ตอนที่ 187 อนุญาต
ผมเดินตามจักรพรรดิอมาเดอุสที่ 2 ไปตามราชวังของจักรวรรดิแอด แอสเทร่า
ผมก็ไม่ได้รู้เส้นทางของวังหรอกนะ แต่จากการที่พวกเราเดินผ่านเส้นทางซึ่งไม่มีหน้าต่างอะไรติดไว้ที่กำแพงเลยก็เดาว่าน่าจะเป็นทางลับ
นอกจากนี้ผมก็ไม่เห็นพวกข้ารับใช้เดินผ่านไปมาเลย คนที่ผมเจอก็เหมือนจะมีแค่อัศวินองครักษ์คู่หนึ่งซึ่งมองมาที่ผมด้วยสายตาระมัดระวังก่อนและแปลกใจที่เห็นผมเดินตามจักรพรรดิมา
พอจักรพรรดิโบกมือขวาปราม ทั้งคู่ก็ลดการป้องกันตัวลง ชัดแล้วล่ะนะพื้นที่ตรงนี้คงจะเป็นโซนที่ห้ามไม่ให้คนอื่นนอกจากจักรพรรดิเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต
ระหว่างที่ผมคิดจักรพรรดิก็ไม่ได้หยุดเดิน จากที่เห็นก่อนหน้านี้แม้จักรพรรดิจะอายุมากแล้ว แต่ย่างก้าวของเขายังคงมันคงและทรงพลัง
ไม่นานนักพวกผมก็เจอบันไดลงไปด้านล่าง หากจักรพรรดิยังคงฟิตต่างจากที่เห็นผมคงไม่ต้องช่วยเขา
บันไดวนเป็นเกลียวราวกับเชื้อเชิญผู้มาเยือน โดยมีช่องว่างตรงกลางระหว่างบันไดให้มองไปยังส่วนล่าง ทว่าด้วยความมืดที่ปกคลุมก็ยากที่จะเห็นได้
ความคิดที่ว่าจักรพรรดิตรงหน้าของผมคือปีศาจที่จะลากผมลงยมโลกดันโผล่มาในหัวซะงั้น
แน่นอนว่ามันเป็นแค่จินตนาการของผม――คือผมอาจจะหลอนไปเองก็ได้ แต่รู้สึกเหมือนบรรยากาศใต้ดินนี้มันชวนทำให้ผมขนลุกแปลกๆ
ความรู้สึกนี้ช่างคล้ายกับที่ผมเคยเจอที่ไหนสักแห่งเมื่อไม่นานมานี้…..
「โซระ」
ระหว่างที่ผมกำลังค้นหาข้อมูลในความทรงจำ สติของผมก็ถูกจักรพรรดิดึงกลับมา แล้วพบว่าพวกผมอยู่ที่ปลายทางของบันไดแล้ว
ภาพเบื้องหน้าที่ผมเห็นค่อยๆ ชัดขึ้น ราวกับดวงตาปรับตัวกับความมืดได้แล้ว
ภาพชั้นใต้ดินที่เห็นตรงหน้าช่างกว้างใหญ่ราวกับรังของราชาแมลงวันที่อยู่ในป่าทีทิสเลย
ใจกลางของชั้นใต้ดินนี้มีหลุมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ราวกับพื้นดินที่เคยอยู่ตรงนั้นถูกขุดออกไปจนสิ้น
ทันทีที่ผมเห็นสิ่งนั้น ร่างกายของผมก็สั่นไปทั้งตัว ขณะเดียวกันผมก็ได้คำตอบที่เคยถามตัวเองไปเมื่อครู่
ใช่แล้วความรู้สึกขนลุกที่สัมผัสได้ตั้งแต่ตอนเดินลงบันไกมา มันคล้ายกับตอนที่ผมเจอรังมังกรในป่าทีทิส ก็จริงว่าขนาดของมันเล็กกว่าที่นั่นมาก พลังเวทที่พวยพุ่งออกมาก็น้อยกว่า――แต่สัมผัสแบบนี้ไม่ผิดแน่
ราวกับจะยืนยันว่าความคิดของผมถูก จักรพรรดิเริ่มพูดขึ้น
「นี่คือรังมังกร พวกเจ้าที่เอาชนะเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ป่าทีทิสมาได้คงจะรู้อยู่แล้ว」
ผมลังเลที่จะยอมรับอยู่ครู่หนึ่งเพราะคนที่ผมบอกเกี่ยวกับรังมังกรภายในป่าทีทิสมีแค่พวกพ้องของผมกับเจ้าหญิงซากุยะ โดยปกติแล้วก็คงเป็นไปไม่ได้ด้วยที่จักรพรรดิจะทราบเรื่องนี้มาจากเธอ
