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้น

 

 

 

เพราะก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้จะไม่สามารถใช้ลมหายใจแต่ แต่มันก็ยังมีมือเท้าไว้คอยเหยียบย่ำอีกฝ่าย ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตนี้ย่อมได้เปรียบ นอกจากนี้ผิวหนังของมันก็หนาเสียยิ่งกว่ากำแพงของเบลก้า อาวุธของพวกมนุษย์สามารถสร้างได้เพียงแค่รอยข่วน จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีอะไรจะทำให้มันเข้าใกล้ความตายได้เลย

 

 

มันใช้เวลามากกว่าพันปีในผืนทะเลทรายนี้ มันคือผู้ปกครองดินแดนนี้มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน――เพราะไม่มีสิ่งใดโค่นล้มมันได้

 

นานมาแล้วตัวมันก็เคยมีพวกพ้องอยู่หลายตน

 

แต่ต้องขอบคุณพวกมอนสเตอร์ที่ช่วยทำให้มันในอดีตสามารถอยู่รอดมาได้ ในขณะที่พวกพ้องของมันต่างก็พ่ายแพ้ให้กับมนุษย์และดาร์คเอลฟ์ไปทีละตน

มอนสเตอร์สอนให้มันกัดกินและหล่อเลี่ยงชีวิตใหม่ด้วยเลือดเนื้อของมัน

 

ใช่แม้จะเป็นวันนี้ก็ตาม

 

และถึงจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็จะไม่เปลี่ยนไป ไม่สิมันไม่ควรจะมีอะไรมาเปลี่ยนความเป็นจริงนี้ได้

 

 

――ข้าคือคมเขี้ยวแห่งโลก ผู้ชำระล้างผืนดิน การต่อต้านข้าก็เหมือนกับการขัดขืนโลก เจ้ามนุษย์ เจ้าต้องหยุดบัดเดี๋ยวนี้

 

 

มันได้ส่งเสียงเตือน

 

 

จิตลวงตาของมันถักถอขึ้นมาเป็นค้อนที่มองไม่เห็นแล้วเข้าโจมตีร่างของมนุษย์ หากเป็นคนธรรมดา เพียงแค่สิ่งนี้ก็สามารถทำลายมนุษย์ไปจนถึงวิญญาณได้

 

ทว่าสิ่งนั้กลับไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย

 

 

「เออ ยินดีที่ได้เจอ ราชาแห่งสัตว์ร้ายเอ๋ย」

 

 

 

เสียงที่ดังมาจากบนฟากฟ้า

 

 

ในมือของอีกฝ่ายถือคาตานะสีดำและยืนอยู่บนท้องฟ้าในจุดที่มนุษย์ไม่ควรยืนอยู่ได้ ก่อนจะมองลงมาที่มันด้วยสายตาแสนจองหอง

 

 

「ไอ้เสียงแปลกๆ เมื่อกี้ที่ได้ยินนั่นเป็นการทักทายของเผ่าพันธุ์ในตำนานเหรอ? อะไรนะ คมเขี้ยวแห่งโลก เอาเถอะแต่แกไม่รู้หรือไงว่าการมาโจมตีชาวบ้านก่อนแล้วมาบอกให้อีกฝ่ายหยุดมันมีซะที่ไหนกัน」

 

อีกฝ่ายไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาเลย

 

พอพูดจบมนุษย์ก็ยกดาบสีดำของเขาด้วย

 

 

「หากคิดว่าตัวเองเป็นผู้พิทักษ์กฎแห่งโลกบ้าบออะไรนั่น ก็ทำตัวให้มันคู่ควรหน่อยละกัน อย่าได้คิดวิ่งหางจุกตูดเหมือนไฮดราซะล่ะ ราชาแห่งสัตว์ร้าย」

 

 

 

มันคือการประกาศสงครามกับมัน น้ำเสียงของมนุษย์เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในชัยชนะ

 

เหล่ามอนสเตอร์จำนวนมากกำลังส่งเสียงคำรามออกมาราวกับประณามความจองหองของอีกฝ่ายและหลังจากนั้นมอนเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตามร่างกายของมันก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหว

 

 

 

การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท