ตอนที่ 201 การต่อสู้ที่ดุเดือดและการดิ้นรน
สองสุดยอดนักรบได้ปะทะกันอย่างดุเดือด ทั้งผืนดินและท้องนภา บางครั้งก็ปะทะกันด้วยกำลัง บางครั้งก็ใช้เทคนิคของตน แต่วี่แววของการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงโดยง่ายเลย
ทุกครั้งที่ทั้งสองปะทะกัน มวลพลังมหาศาลจะกระจายไปทั่วจนเกิดคลื่นอันรุนแรง และความร้อนที่มากพอจะแผดเผาผิวหนัง ลมที่โหมกระหน่ำทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นพายุ
ในใจกลางพายุนั้น เออซูร่าถึงกับลืมหายใจเมื่อได้เห็นการต่อสู้ตรงหน้าตน
เธอไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน แต่เธอแน่ใจว่ามันไม่ใช่ 2 หรือ 3 ชั่วโมงแน่ มือของเธอกุมอาภรณ์วิญญาณของตนไว้แน่นราวกับเป็นหิน
แม้ว่าพวกเขาจะสู้กันอย่างสุดกำลังมานานมากแล้ว ทั้งโซระและโดกะก็ไม่มีแววว่าจะอ่อนแรงเลย หนำซ้ำการต่อสู้ยังดุเดือดขึ้นกว่าเดิมอีกพอเวลาผ่านไป การโจมตีแต่ละครั้งมันคือการโจมตีที่หมายจะเอาชีวิตทั้งสิ้น
สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่เฝ้ามอง เพราะเห็นแล้วว่าหากเธอเลือกจะเข้าไปแทรก ร่างกายของเธอคงได้ถูกบดขยี้ไปชิ้นๆ แน่
แน่นอนว่านอกจากเออซูร่าที่เฝ้าดูการต่อสู้นี้ราวกับถูกครอบงำ ไคลอาที่อยู่ข้างๆ เธอและพวกคิจินในค่ายก็เช่นเดียวกัน แม้ในมือของพวกเขาจะถืออาวุธเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ดังกล่าวเลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนักรบแห่งผืนป่าที่อยู่ตรงป้อมปราการของตระกูลมิตสึรุกิย่อมตามมาสังเกตการณ์ด้วย
――แทบไม่อยากจะเชื่อ
นั่นเป็นครั้งแรกที่คำดังกล่าวผุดขึ้นมาในใจของเธอ เธอไม่อาจจะละสายตาไปจากโซระได้เลย
โดยปกติแล้วการต่อสู้อย่างสุดกำลังสำหรับนักรบแห่งผืนป่า น่าจะได้สุดๆ ราวครึ่งวัน ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่แห่งนี้คือคิไค ดินแดนต้องสาปที่ช่วยบั่นทอนกำลังของมนุษย์ ไม่บอกก็รู้ว่ามันยากแค่ไหนในการควบคุมพลังจากการต่อสู้เป็นเวลานาน
พลังของโซระที่ต่อสู้อย่างเต็มกำลังก็น่าจะเริ่มหมดลงในไม่ช้า และจากนั้นพลังของเขาก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ―― ทั้งที่ควรจะเป็นเช่นนั้น
แต่เธอสัมผัสวี่แววของความเหนื่อยล้าจากโซระไม่ได้เลยสักนิด มันห่างไกลจากความเหนื่อยล้าด้วยซ้ำ เพราะยิ่งนานไปเท่าไหร่ พลังทำลายล้างที่โซระปล่อยออกมาก็ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมราวกับจะเย้ยหยันความคิดของเธอ
โซลอีทเตอร์ อนิม่าของโซระมีความสามารถในการกลืนกินและขโมยพลังของอีกฝ่าย เออซูร่าได้รับคำอธิบายนี้จากไดรอาทมาก่อน ดังนั้นหากโซระสู้ไปแล้วขโมยพลังของโดกะไปด้วย มันก็น่าจะอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้ระดับหนึ่ง
