ตอนที่ 176 เผชิญหน้ากับสันตะปาปา
「นี่ก็ผ่านมานานมากแล้วนะคะตั้งแต่ที่พวกเราพบกันครั้งก่อน ดีใจจริงๆ ที่ท่านสามารถกลับมาจากทะเลทรายคาตาลานซึ่งเป็นรังของพวกมอนสเตอร์ได้อย่างปลอดภัย ท่านโซระ」
สันตะปาปาโนอาห์ คาร์เนอุส ผู้นำสูงสุดแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ยิ้มต้อนรับผม
สีเงางามกับดวงตาสีเขียวชวนให้นึกถึงอัญมณีและผิวที่ขาวผ่อง ช่างเป็นรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างจากครั้งก่อนเลย
หากจะให้บอกความต่างก็คงจะเป็นชุดที่เธอสวม ขณะนี้เธอได้สวมชุดของสันตะปาปาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่างจากตอนที่เจอในป่าซึ่งเป็นชุดนักบวชเฉยๆ
เสื้อคลุมสีขาวทำจากผ้าศักดิ์สิทธิ์――ซึ่งถักทอด้วยด้ายชุบน้ำมนตร์――หากได้สังเกตดูใกล้ๆ เนื้อผ้าจะพบว่ามีการเย็บปักอย่างชำนาญจนชวนให้ตกใจ เพราะมันเนียนไปกับสีของเนื้อผ้าเป็นการบอกว่าไม่ได้ต้องการอวดลวดลาย แต่ก็แฝงไปด้วยมนต์ขลัง ราวกับรวมพรแห่งทวยเทพมาสลักไว้
บางทีชุดนี้อาจจะแข็งกว่ากำแพงปราสาทรอบๆ ซะอีก ทั่วทั้งร่างของเธอถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังเวท
ืัที่เธอเลือกสวมชุดนี้มาเจอผมบางทีอาจจะเพราะต้องระวังผมด้วยหรือเปล่านะ――ก็จริงว่ามันเป็นชุดที่เหมาะสมกับตำแหน่งของเธอ แต่ใจผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอทำใส่มาเพื่อเป็นหลักประกัน ให้ตายสิพอคุยกับลาสคาริสเรื่องนี้ก็วนมาในหัวตลอด
ผมถอนหายใจออกมาโดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น
นี่ก็ผ่านมา 5 วันแล้วตั้งแต่จัดการกับเบฮีมอธและคุยกับลาสคาริส ที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือเมืองหลวงของคานาเรีย ฮอรัส โดยขณะนี้ผมได้มาพบกันสันตะปาปาโนอาห์ในฐานะแขกของวัง
นอกจากเธอแล้วก็ยังมีคาร์ดินัลไซราระด้วย เพราะเป็นพิธีแต่งงานระหว่างรัชทายาทเอซ่ากับเจ้าหญิงซากุยะ
――ก็เข้าใจว่าพอพูดแบบนี้อาจจะสับสนไปบ้าง งั้นจะอธิบายสถานการณ์ระหว่างนี้ตามลำดับละกัน
ตอนแรกพอเสร็จงานผมก็กลับไปที่เบลก้า แล้วก็ทราบว่าคาร์ดินัลไซราระออกจากเมืองไปแล้ว
ตามคำบอกเล่าของคนที่เฝ้าวิหาร หลังจากผมไปที่ทะเลทราย วันต่อมาอัศวินมังกรจากวังก็มารับเขาไป เมื่อรู้แบบนั้นผมก็เลยออกจากเบลก้าแล้วตามไปบ้าง
ระหว่างทางฉันก็ได้ไปเจอกับราสที่หมู่บ้านเมลเท ก่อนจะเล่าเรื่องคาเทียให้เขาฟัง จากนั้นก็กลับเมืองอิชกะก่อนจะได้รู้จากมิโรสลาฟว่าสันตะปาปาได้สร้างบาเรียเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เธอจะกลับไปเมืองหลวง ผมก็เลยออกเดินทางไปเมืองหลวงต่อจากนั้น
พอมาถึงเมืองหลวง ผมก็ได้ไปเยี่ยมดยุกดรากุนอทก่อนจะขอเข้าพบสันตะปาปาโนอาห์ผ่านคลอเดียซึ่งเป็นผู้ดูแล――แล้วมันก็มาจบตรงนี้แหละ
เหตุผลที่ผมมาก็เพราะจะเอาศิลานักปราชญ์ที่ได้จากลาสคาริสมาให้เธอแทนเขาเบฮีมอธที่แหลกสลายไปแล้ว ก็คิดคงจะแทนกันได้ นอกจากนี้ก็อยากจะสะสางสิ่งที่ค้างคาใจกับเธอให้มันจบๆ ไป
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่คาร์ดินัลไซราระเกลียดชังลาสคาริสจนออกสีหน้า ผู้นำอย่างโนอาห์จะเป็นเช่นไร เพราะลาสคาริสไม่ใช่ศัตรูของคาร์ดินัลเพียงคนเดียวแต่พวกเขาต่อสู้กับวิหารเทพแห่งกฎหมายมาช้านาน อันที่จริงโนอาห์อาจจะเกลียดลาสคาริสเสียยิ่งกว่าคาร์ดินัลซะอีก
