การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 207 คลิมปะทะอูรุย()

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 207 คลิม ปะทะ อูรุย

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับชายชราที่บอกว่าตนชื่ออูรุยซึ่งเป็นผู้นำตระกูลโฮโซ คลิมก็ตกอยู่ในสภาพต้องกัดฟันทนต่อแรงกดดันของอีกฝ่าย

 

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือสร้างความหวาดกลัวให้กับคลิมเลยสักนิด เห็นได้จากดาบที่ยังคงถูกเก็บไว้ในฝัก

 

 

อย่างไรก็ตามร่างของคลิมตอนนี้ก็เสมือนถูกตะกั่วถ่วงเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ความรู้สึกหนาวเย็นไหลขึ้นมาจากปลายเท้าราวกับถูกอสรพิษค่อยๆ เลื้อยขึ้นมา

 

 

 

คลิมต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่าชายชราตรงหน้าเขาแข็งแกร่งเกินไป ความแตกต่างของพลังทั้งคู่ชัดเจนมาก เขาตระหนักได้ว่าตนพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายตั้งแต่ยังไม่ได้สู้กันแล้ว ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับพี่ชายของตนอย่างไดรอาทหรือผู้นำตระกูลอย่างชิกิบุ

 

 

――และแม้จะเพียงครู่เดียว ใบหน้าของเพื่อนร่วมรุ่นผมสีดำก็แวบเข้ามาภายในใจของเขา แต่คลิมก็พยายามสลัดมันทิ้งไป

 

 

เมื่อเห็นใบหน้าของคลิมเป็นแบบนั้น อูรุยก็เหมือนจะคิดว่าคลิมกำลังระวังเขามากจนเกินไป เขาก็เลยพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งกว่าเดิมราวกับจะบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ

 

 

「ช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าที่เป็นข้ารับใช้ของตระกูลมิตสึรุกิถึงตัดสินใจต่อสู้กับชินโตกัน? หากว่าเป็นเรื่องที่ชินโตไม่ได้ให้ความเคารพต่อตระกูลมิตสึรุกิ ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้านายของเขาก็ต้องขออภัยด้วย」

 

 

 

「……」

 

 

 

เมื่อเห็นคลิมยังนิ่งเงียบเหมือนเดิม อูรุยก็เลยพูดต่อ

 

 

 

 

 

「ทว่าหากเจ้าตั้งใจจะขวางทางตระกูลโฮโซ ข้าก็คงต้องจัดการเจ้าในฐานะผู้นำสำหรับนานะชิกินั้นการผนึกพลังของอีกฝ่ายไม่ใช่จุดแข็งที่แท้จริงหรอกนะ ก็จริงว่าชายคนนี้มีพรสวรรค์ ทว่าเขาก็เป็นน้องเล็กที่ไร้ประสบการณ์ที่สุดในบรรดาของผู้ใช้ศาตร์แห่งนานะชิกิ」

 

 

 

เมื่อคลิมได้ยินแบบนั้น เขาก็เผลอหมวดคิ้วออกมา

 

 

 

ถึงเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอายุเท่าไหร่ แต่เจ้าชินโตนั่นยังไงอายุก็น่าจะเกิน 30 ไปแล้วแน่ๆ ไม่สิ 40 ยังเชื่อเลยหากบอกว่าคนแบบนั้นคือน้องเล็กและไร้ประสบการณ์มากที่สุด ก็แปลว่าพวกผู้ใช้ศาสตร์แห่งนานะชิกิคนอื่นต้องแก่กว่าชินโตหมดเลยสิ

 

 

ศาสตร์ที่ต้องใช้เวลา 20 ถึง 30 ปีในการปั้นนักดาบสักคน ช่างแกต่างกับคนของนักรบแห่งผืนป่าหรือมายาดาบเดียว นอกจากนี้กว่าพวกเข้าจะเชี่ยวชาญในนานะชิกิอายุก็ปาไป 30 หรือ 40แล้ว ระยะเวลาที่จะสามารถท่องโลกในฐานะนักดาบได้มันจะไม่สั้นไปหน่อยหรือไง

 

ยิ่งได้เห็นชินโตกับอูรุยต่างก็เคลื่อนไหวคนเดียว คลิมเลยพอจะเดาได้ว่าเหล่าผู้ใช้นานะชิกิน่าจะมีน้อยมากเสียจนใช้นิ้วสองข้างนับได้