ทำให้ผมคิดว่าเขาหลอกถามผมอยู่หรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นถึงจักรพรรดิจะมีความรู้เกี่ยวกับรังมังกรที่อยู่บนโลกใบนี้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร ลาสคาริสที่ผมเจอในทะเลทรายคาตาลานก็เคยพูดไว้เหมือนกัน
แต่จะให้ผมเชื่อหมอนั่นจนหมดก็ไม่ใช่เรื่อง เอาเป็นว่าอย่างน้อยเขาก็รู้เยอะกว่าผมแน่ๆ ดังนั้นหากคิดว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิแอด แอสเทร่าซึ่งมีความใกล้ชิบกับวิหารเทพแห่งกฎหมายจะมีความรู้พอๆ กับลาสคาริสก็ไม่ผิดนัก
แล้วการที่เขาเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด――บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับผมที่พยายามเข้าไปในประตูปีศาจก็ได้ ดังนั้นผมควรตอบไปตามตรงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีค่ามากกว่านี้ดีกว่า
นอกจากนี้หากผมไปทำอะไรให้จักรพรรดิไม่พอใจเข้าผมอาจจะไม่ได้รับอนุญาตในการเข้าประตูปีศาจก็ได้
ผมเลยตอบไปตามตรง
「ฮ่ะ มันสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากระหม่อมมันเหมือนกับสิ่งที่กระหม่อมเจอในส่วนลึกสุดของป่าทีทิสพ่ะย่ะค่ะ」
「อื้ม รังมังกรมันคือจุดปะทุของพลังแห่งต้นกำเนิดที่ไหลเวียนผ่านชีพจรมังกรของโลก หากจะพูดว่าโลกของเราขับเคลื่อนด้วยพลังนี้ก็ไม่ผิดนัก มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถรับมือได้ง่ายหรอก」
มันเป็นพลังที่ไร้จุดสิ้นสุด
หลังจากพูดจบ จักรพรรดิก็หัวเราะแห้งๆ ออกมาแล้วจ้องมายังผม
「ด้วยพลังอันเป็นอนันต์แห่งโลก พวกเผ่าพันธุ์ในตำนานจึงเกิดขึ้นเพื่อล่าสังหารมนุษย์」
「ล่าสังหารมนุษย์งั้นเหรอพ่ะย่ะค่ะ? 」
「ถูกต้องแล้ว เจ้าไม่รู้สึกเช่นนั้นหรือเวลาเผชิญหน้ากับพวกมัน? สิ่งที่ถูกเรียกว่าเผ่าพันธุ์ในตำนานมันมีความมุ่งร้ายต่อมนุษย์อย่างแรงกล้า ก็จริงว่าไม่ได้มีแค่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ได้รับผลกระทบจากมัน ทว่าความมุ่งร้ายทั้งหมดมักจะลงมาหามนุษย์เสมอ ดังนั้นหากจะกล่าวว่ามันคือภัยพิบัติที่มีไว้สังหารมนุษย์ก็คงไม่ผิดนัก」
พอได้ยินคำพูดนั้นผมก็กลับมาคิดกับตวเอง
พวกเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ผมเคยเจอตั้งแต่อดีตก็มีไฮดราที่ป่าทีทิส เทพปีศาจที่เกาะอสูรยักษ์ เบฮีมอธที่ทะเลทรายคาตาลาน รวมไปถึงโซลอีทเตอร์ที่เป็นอนิม่าของผมด้วย
ไฮดราก็เป็นอย่างที่จักรพรรดิบอกมันคือภัยพิบัติเดินได้
เทพปีศาจหรือเบฮีมอธอาจจะต่างจากไฮดราไปบ้าง แต่ความเป็นปรปักษ์ต่อมนุษย์ก็ไม่เปลี่ยนไปนัก จุดร่วมของทั้ง 3 อย่างก็คือมันเป็นภัยร้ายที่หมายจะสังหารมนุษย์ทั้งสิ้น
――ทว่า ผมกลับไม่เคยรู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์จากโซลอีทเตอร์เลย อนิม่าของผมมันจะแสดงเจตจำนงในการกลืนกินเท่านั้น และเห็นได้ชัดว่ามันหมายจะกินแค่ศัตรูของผม ดังนั้นคำว่าภัยพิบัติที่ล่าสังหารมนุษย์อาจจะใช้กับมันไม่ได้