ก็เลยกังวลว่าเธอจะยอมรับศิลานักปราชญ์นี้ไหม
เป็นธรรมดาด้วยซ้ำหากเธอจะมองว่าคือกับดัก อย่างเลวร้ายสุดเธอก็อาจจะระแวงผมไปด้วย
กลับกันหากผมเงียบแล้วเอาของระดับสมบัติชาติให้กับเธอโดยไม่บอกรายละเอียด นั่นยิ่งทำให้น่าสงสัยมากกว่าเดิม เธอคงต้องถามว่าผมได้มาด้วยวิธีไหน หากโกหก เธอก็คงจะสามารถรับรู้ได้ไม่ยากแน่
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจบอกเธอทุกอย่างไปตามตรงถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
การหันหน้าเข้ามาคุยกันด้วยความจริงตั้งแต่ต้นคงจะดีกว่าปล่อยให้หลายๆ อย่างวุ่นวายภายหลัง หากวิหารเทพแห่งกฎหมายจะเล่นงานผม ก็คงต้องถึงเวลาบอกลา
ว่าแล้วก็หยิบเอาศิลานักปราชญ์ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะวางบนโต๊ะ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาขวาของสันตะปาปาโนอาห์ก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
「นี่มัน……」
「คนที่เอามาให้ผมบอกว่ามันคือศิลานักปราชญ์ ซึ่งเป็นของดีจากอาณาจักรทองคำและคิดว่าน่าจะใช้แทนเขาเบฮีมอธได้ครับ」
ความประหลาดใจได้หายไปจากดวงตาของเธอก่อนเธอจะพยักหน้าราวกับเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
ก่อนจะพูดขึ้น
「แปลว่าท่านได้พบกับลาสคาริสแห่งยาไยและดาร์คเอลฟ์แล้วสินะคะ」
「อย่างที่ท่านพูด――หืม? 」
หลังจากพยักหน้าตอบคำถามของอีกฝ่าย ผมก็เอียงศีรษะสงสัยเพราะมันมีอะไรผิดปกติไป
「จะว่าไปฉันได้รับรายงานมาจากคาร์ดินัลไซราระว่า ทางนั้นเกิดความขัดแย้งกับท่านตอนอยู่เบลก้าขึ้นนี่คะ」
「ครับ ก็มีความขัดแย้งกันเรื่องแนวคิดกับพวกพ้องของผมนิดหน่อย」
「พวกพ้องสินะคะ….ช่างสมกับเป็นท่านที่เคยรับคิจินมาดูแล」
หลังจากพูดแบบนั้นเธอก็ยิ้มออกมา อย่างที่คิดสีหน้าของเธอมันเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยจนยากจะคาดเดาได้จริงๆ ว่าคิดอะไรอยู่
เธอจะรู้สึกยังไงตอนที่ได้ยินรายงานจากคาร์ดินัลไซราระกัน แล้วตอนนี้เธอคิดยังไงกับฉันซึ่งเอาศิลานักปราชญ์มาจากลาสคาริส แค่ดูสีหน้าเฉยๆ เดาไม่ออกจริงๆ
สันตะปาปาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะหยิบศิลานักปราชญ์บนโต๊ะขึ้นมาดู
「….ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ กับสิ่งนี้นะคะ แล้วก็อย่างที่อีกฝ่ายพูดค่ะ มันมีพลังเวทพอจะใช้เป็นตัวกลางในการทำให้บาเรียคงอยู่ต่อไปได้」
สันตะปาปานำศิลานักปราชญ์กลับไปวางที่โต๊ะแล้วก้มหัวให้กับผม
เพราะการเคลื่อนไหวนั้นจึงทำให้เส้นผมของเธอไหลลงมาตามไหล่แล้วไปหยุดอยู่ที่บริเวณหน้าอกของเธอ
「ต้องขอบคุณท่านโซระมากจริงๆ ค่ะ ด้วยสิ่งนี้คนในประเทศแห่งนี้คงไม่จำเป็นต้องทุกข์ทรมานจากพิษร้ายอีกต่อไป」
「โปรดเงยหน้าขึ้นเถอะ ยังไงผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมพอจะทำได้ก็เท่านั้น」
「ด้วยสิ่งนี้ ทางวิหารเทพแห่งกฎหมายจะสร้างบาเรียที่แข็งแกร่งซึ่งไม่มีวันพังทลายขึ้นมาเองค่ะ」
สันตะปาปาเงยหน้าขึ้นและพยักหน้าเหมือนเป็นการยืนยัน