 

 

 

จากนั้นชินโตที่เหมือนจะสงบสติของตัวเองได้สำเร็จก็เริ่มพูดขึ้น

 

 

「กรุณารอก่อนครับ ท่านอูรุย! ท่านไม่ควรไปถามเจ้าสารเลวนั่นให้เสียเวลาเลย!」

 

 

 

จากนั้นชินโตก็เป็นฝ่ายเริ่มบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อูรุยได้ฟังแทน

 

เมื่ออูรุยได้ทราบถึงความตั้งใจของชินโตที่จะล่อกองทัพนากายามะมาโดยใช้พวกกบฏคาซานเป็นเหยื่อล่อ ก่อนจะโยนให้ทางตระกูลมิตสึรุกิจัดการงานอีกที พอได้ยินแบบนั้นอูรุยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

เดิมที่ข้อมูลของตระกูลโฮโซหรือลัทธิแห่งแสงที่สามารถติดต่อกับตระกูลมิตสึรุกิได้นั้นเป็นความลับสุดยอด ความลับระดับสูงสุดที่หากมีใครนอกเหนือจากที่กำหนดล่วงรู้ต้องถูกกำจัดทันที

 

ตอนนี้คนที่อยู่ตรงนี้คงจะรู้กันหมดแล้ว หากพิจาณาถึงความเป็นไปได้ที่พวกคาซานจะได้ยินเสียงจากการต่อสู้ของคลิมกับชินโตก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนการกระทำของชินโตทั้งหมดก็เรียกได้ว่าประมาทสิ้นดี

 

 

 

ตอนนี้อูรุยก็ตั้งใจจะเก็บงานให้เรียบร้อยอยู่เหมือนกัน ทว่าที่เขาไม่ลงมือในทันทีก็เป็นเพราะเขาต้องการยืนยันอะไรบางอย่างจากคลิมที่เป็นนักรบแห่งผืนป่าเสียก่อน

 

 

ไม่ว่าผู้นำตระกูลโฮโซจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถฆ่าพวกนักรบแห่งผืนป่าได้ตามใจชอบ ตัวตนของตระกูลมิตสึรุกินั้นถือว่ามีผลกับทางลัทธิแห่งแสงพอสมควร

 

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวที่ชินโตเล่าทั้งหมดแล้วเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าช่างสูญเปล่า ชินโตเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างผิดไปเสียหมด

 

 

 

「เจ้าคนเขลา」

 

 

 

「……ครับ? 」

 

 

「สำหรับผู้นำตระกูลมิตสึรุกิแล้ว ความสัมพันธ์ของตระกูลพวกเรานั้นถูกปิดเป็นความลับซึ่งถูกสืบทอดกันมานับรุ่นสู่รุ่นภายในผู้นำตระกูล ไม่มีทางที่เขาจะส่งต่อข้อมูลนี้ไปให้ลูกน้องของเขาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ยิ่งไปกว่านั้นชิกิบุไม่มีทางจะบอกความลับยิ่งใหญ่นี้ให้เด็กหนุ่มธรรมดาคนนี้รู้ได้หรอก」

 

 

ชินโตทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ เพราะสับสน

 

 

ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นด้วยความตระหนกอีกครั้ง

 

 

 

「ต-แต่ว่า เคิร์ทมันก็มาอยู่ที่ค่ายแห่งนี้ในจังหวะเดียวกันกับตอนที่เริ่มก่อตั้งกบฏคาซานเลยนะครับ มันจะไม่เป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหน่อยหรือไงกัน ไม่ว่าข้าจะมองยังไงมันก็น่าจะเป็นคำสั่งของชิกิบุอยู่แล้วสิครับ!」

 

 

 

「ข้าก็ไม่สามารถพูดได้หรอกนะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้จริง บางทีชิกิบุคงตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเลยมาจบลงตรงนี้ อย่างไรก็ตามมันก็มีอีกหลายวิธีการเลยนี่ที่สามารถเคลื่อนไหวต่อโดยไม่เปิดเผยความลับใดๆ ออกไป เจ้าลองนึกย้อนกลับไปดูสิชินโต คำพูดและการกระทำของชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่ล่วงรู้ความลับทั้งหมดนั้นแล้วจริงๆ หรือ? 」