ทว่าทางโดกะเองก็ยังสามารถรักษาระดับพลังของตนในการรับมือกับโซระได้เช่นเดียวกัน จิตวิญญาณการต่อสู้และพละกำลังของเขากลับไม่ได้ลดลงเลย เออซูร่าเลยมองว่าโซระไม่น่าจะกลืนกินพลังของอีกฝ่ายมา หากไม่เป็นแบบนั้นตอนนี้โดกะคงจะต้านพลังของโซระไม่ไหวแล้ว
หรือก็คือโซระใช้พลังของตัวเองล้วนๆ ในการต่อสู้กับโดกะโดยไม่แย่งชิงพลังของอีกฝ่ายมาเลย
พลังที่ปล่อยออกมา ความรุนแรงของการโจมตีแต่ละครั้งนั้นเอากันถึงตาย แถมยังใช้ไม่พักด้วย หากเธอมีความสามารถของโซลอีทเตอร์เธอคงจะใช้มันอย่างไม่ลังเลและมองว่าตราบใดที่มีศัตรูอยู่ตรงหน้าเธอก็จะสามารถต่อสู้ไปได้นานเท่านาน
「โซลอีทเตอร์ จะโกงเกินไปหน่อยไหมนะ」
เออซูร่าพูดออกมา ก่อนจะกระแอมเพราะรู้สึกว่าคอของตัวเองแห้งไปหมดแล้ว เสียงที่แหบพร่าจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเสียงของตัวเอง
เธอจึงหยิบถุงใส่น้ำที่ติดไว้ตรงเอวออกมาดื่มเพื่อดับกระหาย
จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วจ้องมองไปยังการต่อสู้ตรงหน้าต่อ
อาภรณ์วิญญาณโซลอีทเตอร์นั้นน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่โซระที่สามารถควบคุมมันได้ก็น่ากลัวพอๆ กัน
การปะทะกันของทั้งสองไม่ต่างอะไรกันตอนเริ่ม――ไม่สิ มันน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ลักษณะการปะทะกันมันเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด นั่นคือสิ่งที่เธอเห็น
ในตอนแรกโซระเลือกที่จะใช้ร่างกายของเขาบล็อกการโจมตีของอีกฝ่าย ตามด้วยสวนกลับทันที ไม่ต่างอะไรกับการแลกเลือด
เมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่มีเทคนิคเฉพาะในการทะลวงบาเรียคิ วิธีการของเขาก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก รูปแบบการต่อสู้หากมองผิวเผินก็ไม่ต่างจากเดิมมาก ทว่าความเร็วในการโต้กลับของโซระเริ่มเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ความเร็วในการต่อสู้ของทั้งสองนั้นอยู่เหนือจินตนาการมาก ดังนั้นความเร็วในการโต้กลับที่เพิ่มขึ้นเพียงชั่วพริบตาสั้นๆ นั้นย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าโซระเริ่มทำความเข้าใจกับเทคนิคของอีกฝ่าย ผ่านการถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
มันคือทักษะของผู้ใช้เองไม่ใช่สิ่งที่จะมาจากโซลอีทเตอร์อย่างแน่นอน
เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่คุ้มจะเผชิญหน้าด้วย คู่ต่อสู้ที่กระโจนใส่อีกฝ่ายโดยไม่ต้องกลัวบาดแผลใดๆ แถมยังมีความแข็งแกร่งทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์ ไม่ว่าจะโจมตีสักแค่ไหน ร่างกายก็ฟื้นกลับมาได้เหมือนเดิม ยิ่งถ้าใช้เทคนิคจำนวนมากแล้วไม่สามารถปิดในดอกเดียวได้ มันก็จะถูกวิเคราะห์หาทางรับมืออีก