จากนั้นเธอก็จ้องมองมายังผมแล้วพูดต่อ
「จากนี้ก็คงเป็นเรื่องของดาร์คเอลฟ์สินะคะ เพราะจากที่ดูท่านคงไม่ได้คิดจะมอบสิ่งนี้ให้แล้วจากไปเฉยๆ แน่นอน หากมีอะไรอยากจะถามก็พูดมาได้เลยค่ะ」
เป็นการพูดแบบตรงไปตรงมา เธอเรียกลาสคาริสว่าดาร์คเอลฟ์ นั่นชวนให้ผมรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่นอกจากคำนี้ก็ไม่มีอะไรที่สื่อถึงเรื่องแปลกๆ
พอเธอยื่นข้อเสนอมา ผมก็ขอสนอง
「ครับ มีบางอย่างที่ผมอยากจะรู้จริงๆ 」
แน่นอนว่าไม่ได้จะถามเรื่องอย่างทางวิหารเทพแห่งกฎหมายกำลังวางแผนจะใช้รังมังกรทำอะไร
ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเชื่อข้อมูลที่ลาสคาริสพูดมา แต่ก็ไม่ได้จะบอกว่าเขาโกหกไปเสียหมด เอาเป็นว่าหมอนั่นอาจจะกำลังวางแผนอะไรอยู่ด้วยก็ได้จึงต้องนำผมมาเป็นหมากอีกหนึ่งตัว แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะเดินตามที่เขาจัดวางไว้หมดหรอก
อันที่จริงก็ตั้งใจว่าจะเก็บเรื่องนีเงียบไว้ก่อน หากผมจะเอาเรื่องที่ลาสคาริสเล่าไปบอกคนอื่น ก็คงต้องตอนที่มีข้อมูลมากกว่านี้
นอกจากนี้ผมก็ไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องที่ทางวิหารเทพแห่งกฎหมายทำด้วย ผมมันไม่ใช่พวกจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรมตรงไปตรงมาซะหมด จึงไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายวางแผนทำอะไรกับรังมังกร ก็ปล่อยให้ทำตามใจอยากเถอะ
แต่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะยืนยัน
เกี่ยวกับลัทธิแห่งแสง
คำพูดของลาสคาริสที่บอกกับผม มันชวนให้นึกถึงเรื่องของโอเค็น คิจินที่ผมจัดการไปตอนอยู่บนเกาะ
ทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นเรื่องบังเอิญมันก็คงจะปล่อยให้ผ่านไป แต่ลัทธิแห่งแสงมันก็แทรกอยู่ตามตำนานและวัฒนธรรมมากมายในอดีตดังนั้น
จึงเป็นเรื่องยากมากหากจะบอกว่าบังเอิญ――
「ท่านรู้สึกลัทธิแห่งแสงหรือเปล่า?」
ผมถามสันตะปาปา
แล้วเธอก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเกินคาด
「ฉันรู้จักมันค่ะ อันที่จริงต้องบอกว่าลัทธิแห่งแสงคือต้นกำเนิดของวิหารเทพแห่งกฎหมายก็คงจะไม่ผิด」
「เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาก่อนจะกลายเป็นวิหารเทพแห่งกฎหมายสินะครับ? 」
สันตะปาปาพยักหน้าให้กับคำถามของฉัน แล้วเธอก็พูดคำที่ลาสคาริสเคยบอกกับผม
มันเป็นคำจากคัมภีร์ของเทพแห่งกฎหมาย
「กฎหมายคือสิ่งที่รักษาความสงบเรียบร้อย และความสงบเรียบร้อยคือแสงสว่างที่ขับไล่ความมืดมิดของโลกมนุษย์――เทพแห่งแสงก็คือหนึ่งในเทพที่พวกเราในอดีตนับถือค่ะ ทว่าหลังจากนั้นลัทธิแห่งแสงก็ได้ถูกขับไล่ไปเพราะพวกเขาแสวงหาความเที่ยงธรรมที่ไม่มีวันอ่อนงอจนเกินไป」
「แล้วทำไมพวกเขาถึงได้กลายไปเป็นลัทธินอกรีตได้ล่ะ ทั้งที่พวกเขามีเป้าหมายในการใฝ่หาความเที่ยงธรรม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ? 」
「สมัยสงครามเมื่อ 300 ปีก่อนลัทธิแห่งแสงได้แปรพักตร์ไปเข้าข้างพวกคิจินเนื่องจากมองว่าสงครามนั้นเกิดมาจากความโลภของมนุษย์และการอยู่ข้างคิจินคือความยุติธรรม ทว่าในมุมของพวกเราแล้วไม่ว่าจะมองอย่างไรพวกเขาก็คือกลุ่มคนที่ทรยศต่อมนุษยชาติ แน่นอนว่าส่วนตัวฉันไม่คิดว่าการที่คนของลัทธิแห่งแสงบางส่วนได้แตกแยกออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นวิหารเทพแห่งกฎหมายจะมาจากเรื่องนี้อย่างเดียวค่ะ」