 

 

พอถูกถามไปแบบนั้น ชินโตก็ทำได้เพียงเปิดปากค้างไว้เฉยๆ โดยไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมา เขาลองนึกย้อนกลับไปหลายครั้งก็พบว่าตนรู้สึกแปลกๆ กับท่าทางและการกระทำของคลิมจริงๆ

 

 

พอเห็นว่าชินโตคงเริ่มคิดได้แล้ว อูรุยก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เขารู้อยู่แล้วว่าชินโตนั้นปรารถนาในเกียรติและความสำเร็จภายในตระกูล อูรุยจึงพอจะเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ไม่ยากเลย นอกจากนี้เขาก็พอจะรู้แล้วเหมือนกันว่าการกระทำทั้งหมดของคลิมมันอยู่นอกเหนือคำสั่งของผู้นำตระกูลมิตสึรุกิ

 

 

อูรุยได้มองเข้าไปยังดวงตาของชินโตแล้วพูดต่ออย่างตั้งใจ

 

 

 

「ดวงตาของเจ้าถูกความปรารถนาบดบังจนเหลือแต่ความโง่เขลา ปากของเจ้าได้เผยความลับมากมาย และยังพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ ชินโต การกระทำโดยประมาทของเจ้าครั้งนี้มันคงจะกลายเป็นหลุมฝังความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่เจ้ามีทั้งหมดเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ามีสิทธิ์ที่จะสั่งการตระกูลมิตสึรุกิอย่างอิสระตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 」

 

 

 

「แต่ว่า ท่านอูรุย ข้าก็ทำตามคำสั่งของท่านอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยนะครับ…!」

 

 

「ก็จริงว่าข้าสั่งให้เจ้ารวบรวมพวกคาซานเอาไว้ แต่ข้าก็ไม่เห็นจำได้ว่าอนุญาตให้เจ้าออกไป『ภายนอก』การที่สั่งให้ตระกูลมิตสึรุกิเคลื่อนไหวได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท บางทีข้าคงจะตามใจเจ้ามากเกินไปหน่อยสินะ เผลอยกย่องชื่นชมเจ้าที่สามารถสำเร็จศาสตร์นานะชิกิได้ก่อนอายุ 40 คงจะทำให้เจ้าได้ใจเกินไป」

 

 

 

ร่างของชินโตสั่นไปเจ้าเข้าทันทีที่อูรุยพูดจบ เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขาไม่หยุด การหายใจก็เริ่มหอบแรงขึ้นสะท้อนก้องไปในความมืดมิดยามราตรี

 

จากมุมคนนอกแล้วก็แอบตลกดีที่ได้เห็นชายวัย40ต้นๆ ทำตัวหัวหดเป็นเด็กน้อยที่โดนดุ

 

 

 

แต่คลิมหัวเราะไม่ออกเลยสักนิด ไม่สิหัวเราะไม่ได้ ไม่ว่าคำพูดของเขาจะดูสงบนิ่งสักแค่ไหน แต่ทุกคำที่เปล่งออกมามันก็ไม่อาจซ่อนความคมเหมือนกับใบมีดได้เลย ขนาดคลิมที่ยืนฟังเองก็ยังเหงื่อไหลตามร่างไม่หยุดเลย

 

――ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่ตอนนี้ในมือของอูรุยได้มีดาบที่ส่องประกายสะท้อนแสงออกมาเสียแล้ว

 

 

วินาทีต่อมาที่คลิมรู้สึกตัว ก็เกิดเสียงบางอย่างขึ้นและหัวของชินโตก็ตกลงไปที่พื้น

 

 

อูรุยทำการตัดหัวของชินโตอย่างรวดเร็วโดยที่คลิมไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะหันมาทางคลิมโดยไม่ได้สนใจหัวที่ตกลงไปบนพื้น

 

คลิมที่ถูกสายตาอันลึกล้ำราวกับความมืดมิดยามค่ำคืนนั้นจ้องมองมา ก็พยายามจะเตรียมตัวรับมืออีกฝ่าย

 

 

 

 

ทว่า――

 

 

 

 

 

「คึ……!?」

 