กลับกันฝ่ายที่ต้องสู้ด้วยพละกำลังจะเริ่มถดถอยไป แถมเทคนิคทักษะต่างๆ ที่มีก็จะถูกเปิดเผยหาทางแก้จนหมดอีก จนต้องยอมรับความพ่ายแพ้ คนอย่างโซระคือคู่ต่อสู้ที่เออซูร่าไม่อยากจะสู้ด้วยเลย
――ขณะที่โซระต่อสู้อย่างมีความสุข คิจินที่ชื่อว่าโดกะเองก็ไม่แพ้กัน
โดกะทุ่มพลังที่มีของตนใส่โซระมากขึ้นเรื่อยๆ พอได้ปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกราะป้องกันที่ใส่มาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ หน้ากากที่ปกปิดใบหน้าของเขาก็หลุดออก ใบหน้าของเสือและร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยร่องรอยของสัตว์ร้ายก็เผยออกมาให้เห็น ตอนนี้เขาก็ดูเหมือนจะสนุกจนหยุดไม่อยู่เช่นกัน
◆◆◆
ขณะเดียวกัน ระหว่างที่โซระกับโดกะกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด
เหล่าผู้เหลือรอดจากคาซานที่เลือกจะกบฏต่อนากายามะ ได้มารวมตัวกันเพื่อลับคมเขี้ยวของพวกเขาสำหรับการลุกขึ้นสู้กับนากายามะอีกครั้ง ――ทั้งที่นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น
ทว่าก็เกิดเรื่องที่น่าเสียดายขึ้น เพราะขวัญกำลังใจของกบฏนั้นไม่ได้สูงพอจะทำเช่นนั้นได้ ทั้งอาหาร อาวุธ ทุกสิ่งไม่พร้อมเลยสักนิด หลายคนมุ่งเน้นไปทางหาเอาชีวิตรอดในแต่ละวันแทน มากกว่าการจะคิดถึงเรื่องสู้กับนากายามะด้วยซ้ำ การจะยึดเอาไซโตะคืนก็คงเป็นเพียงแค่ความฝัน
เดิมทีจำนวนคนที่ตามกันมาถึงจุดนี้ก็ไม่ได้มีมากเท่าไรนัก อย่างที่โดกะเลยพูดตอนอยู่ไซโตะ ถึงจะปล่อยพวกเขาไว้ กบฏคาซานก็คงจะล่มสลายไปเองโดยที่นากายามะไม่ต้องทำอะไร
แต่ถึงจะอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง พวกเขาก็ไม่ได้แตกแยกกัน ทั้งหมดก็เป็นเพราะผู้นำของกลุ่มที่ช่วยในการจัดการภายในได้
ส่วนผู้นำที่ว่าก็หาใช่ยามาโตะ บุตรชายของกิเอนที่เป็นผู้นำกองกำลังกบฏ หรือรันพี่สาวของเขา ยามาโตะนั้นเป็นเพียงเด็กชายอายุ 8 ปี ส่วนพี่สาวของเขาก็เป็นแค่วัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง เนื่องจากแม่ของพวกเขามีฐานะต่ำต้อย บทบาทที่พวกเขาได้รับก็มีเพียงแค่เป็นศูนย์รวมใจของพวกทหาร
ผู้นำของพวกกบฏจริงๆ นั้นคือคนที่ถูกเรียกว่า คาซากิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น 1 ใน 16 หอกแห่งคาซาน ชายผู้ภักดีต่อคาซานเป็นอย่างมาก เขาเชื่อว่ากิเอนคือนายเหนือหัวของเขาแต่เพียงผู้เดียว แม้เขาจะแสดงความเคารพต่อยามาโตะและรันอยู่ระดับหนึ่ง แต่นั่นมันก็แค่ทำให้พอเป็นพิธี
หลักฐานที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ เรื่องทางการทหารทุกอย่างยามาโตะและคนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจหรือออกความเห็นคือ ขนาดฐานที่มั่นไดโกนี้คาซากิก็เป็นคนเลือกเอง
――สภาพแบบนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานแน่
เมื่อสรุปเหตุการณ์โดยรวมรอบๆ เขาไดโกแล้ว นี่คือความคิดชายชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลสองพี่น้องคาซาน
ชายคนนี้มีชื่อว่าเคิร์ท ดวงตาของเขาเป็นสีแดงเข้ม เส้นผมเป็นสีขาว เขาคือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเหล่าคิจิน ถ้าจะพูดให้ชัดตอนนี้ก็มีเพียงเขากับมนุษย์อีกคนหนึ่งเท่านั้นที่อาศัยอยู่กับคิจินได้ โดยปกติแล้วมันก็ไม่มีทางหรอกที่เขาจะสามารถมาอยู่จุดนี้ได้ แต่เพราะเขามีความเกี่ยวข้องกับลัทธิแห่งแสง หลายๆ อย่างมันก็เลยง่าย
「…….ทำไมฉันต้องมาทำบ้าอะไรในที่แบบนี้ด้วยฟะ」
ครั้งนี้เขาเผลอหลุดความในใจออกมา จนยามาโตะที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วถาม
「เคิร์ท เมื่อกี้ได้พูดอะไรหรือเปล่าครับ? 」
เคิร์ทตอบกลับเจ้านายที่พูดจาสุภาพจนไม่สมกับความเป็นเด็กของเขาสักนิด
「ฮ่ะ คือข้าสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกๆ จากภายนอก――บางทีอาจจะเป็นมอนสเตอร์ก็ได้ดังนั้น เดี๋ยวข้าจะลองออกไปดูสักหน่อยนะครับ」
เมื่อได้ยินแบบนั้นยามาโตะก็ขมวดคิ้วและมองไปยังพี่สาวของตน
พี่สาวเห็ฯแบบนั้นก็เปิดปากพูดขณะจ้องไปยังเคิร์ท
「คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่หากพวกมันเข้ามาในค่ายเราได้เหมือนกันวัน ท่านเคิร์ทคราวนี้ก็ขอรบกวนด้วยนะคะ」
「เข้าใจแล้วครับ」
หลังจากตบกลับไปอย่างสั้นๆ เคิร์ทก็ออกจากห้องของสองพี่น้องไปแล้วเดินขึ้นไปบนกำแพงป้องกัน
ป้อมปราการที่สร้างขึ้นบนเนินเขาสูงชันคล้ายผา มันก็มีข้อดีตรงที่สามารถโฟกัสการป้องกันไปยังส่วนหน้า ซ้าย ขวา ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกล้อมจากด้านหลัง นอกจากนี้ด้วยภูมิประเทศดังกล่าวแม้กำแพงป้องกันค่ายจะไม่ดีนัก มันก็พอจะถ่วงเวลาข้าศึกได้บ้าง
ทว่ามันก็คงจะถ่วงเวลาได้แค่พวกมอนสเตอร์ทั่วไป หากเป็นพวกนักรบแห่งผืนป่าที่สามารถใช้คิ เหาะเหินเดินอากาศได้ของแค่นี้คงไม่มีปัญหาเลยสักนิด
「หากเป็นพวกธงแห่งผืนป่า น่าจะทำลายที่แห่งนี้ได้โดยใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง」
เคิร์ท――คลิม เบิร์ช พูดออกมาก่อนจะเผยรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะหุบมันลงไปอีกครั้ง
แน่นอนว่าคลิมมีเหตุผลที่เลือกจะเข้ามายังคิไค ภารกิจที่เขาได้รับมาคือการสังหารอาซึมะเพื่อช่วยเหลือไคลอา พี่สาวของเขาออกจากคุก แต่ปัจจุบันเขาได้ทำงานอยู่กับพวกกบฏคาซาน
ทำให้เห็นได้ชัดว่าคลิมไม่มีความตั้งใจจะไปสังหารอาซึมะเลยตั้งแต่แรก ไม่ว่าเขาอยากจะช่วยพี่สาวของตนสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่โง่พอที่จะเลือกบุกเข้าสู้กับกษัตริย์ของพวกคิจินตรงๆ แถมยังเป็นในคิไคสถานที่ที่เขาไม่สามารถใช้พลังได้นาน