สันตะปาปามองมาที่ผมหลังพูดจบ
ใบหน้าของผมได้สะท้อนดวงตาสีเขียวของเธอ
「ฉันก็คงบอกไม่ได้หรอกค่ะว่าการกระทำของพวกเขาถูกหรือผิด ท่านก็คงจะคิดแบบเดียวกันฉันใช่ไหมล่ะคะ? 」
「ก็อย่างที่ท่านพูด」
เห็นได้ชัดเลยว่าเธอพยายามจะสื่อไปถึงซูซูเมะที่เป็นคิจินด้วย ผมจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
「เหล่าสาวกเทพแห่งแสงที่ถูกประณามว่าเป็นผู้ทรยศกับลัทธิที่กลายเป็นของนอกรีตไปก็ต่างได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปผู้คนและคำสอนของลัทธิคงได้สูญสิ้นจนหมด สันตะปาปาในตอนนั้นที่แยกออกมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นเทพแห่งกฎหมายและเข้าร่วมกับจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าซึ่งตอนนั้นยังเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ซึ่งฉันคิดว่าท่านโซระก็คงจะทราบอยู่แล้ว」
พอเธอคิดว่าตัวเองควรพูดเรื่องที่ควรไปแล้วเธอก็ปิดปากลง
แล้วห้องก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน
พอผ่านไปสักพักประตูห้องก็เปิดขึ้นราวกับต้องการทำลายความเงียบ
คนที่เปิดออกมาก็คือนักบวชของวิหารเทพแห่งกฎหมาย เขาแจ้งว่าต้องการคำยืนยันเรื่องการเตรียมการพิธีแต่งงานจากสันตะปาปา นอกจากนี้ก็เหมือนจะมีคนต่อคิวคุยกับเธออีกยาวเลย
คงไม่แปลก เธอเป็นถึงผู้รับผิดชอบในงานแต่งงาน สิ่งที่เธอต้องทำคงมากมายจนอยากจะยืมมือแมวมาช่วย แค่เจียดเวลามาให้ผมก็นับว่าเป็นพระคุณมากแล้ว
ถึงจะช้าไปบ้างแต่ผมก็เห็นว่าควรแก่เวลาแล้ว
พอได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้เบื้องต้นไปแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเตรียมใจรับมือกับหลายๆ อย่างในอนาคตด้วย ก็ไม่รู้หรอกนะว่าฝ่ายไหนจะพูดความจริงมากกว่ากันแต่ก็ฟังๆ ไว้ไม่เสียหาย
「ยังไงผมก็ต้องขอขอบคุณท่านที่เสียสละเวลาอันมีค่ามาให้ ขอตัวก่อน」
「ต้องขออภัยด้วยนะคะเนื่องจากงานตรงหน้า หากเป็นไปได้ก็อยากจะคุยกับท่านมากกว่านี้แท้ๆ 」
「เป็นทางนี้ต่างหากครับ ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน」
หลังจากโค้งคำนับให้เธอเสร็จ ผมก็เดินออกจากห้องไป
จากนั้นเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นในหูของผม แม้มันจะเป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับการ
กระซิบก็ตาม
――ได้โปรดอย่าให้เราได้เป็นศัตรูกันเลย
ผมมั่นใจว่าเป็นคำพูดแบบนั้น
——–
Note 1 : หลังจากจบเล่ม 5 ไป เส้นเวลาระหว่างLNกับWNจะคนละทางกันแล้วนะครับ เท่าที่สกิมมาเหมือนทางLNจะลากไปบทดาร์คเอลฟ์ของแอนดร้า เรื่องอาภรณ์วิญญาณของวิสทีเรียที่เล่ม6 ส่วน WN จะไปเรื่องการแต่งงานของอาณาจักรกับจักรวรรดิซึ่งเป็นเล่ม 7 เลย แน่นอนว่าผมเอาจากWNนะ ทิ้งท้ายตอนก่อนหากเป็นส่วนของLN ลาสคาริสจะขยายว่าแอโร่คือคนที่รู้เรื่องที่ตนเล่าให้โซระฟังแล้วถูกเก็บเรียบร้อย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code