 

ร่างกายของเขาถูกบีบรัดแน่นเอาไว้ด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็น เขาไม่สามารถขยับแขนหรือขาได้เลยสักนิด แม้แต่จะสูดอากาศเข้าไปในร่างยังทำไม่ได้เลย

 

 

 

แล้วหลังจากนั้น คุริคาระที่อยู่ในมือของเขาก็สลายหายไปในอากาศ พลังคิที่อยู่ภายในร่างของเขาถูกผนึกเอาไว้โดยสมบูรณ์

 

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนนี่ก็คงจะเป็นเทคนิคของอูรุย

 

 

 

มันคือเทคนิคเดียวกับที่ชินโตใช้แน่ๆ แต่ความแตกต่างในเรื่องของความแม่นยำ แรงกดดันและความเข้มข้นของพลังนั้นชินโตเทียบไม่ติดเลย คลิมในตอนนี้ถูกผนึกพลังเอาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว แม้จะเป็นแค่เทคนิคพื้นฐานของมายาดาบเดียวเขาก็ไม่อาจจะใช้มันได้เลย

 

 

ไม่ว่าคลิมจะพยายามขัดขืนสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหลุดออกจากมือล่องหนนี้ได้เลย หากเป็นแบบนี้เขาคงไม่สามารถรอดจากการโจมตีของอูรุยได้แน่

 

 

อูรุยได้ปิดระยะห่างระหว่างเขากับคลิมอย่างรวดเร็วราวกับร่างไร้น้ำหนักชวนให้นึกถึงสายลมที่พัดผ่าน ก่อนจะเหวี่ยงดาบของเขา มันเป็นดาบที่ไร้ซึ่งจิตสังหาร ไร้ซึ่งความแค้นหรือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ มันคือความว่างเปล่าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ก็ช่างดูสงบนิ่งแรงกระเพื่อมของดาบภายในอากาศไม่ได้ก่อกำเนิดขึ้นเลย พอเห็นแบบนี้แล้วคลิมก็เลยทำใจยอมรับว่าตนคงหลบไม่พ้นแล้วแน่ๆ

 

 

 

 

 

「――ศาสตร์แห่งนานะชิกิ ร่วงหล่น」

 

 

 

 

ทันทีที่คลิมได้ยินเสียงนั้น เขาก็เห็นภาพที่หัวของตัวเองกำลังลอยล่องอยู่ในอากาศ ใช่แล้วถ้าเขาไม่พยายามฝืนจนเอาแขนขวาของตัวเองมารับไว้แทน ภาพในหัวนั้นจะต้องเป็นจริงแน่

 

 

ประกายแสงจากดาบที่ฟัดมาอย่างเฉียบคมได้ตัดแขนของคลิมให้ลอยล่องไปในท้องฟ้ายามราตรี

 

 

จากนั้นไม่นานเลือดจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากร่างของคลิม จนย้อมพื้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน

 

 

 

『เคิร์ท!!』

 

 

ทั้งรันและยามาโตะที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้เพราะไม่อยากจะรบกวรคลิมก็ส่งเสียงออกมาพร้อมๆ กัน

 

 

แต่สำหรับคลิมแล้วเขาไม่มีเวลาพอจะตอบสนองต่อคำพูดของทั้งสอง ทันทีที่ถูกฟันเสร็จ ร่างของเขาก็หลุดออกจากพันธนาการ เขารับสร้างระยะห่างโดยใช้มืออกข้างกุมบาดแผลเอาไว้ เขารู้ดีว่าถึงจะพยายามหนีก็คงหนีไม่พ้น ดังนั้นขอแค่สักวินาทีเดียวก็ได้ เขาต้องรีบเค้นความคิดว่าจะทำยังไงให้ตนรอดกลับไปได้นอกจากนี้เขายังต้องกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดอันแสนสาหัสที่โถมเข้ามา เขาไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องใดๆ ออกมาเลยสักนิด

 

 

อูรุยที่เห็นแบบนั้นก็เปิดปากพูด

 

 

「รักษาหัวของตัวเองได้ด้วยการเสียสละแขนงั้นหรือ ก็จริงอยู่ว่ามันเป็นวิธีในการรับมือที่เหมาะสมที่สุด ทว่าก็มีนักดาบไม่กี่คนหรอกนะที่จะมันได้อย่างไม่ลังเล แม้ว่าเจ้าจะอายุยังน้อย แต่ก็มีความกล้าหาญมากเลยทีเดียวข้าขอชื่นชม」