ภารกิจในครั้งนี้คลิมก็ได้โพชั่นฟื้นฟูพลังมาเป็นจำนวนมากจากไดรอาทพี่ชายของเขาอยู่หรอก แต่มันก็ไม่ได้เพียงพอสำหรับภารกิจคราวนี้เลย แม้ว่าเขาจะเอาชนะอาซึมะได้จริงๆ แต่เขาก็ไม่โง่พอจะคิดว่ากิลมอร์จะยอมปล่อยพี่สาวของเขาเฉยๆ หรอก
ถ้างั้นทำไมเขายังเลือกจะมาที่คิไคกันล่ะ
เป้าหมายจริงๆ ของคลิมนั้นก็คือสมบัติลับของพวกคิจินที่ใช้ในการโจมตีเกาะอสูรยักษ์คราวก่อน
ของที่ทำให้พวกมันสามารถผ่านประตูปีศาจโดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้ แม้จะเป็นพวกธงระดับสูงที่สัมผัสเฉียบคมอย่างกับอะไรดี หากมีสิ่งนั้นเขาก็น่าจะสามารถช่วยเหลือพี่สาวของเขาจากตระกูลเบิร์ชได้
ของชิ้นนี้จะมีประโยชน์อย่างมากในการหลบหนี เพราะสำหรับนักรบแห่งผืนป่าแล้วการหนีออกจากเกาะคือบาปมหันต์ และในประวัติศาสตร์ 300 ปีของตระกูลมิตสึรุกิยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนี้แหละ หากไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้ พวกที่ไล่ล่าก็ไม่มีวันหาเจอแน่
ตั้งแต่วินาทีที่เขาได้ยินถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้น คลิมก็หมายปองสมบัติลับมาโดยตลอด มากเสียจนยอมแลกกับทุกสิ่งและหาทางว่าเขาจะได้มันมาด้วยวิธีการใด
หลังการต่อสู้บนเกาะแม้ว่าคลิมจะพยายามตามหาของพวกนั้นสักแค่ไหนเขาก็ไม่พบมันเลย ก็ไม่รู้หรอกว่าพวกคิจินเลือกจะทำลายมันไปจนหมดก่อนตายหรือเปล่าหรือมีใครแอบมาเก็บไปก่อน ทว่าสุดท้ายของที่ยังเหลือรอดก็ตกไปอยู่ในมือตระกูลมิตสึรุกิเสียหมด
พวกมันถูกเก็บเอาไว้ภายในคลังสมบัติตระกูล สำหรับคลิมที่เป็นเพียงนักรบธรรมดา ย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าถึง การบุกไปเพื่อชิงมันมาก็ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย
ดังนั้นเขาจึงเลือกเส้นทางใหม่ นั่นคือการมายังคิไคเพื่อหาสิ่งนั้นแทน
แม้ว่าจะยังไม่มีเบาะแสใดๆ แต่คลิมก็เชื่อว่าวิธีการนี้ดีกว่าไปสู้กับอาซึมะหลายเท่า
ผลที่ตามมาแม้จะล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็พอจะมีโชคได้เข้าร่วมกับพวกกบฏคาซาน
ทว่ามันก็ไม่ได้เกิดจากความสามารถของคลิมไปซะทีเดียว
อย่างที่บอกไปตอนแรก คลิมได้รับการยอมรับจากพวกคิจินในฐานะผู้ศรัทธาของลัทธิแห่งแสง แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ลัทธิที่ว่าคืออะไร นับประสาอะไรกับความเชื่อของลัทธิ ทว่าเขาก็มาถึงจุดนี้จนได้
โดยธรรมชาติแล้วคงจะไม่มีคิจินคนไหนเชื่อด้วยซ้ำ แต่ก็ได้ผู้ศรัทธาของลัทธิแห่งแสงคนหนึ่งเข้ามาช่วยยืนยันตัวตนของคลิมเอาไว้
สำหรับคลิมแล้วจะเรียกว่าคนคนนั้นเป็นผู้มีพระคุณก็ได้ ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะมาช่วยเขาไว้ทำไม――
「เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันเคิร์ท? 」
คนที่ปรากฏตัวออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเย่อหยิ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือคนที่คลิมบอกไปก่อนหน้านั่นเอง
ชื่อของเขาคือชินโต อายุประมาณ 30 ปลายๆ แม้ว่าจะสวมชุดคลุมนักบวชเอาไว้ แต่ร่างกายที่ดูกำยำและแข็งแกร่งของเขาก็บ่งบอกว่าเป็นนักรบ
ชินโตเป็นหนึ่งในคนสำคัญของกบฏคาซานที่มาช่วยเหลือคาซากิ มีหน้าที่ในการหาเงินทุนและเสบียง จนสามารถพูดได้เลยว่าที่พวกคาซานยังไม่อดตายกันเป็นเพราะเขา ซึ่งชินโตก็มีลัทธิแห่งแสงหนุนหลังอีกที
นอกจากนี้ ชินโตยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดกบฏคาซานขึ้น คาซากิกับพวกเลือกก่อกบฏขึ้นก็เพราะเขา ส่วนเหตุผลที่คลิมรู้ก็เพราะเจ้าตัวบอกเอง
「ข้าสั่งให้เจ้าคุ้มกันยามาโตะนี่ แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ เจ้าชิกิบุมันสั่งสอนลูกน้องตัวเองมาอีท่าไหนกันนะ?」
「เดี๋ยวก็กลับแล้วน่า ที่สำคัญอย่าเอ่ยชื่อของท่านผู้นำแบบนั้นสิ ฉันก็เคยบอกไปแล้วนะ」
「โฮ่ แล้วมันจะทำไมกันเล่า? มิตสึรุกิก็ไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าเป็นคนใช้ของตระกูลโฮโซของข้าหรอก เดิมทีมันต้องคุกเข่าต่อหน้าข้าด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเจ้าก็เช่นกัน」
เสียงของชินโตเเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและหยิ่งผยอง
คลิมก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ
ก็อย่างที่เห็นดูเหมือนว่าชินโต จะรู้เรื่องของตระกูลมิตสึรุกิและเขาก็เข้าใจผิดว่าคลิมเดินทางมายังคิไคตามคำสั่งของผู้นำตระกูล ดังนั้นพอชินโตเห็นคลิมกำลังเดือดร้อนเขาเลยเข้าไปยืนยันเรื่องที่คลิมเป็นคนของลัทธิแห่งแสงให้ แม้จะไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
ท่าทางอันหยิ่งผยองของชินโตที่มีกับคลิมแสดงให้เห็นว่าเขามีอำนาจหรือตำแหน่งที่เหนือกว่าตระกูลมิตสึรุกิจริงๆ
ส่วนตัวแล้วคลิมแทบอยากจะอาเจียนออกมาเพราะความน่าขยะแขยงของเขา แต่ข้อมูลที่ได้รับมามันก็มีค่ามากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อมโยงระหว่างลัทธิแห่งแสงกับตระกูลมิตสึรุกิที่มีมาหลายปี
นี่น่าจะช่วยเป็นไพ่ตายอีกใบหนึ่งสำหรับเขาหากล้มเหลวเรื่องสมบัติลับ――ดังนั้นคลิมจึงยอมกัดฟันทนอยู่กับคนแบบนี้ต่อไป
อย่างไรก็ตามด้วยนิสัยส่วนตัวของคลิมแล้วบางทีมันก็จะมีหลุดกันบ้าง พอชินโตเห็นความเป็นปรปักษ์ของคลิมแผ่ออกมาแบบนั้นเขาก็หัวเราะ
「เป็นอะไรไป ไม่พอใจงั้นเหรออย่างเจ้าน่ะไม่ไหวหรอก แต่ถ้าได้ฝึกใหม่สักหน่อยก็คงพอไปวัดไปวาได้ ว่าไงล่ะอยากจะลองเทคนิคของจริงที่ต่างจากของเลียนแบบที่เคยเรียนไหม? 」
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code