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดถึงความหมายคำพูดของจักรพรรดิ อีกฝ่ายก็เริ่มพูดต่อ
「แล้วเหตุใดเผ่าพันธุ์ในตำนานที่กำเนิดมาจากรังมังกรถึงแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อมนุษย์กัน? คำตอบที่ว่าโลกใบนี้มองเห็นว่ามนุษย์คือศัตรูก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเกินจริง――มันมีพวกที่กล่าวอ้างเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน เผ่าพันธุ์ในตำนานคือผู้ส่งสารจากพระเจ้า ในตอนแรกคนพวกนั้นก็ถูกปราบปรามและเนรเทศ แต่หลังจากนั้นเหมือนความเชื่อแปลกๆ มันจะเริ่มแพร่กระจายออกไปเหมือนไฟลามทุ่มเสียแล้ว」
สิ่งที่จักรพรรดิกล่าวคือเรื่องเมื่อในอดีต
ก็อย่างที่ผมเคยบอกไป ในอดีตเมื่อ 300 ปีก่อนได้เกิดมหาสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจขึ้น ทว่าบันทึกในสมัยนั้นก็หลงเหลือน้อยมากเพราะมันสูญหายไปจากไฟสงคราม
อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิแอด แอสเทร่าที่ยิ่งใหญ่คงจะพอเหลือเอกสารโบราณติดไว้เยอะพอสมควร
「หากเจ้าได้ลองอ่านบันทึก ก็จะพบว่าในอดีตนั้นมีการปรากฏตัวของเผ่าพันธุ์ในตำนานบนทวีปนี้เป็นจำนวนมาก แถมยังมีหลากหลายรูปแบบที่สมัยนี้ไม่เคยเห็นอีกต่างหาก」
「แล้วสิ่งนั้นก็เลยกลายมาเป็นรากฐานของพวกที่ยอมรับลัทธินอกรีต…」
「ก็อย่างที่เจ้าว่า ผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าจะไม่ถูกเผ่าพันธุ์ในตำนานโจมตี――ด้วยคำพูดเหล่านั้น ผู้คนมากมายที่อยากจะหาหนทางเอาตัวรอดก็ย่อมยอมปักใจเชื่อโดยง่าย ไม่เพียงแค่พวกเขาบูชามันแต่ยังขัดขวางมนุษย์ด้วยกันเองและเริ่มเลียนแบบการกระทำของพวกมัน」
「เลียนแบบเหรอพ่ะย่ะค่ะ? 」
「พวกเขาเริ่มตามล่าและสังหารผู้ที่ไม่ได้ศรัทธาในพระเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขา」
หากมนุษย์บนโลกเชื่อฟังในเทพเจ้าอย่างสุดใจจริง ความโกรธเกรี้ยวของเทพเจ้าจะหายไปและเผ่าพันธุ์ในตำนานก็จะไม่ปรากฏขึ้นมาบนโลกใบนี้อีก สุดท้ายความสงบสุขของโลกก็จะบังเกิด
นอกจากนี้มันอาจจะเป็นการหมายถึงความต้องการในการแก้แค้นพวกที่ปฏิเสธพวกตนว่าเป็นคนนอกรีตด้วยก็ได้ แต่ด้วยภัยสงครามและยุคสมัยตอนนั้นพวกคนใหญ่คนโตคงไม่ได้มาสนใจเสียงนกเสียงกาของประชาชนหรอก
นั่นมันเลยกลายเป็นชนวนความโกรธในการต่อต้านของผู้คน
ก่อตั้งกลุ่มคนขึ้นมา――ในนามของสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้างโลกที่โสมม เข้าท้าทายกับอำนาจในขณะนั้น
――โดยใช้ชื่อลัทธิแห่งแสง
เมื่อชื่อนั้นออกมาจากปากของจักรพรรดิผมก็เริ่มขมวดคิ้ว
「…จากที่กระหม่อมทราบมา ได้ยินว่าลัทธิดังกล่าวเป็นต้นกำเนิดของวิหารเทพแห่งกฎหมาย ทว่าเมื่อ 300 ปีก่อนก็มีบางกลุ่มในนั้นทรยศแล้วไปเข้าฝั่งปีศาจแทน」
「หื้ม ถึงซากุยะจะเขียนจดหมายมาว่าเจ้าได้ติดต่อกับสันตะปาปาไปแล้ว แต่รู้ถึงขนาดนั้นแล้วสินะ」
จักรพรรดิถามขณะเลิกคิ้วขวาขึ้น การแสดงออกที่ดูเหมือนจะประหลาดใจและระมัดระวังในตัวผมไปในเวลาเดียวกัน
จากนั้นเพียงครู่เดียวเขาก็พยักหน้าให้แล้วดึงความสงบนิ่งกลับมา
「ก็อย่างที่สันตะปาปาบอกลัทธิแห่งแสงนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจโดยเฉพาะพวกคิจินเป็นอย่างมาก และมันยังโยงไปถึงสาเหตุที่ทำไมถึงมีประตูปีศาจที่บ้านเกิดของเจ้าด้วย คงรู้ดีอยู่แล้วสินะว่าหากวันใดความลับเรื่องประตูปีศาจถูกเปิดเผยออกไป ทั้งโลกคงได้วุ่นวายแน่ ดังนั้นโซระเจ้าคงเข้าใจดีถึงหน้าที่ในการปกป้องสิ่งนั้นของตระกูลมิตสึรุกิดีใช่ไหม」
หากจะให้พูดถึงบทบาทของตระกูลมิตสึรุกิแล้วก็คือการปกป้องโลกจากสิ่งที่อยู่ภายในและป้องกันสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ให้หลุดเข้าไป นั่นคือสิ่งที่จักรพรรดิกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นมันก็ชวนให้ผมนึกถึงคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ด้วย
ประตูปีศาจไม่ใช่แค่สถานที่ที่ผนึกเทพปีศาจเอาไว้ แต่มันยังมีความลับที่พอจะเขย่าทั้งโลกได้ จักรพรรดิคงอยากจะรู้ว่าผมยังมั่นใจอยู่ไหมว่าต้องการจะเข้าไปในประตูปีศาจหลังรู้เรื่องพวกนี้
เพราะเขาคงรู้แล้วว่าผมไม่ได้มีข้อมูลเรื่องพวกนี้มากนัก จากการได้เห็นผมแสดงออกพอเจอรังมังกร
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเขาต้องมาบอกผมขนาดนี้ด้วย พวกเราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวเมื่ออดีต ก็จริงว่าการใช้อาภรณ์วิญญาณได้มันคงจะเป็นเรื่องน่าดึงดูดใจสำหรับพวกคนใหญ่คนโต แต่ผมไม่คิดว่าคนอย่างจักรพรรดิที่มีพลังในการสั่งการนักบุญดาบจะต้องมาดึงผมไปเป็นพวก
ก็ไม่รู้ว่าเขาได้ยินเรื่องที่ผมคิดในใจหรืออะไร เขาจึงพูดเหมือนเป็นการยืนยันครั้งสุดท้ายด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นห่วง
「ฟังให้ดีล่ะ โซระ เมื่อเจ้าผ่านประตูปีศาจไปแล้ว เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับความเคียดแค้นของสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 300 ปีที่ผ่านมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ และไม่ว่าเจ้าจะต้องการหรือไม่ เมื่อเจ้าเข้าไปแล้วสถานการณ์ทุกอย่างมันจะไม่มีวันหันหลังกลับได้อีกทั้งเจ้าและพวกพ้องของเจ้าจะต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายอีกมากมาย รู้อย่างนี้แล้วเจ้ายังต้องการจะเข้าไปอีกหรือ ทั้งๆ ที่เจ้าไม่ได้มีความสนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนแท้ๆ 」
ผมพยักหน้าให้กับเขาโดยไม่พูดอะไรต่อ ก็จริงว่าผมไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนเลย
ทว่าจากเรื่องสันตะปาปาโนอาห์และลาสคาริสเล่าแล้ว ผมคิดว่าการเพิกเฉยมันคงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก
นอกจากนี้จุดประสงค์ของผมมันก็ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว นั่นคือการช่วยเหลือน้องชายของไคลอาอย่างคลิม นอกจากนี้ภายในประตูปีศาจที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์สุดโหดที่หาไม่ได้จากข้างนอกยังเป็นแหล่งอาหารชั้นเยี่ยม
จะเป็นลัทธิแห่งแสงหรืออะไรก็ช่าง เดี๋ยวค่อยไปคิดตอนได้เจอหน้ากันจริงๆ ก็ได้
เรื่องในครั้งนี้ผมจะพลาดไม่ได้ด้วย พอนึกถึงไคลอาที่ผมพามาด้วย จะให้กลับออกไปแล้วบอกเธอว่าช่วยน้องชายเธอไม่ได้แล้วก็คงแย่ ดังนั้นผมต้องบอกจักรพรรดิถึงใจจริงไปตามตรง
――พอคิดได้แบบนั้นผมก็บอกทุกสิ่งที่ผมคิด เป้าหมายที่ผมต้องการจะเข้าไปจากใจจริงเท่าที่จะทำได้ หากเขายังไม่พอใจกับคำตอบแล้วไม่ให้ผมเข้าไปที่ประตูปีศาจ ผมก็คงต้องหาทางอื่นแทนจริงๆ
ทว่าพอเขาได้ฟังที่ผมพูดจนจบ ใบหน้าของเขากลับไม่ได้แสดงความโกรธ ผิดหวัง มันมีเพียงสีหน้าที่เหมือนกับการยอมรับในคำตอบของผม
จักรพรรดิบอกกับผมด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม เพราะผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุผลแค่นั้นมันเพียงพอจริงๆ หรือ
ได้สิ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าผ่านประตูปีศาจไปได้
—
อมาเดอุสที่ 2 จักรพรรดิแห่งอาณาจักรแอด แอสเทร่า ผู้กำลังนั่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนบัลลังก์ซึ่งอยู่ภายในโถงประชุม
ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมีผู้มาเข้าเฝ้าหรืออะไร แต่มันเป็นนิสัยของเขาเวลาอยากจะใช้ความคิด แน่นอนว่าเขายังมีอัศวินคุ้มกันอยู่ข้างหลังประตูเหมือนเดิม
ภายในความคิดของจักรพรรดิซึ่งกำลังวางข้อศอกหนึ่งไว้ที่บัลลังก์ปรากฏร่างของชายหนุ่มผมสีดำที่เขาเจอเมื่อครู่
「ไม่ได้สนใจอดีตหรือความจริงข้างในนั้น ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อตัวเองสินะ…」
หึหึหึ เสียงออกมาจากลำคอของจักรพรรดิในวัยชราอย่างมีความสุข
「ชิกิบุ โซระคือลูกของเจ้าจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้วิธีการคำพูดคำจาจะต่างกัน แต่พวกเจ้าทั้งคู่ต่างก็เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามโซระน่ะต่างจากเจ้า เขายังมีใจให้กับผู้อื่นแตกต่างจากเจ้าที่คิดถึงตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ…」
พอพูดแบบนั้น จักรพรรดิก็มองออกไปยังที่ไหนสักแห่งหนึ่งซึ่งดูห่างไกล
「นั่นสิ――นี่อาจจะเป็นอิทธิพลจากชิซึยะ ลูกสาวผู้มีจิตที่งดงามก็ได้ หากโซระได้ความเข้มงวดของชิกิบุและความใจดีของชิซึยะไปพอๆ กัน เขาก็คงจะออกมาประมาณนี้สินะ สมกับเป็นสายเลือดของทั้งสองคนจริงๆ 」
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code