 

 

 

「….นี่ฉันต้องรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคำชมจากแกด้วยใช่ไหม….? 」

 

 

เมื่อคลิมโต้ตอบกลับไปในขณะที่พยายามทนต่อความเจ็บปวด อูรุยก็เผยรอยยิ้มให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก

 

 

 

 

 

「ข้าก็ไม่ได้เกลียดเด็กที่กล้าเถียงกลับหรอกนะ เอาเป็นว่าเจ้ามีอะไรจะสั่งเสียไหมล่ะ? หากมีก็จงพูดมาเสียเดี๋ยวข้าจะเป็นคนถ่ายทอดคำพูดกับหัวของเจ้าไปให้ทางตระกูลมิตสึรุกิเอง」

 

 

 

「อึก…ของแบบนั้นไม่จำเป็นหรอก….น่า」

 

 

 

แม้จะมีชั่วขณะหนึ่งที่ใบหน้าของพี่สาวเขาโผล่ขึ้นมา แต่เขาก็เลือกจะสลัดมันทิ้งไป คงจะโกหกหากบอกว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่อูรุยเสนอมาเลยสักนิด ทว่านี่ก็เป็นเกียรติของทางคลิมเหมือนกัน เขาไม่ต้องการร้องขอความเมตตาจากคนที่จะฆ่าเขา

 

 

แถมเขายังจินตนาการไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าคนที่สามารถฆ่าลูกน้องตัวเองได้อย่างง่ายดายจะรักษาสัญญากับคลิมที่เป็นศัตรู

 

หลังจากได้ยินคำตอบของคลิม อูรุยก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมานอกเสียจากพยักหน้ารับ

 

 

 

 

 

「ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ข้าทำได้ตอนนี้ก็คือยุติความเจ็บปวดของเจ้าเสีย」

 

 

 

เมื่อสิ้นการอำลาสั้นๆ อูรุยก็เข้าไปหาคลิมในชั่วพริบตาก่อนจะเหวี่ยงดาบ――ไม่สิ พยายามจะเหวี่ยงดาบ

 

 

ทว่าก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้นมือของเขาก็หยุดลงเสียก่อน

 

 

เพราะว่าระหว่างอูรุยกับคลิมนั้นได้มีรันที่เอาร่างของเธอมาขวางเขาเอาไว้

 

 

 

อูรุยที่เห็นแบบนั้นก็เกิดความสับสนแล้วมองไปที่รันอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของเธอ

 

สำหรับผู้นำตระกูลโฮโซอย่างเขาแล้วอูรุยไม่ลังเลที่จะสังหารคิจินเลยสักนิด ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่จะสังหารเด็กสาวแถมอีกฝ่ายยังไม่ใช่นักรบเหมือนกัน

 

 

 

「เจ้าควรจะถอยไปเสีย ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องฆ่าเจ้าไปด้วย」

 

 

 

「ไม่มีทางหรอก!」

 

 

 

 

รันเมินเฉยต่อคำเตือนของอูรุย ก็ไม่ใช่ว่าเธอมีความเด็ดเดี่ยวหรืออะไร เพราะทั้งขาและดวงตาของเธอก็สั่นไปด้วยความกลัว แม้จะสิ้นหวังขนาดไหนรันก็พยายามจะประคองสติตัวเองและไม่ขยับออกจากจุดที่อยู่

 

 

「เขาผู้นี้ไม่ใช่คนของลัทธิแห่งแสง แต่เป็นนักดาบของพวกมนุษย์ที่ดูแลประตูปีศาจ เขาคือคนของตระกูลที่ทรยศต่อเผ่าพันธุ์ของเจ้าและกักขังพวกเจ้าเอาไว้ที่คิไคแห่งนี้เมื่อ 300 ปีก่อนนะ」

 

 

「ถึงจะเป็นแบบนั้น เคิร์ทก็ปกป้องฉันกับน้องชายฉันเอาไว้! เขาปกป้องพวกเราจากลัทธิแห่งแสงของแก! สำหรับคนของราชวงค์คาซานแล้วพวกเราไม่มีวันลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณได้หรอก!」

 

 

 

「……งั้นหรือ」

 

หลังจากฟังเสียงที่ดูน่าสิ้นหวังของรัน อูรุยก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เขาตระหนักได้แล้วว่าจะโน้มน้าวอะไรต่อไปคงไร้ประโยชน์

 

 

 

 

ไม่ว่ายังไงสองพี่น้องก็รู้ความลับนั่นแล้ว คงไม่พ้นต้องถูกกำจัด ตัวอูรุยเองก็ตั้งใจว่าจะพาพวกเขาไปที่ส่วนกลางของลัทธิเพื่อให้สันตะปาปาดูแลต่อไป ทว่าดูจากทัศนคติของรันแล้วคงจะไม่ยอมตามมาเงียบๆ แน่

 

 

เพราะความประมาทของชินโตเขาจึงต้องเสียชินโตไป อูรุยรู้สึกแย่ที่ไม่มีดวงเรื่องลูกน้องเอาเสียเลย จนทำให้รู้สึกอิจฉาชิกิบุที่มีคนหนุ่มสาวน่าสนใจมากมายเก็บไว้กับตัว

 

 

 

เอาเป็นว่าหลังจากนี้เขาก็ตัดสินใจแนวทางที่จะทำต่อไปได้แล้ว หากทางสองพี่น้องตั้งใจจะปัดน้ำใจของอูรุยทิ้ง เขาก็ต้องทำในสิ่งที่ผู้นำตระกูลโฮโซควรทำเสีย

 

 

 

 

「เอาเถอะ หากเจ้าเลือกทางนั้น เจ้าก็คงต้องเสียสละตัวเองเสียแล้วเจ้าหญิงแห่งคาซานเอ๋ย」

 

 

จากนั้นอูรุยก็ตัดสินใจจะบั่นคอของรันทิ้งเสีย

 

――ทว่าก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น อูรุยก็พุ่งออกจากจุดที่ตัวเองอยู่อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็มีก้อนหินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงปะทะพุ่งเข้ามาในจุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ มันรุนแรงพอที่จะบดขยี้ให้หัวของอูรุยเละเป็นชิ้นได้เลยทีเดียว

 

 

โดยปกติแล้วก้อนหินที่ถูกขว้างมานั้นมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก หากมันไม่ได้ถูกใช้ด้วยคนที่มีทักษะความสามารถและความแข็งแกร่งพอที่จะทำลายร่างของมนุษย์ได้ด้วยก้อนหินธรรมดา นอกจากนี้หากอูรุยไม่เลือกจะหลบออกมา เศษหินที่แตกกระจายคงจะกระเด็นมาโดนหัวของเขาอีกทีแน่

 

จากนั้นการโจมตีด้วยหินก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดลง มันโถมเข้ามาเรื่อยๆ จนทำให้อูรุยต้องถอยกลับไปด้านหลังเรื่อยๆ

 

 

ส่งผลทำให้ระยะห่างของพวกรันกับอูรุยไกลกันเรื่อยๆ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเพียงพอแล้วการโจมตีด้วยหินนั้นก็หยุดลง

 

 

มันเกิดอะไรขึ้นกัน รันกระพริบตาเหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวก็พบว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเธอกับอูรุยเสียแล้ว

 

 

เด็กหนุ่มผมสีขาวผิวสีน้ำตาล ดวงตาเป็นประกาย เต็มเปี่ยมไปด้วยความดุดันและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ลุกโชน เขาหนึ่งเขาที่งอกมาจากหัวชี้ตระหง่าไปบนฟากฟ้า

 

เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอันอ่อนเยาว์ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉง ซึ่งสวมชุดคลุมทหารสีดำบ่งบอกว่าเป็นคนของนากายามะ

 

 

 

「……หมาป่าทมิฬคาการิ มาถึงที่นี่แล้วหรือ」

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของอูรุย คิจิน――คาการิก็แสยะยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว

——-

Note 1 : ชื่อตอนไม่น่าเรียกสู้ได้ น่าจะเรียกอูรุยกระทืบคลิม ส่วนพรี่อิจิโกะหายไปเลยและคงจะหายไปอีกหลายตอนแน่ทรงนี้

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน