การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 212 เมืองของเหล่าคิจิน

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 212 เมืองของเหล่าคิจิน

 

 

กิเลนได้วิ่งผ่านพื้นที่รกร้างไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังบินอยู่ ทิวทัศน์โดยรอบที่ผมเห็นจากสองฝั่งนั้นไหลผ่านไปเร็วราวกับสายน้ำไหล

 

ก็ดูน่าตื่นเต้นจริงๆ――ทว่าด้วยความเร็วระดับนี้ รถม้ามันก็ดันสั่นแรงตามไปด้วยจนทำให้ไม่รู้สึกสบายขณะนั่งเลย

 

หากเป็นตอนปกติผมก็คงไม่บ่นอะไรออกมาหรอกแต่สภาพผมไม่ตอนนี้มันเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหวนี่สิ อันที่จริงคิดว่าระหว่างทางจะโดนโดกะทำอะไรแปลกๆไหม แถมสภาพผมก็ไม่มีแรงเหลือพอจะทำอะไรแล้วด้วย

 

สุดท้ายก็เลยต้องทนต่อไปอย่างไม่มีทางเลือกจนกว่าจะถึงไซโตะ จะให้ไปบอกอีกฝ่ายว่าเมารถม้าจนทนไม่ไหว ให้ขับช้าลงหน่อยก็คงไม่ได้

 

 

ไคลอาที่อยู่ข้างๆผมก็พูดออกมาด้วยความเป็นห่วง

 

 

 

 

「คุณโซระ ถ้าไม่ไหวจะนอนพักก่อนก็ได้นะคะ」

 

 

ระหว่างที่พูดไคลอาก็ตบลงไปที่เข่าของเธอ เนื่องจากข้างในรถม้าค่อนข้างแคบ ช่างว่างระหว่างผม ไคลอา และเออซูร่าเลยไม่มี ผมจึงไม่สามารถนอนข้างในรถม้าได้ แต่อย่างน้อยหากไคลอาเสนอให้ใช้ตักของเธอมันก็พอไหว

 

 

ก็คือตอนนี้ไคลอาเสนอให้ผมนอนบนตักเธอนั่นแหละ

 

 

 

 

「หากได้นอนหลับสักหน่อยคงสบายขึ้นเยอะนะคะ」

 

 

 

เธอพูดออกมาอย่างไม่ลังเล ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่นซะด้วย นี่เธอห่วงฉันจริงจังเลยแฮะ

 

ส่วนตัวฉันก็ไม่ใช่คนใจกล้าหน้าด้านจะไปขออีกฝ่ายก่อนด้วยได้แบบนี้ก็ดีเลย

 

 

 

 

 

「งั้นเหรอ….รบกวนหน่อยละกัน!」

 

 

ผมตอบกลับไปอย่างไม่ลังเลนัก หัวของผมได้ล้มลงนอนบนฮากามะสีแดงของไคลอา

 

 

 

 

คงจะใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงไซโตะ ดังนั้นหากพักเอาแรงเท่าที่จะทำได้ก่อนก็เป็นเรื่องดี นอกจากนี้หากผมเอาแต่มองภาพภายนอก เดี๋ยวจะถูกเข้าใจผิดว่าพยายามเก็บข้อมูลของไซโตะด้วยก็ได้ พอได้นอนหนุนตักไคลอาแบบนี้ก็น่าจะลดข้อสงสัยของพวกคิจินลงด้วย

 

อันที่จริงพวกคิจินก็คงคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว หากพวกเขากังวลจริงคงจับพวกผมปิดตาไปแล้ว แต่ที่ไม่ทำก็เพราะคงไม่ได้กังวลอะไรขนาดนั้นมั้ง

 

 

หลังจากที่ผมนอนบนตักของไคลอา เธอก็ได้ใช้นิ้วอันเรียวบางของเธอค่อยๆสางผมของผม

 

แน่นอนว่านิ้วของเธอก็มีปุ่มอยู่เหมือนกับมือของนักดาบทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับผมแล้วสภาพถือว่าดีกว่าเยอะ ลักษณะการลูบของเธอผ่านเส้นผมก็สบายดี สภาพร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยล้าของผมพอได้รับการดูแลแบบนี้ก็ต้านไม่ไหวจริงๆ

 

 

 

สัมผัสไม่ได้ถึงแรงสั่นจากรถม้าที่คอยรบกวนแล้ว แทนที่จะบอกว่าหลับ เรียกว่าผมสลบไปเลยดีกว่า

 

 

 

 

นี่ก็ผ่านไปถึง 1 วันเต็มตั้งแต่ที่เดินทางไปไซโตะ

 

ระหว่างนั้นพวกอาซึมะและโดกะก็ใช่ว่าจะอยู่ในรถม้ากันตลอด พวกผมทำการหยุดพักเพื่อทานอาหารอยู่หลายครั้ง บางทีก็ต้องจัดการพวกมอนสเตอร์ที่มาขวางทางด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

 

 

ถ้าจะให้พูดเรื่องที่น่าสนใจก็คงจะเป็นหมอนตักที่เรียกว่าไคลอามีผลในการฟื้นตัวของผมสูงจนน่าตกใจ

 

เออซูร่ากับโดกะแม้จะแสดงสีหน้าปั้นยากออกมาพอเห็นผมนอนหนุนตักไคลอาอยู่ แต่ผมคิดว่าคงไม่ใช่อะไรนักหนา เพราะไคลอาเองก็หัวเราะอย่างมีความสุขดี

 

 

แล้วจากนั้นพวกเราก็เดินทางมาถึงไซโตะเสียที

 

 

พอพูดถึงเมืองหลวงของพวกคิจินแล้วผมก็แอบคาดหวังเอาไว้นิดหน่อย

 

ที่ตั้งศูนย์กลางของเหล่าคิจินซึ่งสู้รบกับตระกูลมิตสึรุกิมากว่า 300 ปี ผมว่ามันน่าจะแข็งแกร่งและดูสง่างามเต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากเลยทีเดียว

 

ทว่าพอมาได้เห็นจริงๆแล้วผมกลับผิดหวัง….ค่อนข้างแย่เลยแฮะ ไม่สิมันแย่เลยแหละ

 

 

ก็จริงว่าเมืองหลวงนี้มีขนาดใหญ่มากและกำแพงปราสาทก็ถูกสร้างมาเป็นอย่างดี

 

 

 

หากเทียบกับเมืองอินิเชี่ยนซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิซึ่งผมแวะไประหว่างทางก่อนมาถึงเกาะ ก็น่าจะมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของมัน

 

 

 

หลังจากเข้ามาแล้วสิ่งที่ผมเห็นก็ไม่เปลี่ยนไปจากที่คิด

 

ภายในมีบ้านเรือนอาคารอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านไม้หลังคามุงจาก บางหลังก็เป็นกระท่อมที่เอาเศษไม้หรือผ้าเก่าๆมามุงหลังคาไว้ หากเกิดเพลิงไหม้ไฟคงลมอย่างรวดเร็วแน่

 

 

การจะป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น พวกเขาก็ควรจะวางมาตรการอย่างการเว้นช่องว่างระหว่างอาคารหรือสร้างบ่อน้ำไว้ในจุดสำคัญแท้ๆ แต่ผมก็ไม่ได้เห็นของอย่างที่ว่าเลย ชวนให้รู้สึกว่าเมืองนี้มันวางผังเมืองกันยังไงน้อ

 

 

 

ชักคล้ายกับส่วนตะวันตกของฮอรัสซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรคานาเรียเลย การวางแผนผังเมืองดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเนื่องจา่กการขยายตัวแบบไม่คาดคิดของประชาชน

 

การพัฒนาพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยหลายๆอย่างในฐานะเมืองหลวงของประเทศแล้วดูไม่ไหวเลยวุ้ย

 

เอาเถอะยังไงนี่ก็คือเมืองหลวงเดี๋ยวคงได้รู้เรื่องหลายๆอย่างจากคนแถวนี้เองแหละ

 

 

ในอดีตผมเคยคิดว่าที่ตระกูลมิตสึรุกิไม่พยายามขยายอาณาเขตมาภายในคิไคเป็นเพราะสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมแถมกินแรงพวกธงแห่งผืนป่าอีก แต่จริงๆอาจจะเป็นเพราะถึงได้มาก็ไม่มีประโยชน์อะไรก็ได้

 

ระหว่างที่กำลังคิดนั่นนี่ผมก็เดินทางมาถึงวังแล้ว――จากนั้นก็ถูกคนของอาซึมะนำทางไปยังห้องรับรอง เพื่อรอคุยกับอาซึมะอย่างเป็นทางการ

 

 

ส่วนคนทำทางที่ว่าก็ไม่ใช่ใคร โดกะนั่นเอง นอกจากตัวเขาแล้วไม่มีข้ารับใช้คนอื่นติดตามมาด้วยเลย

 

 

พอมองย้อนกลับไปดูตั้งแต่พวกเรามาถึงไซโตะ อาซึมะก็สั่งให้โดกะปิดม่านรถม้าไม่ให้คนข้างนอกเห็นภายในรถม้าได้ ราวกับพยายามให้พวกผมหลบสายตาจากคนรอบๆมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางทีพวกเขาคนไม่อยากให้ข่าวลืออย่างมีมนุษย์เข้ามาในเมืองหลวงก็ได้

 

พวกเขาอาจจะกังวลเกี่ยวกับความสงบภายในเมืองและอาจจะมีความเสี่ยงที่คิจินบางตนซึ่งอยู่ภายใต้เขาขัดคำสั่งแล้วโจมตีพวกผม

 

เอาเถอะไม่ว่าจะกรณีไหน อาซึมะคงจะเจอปัญหามากมายแน่หากเรื่องที่ผมมายังเมืองหลวงของคิจินหลุดออกไป

 

อย่างแรกที่ต้องคุยกับอีกฝ่ายก็คงเป็นเรื่องของคลิม ถึงไคลอาจะไม่ได้เร่งอะไรผมแต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอกังวลเรื่องน้องชายของเธอมากแค่ไหน

 

ทีนี้ก็ต้องรอฟังคำตอบจากอาซึมะ ความเสี่ยงที่จะเกิดมวยขึ้นอีกก็ไม่ใช่ศูนย์ เอาเป็นว่ายังไงก็ต้องยืนยันสถานะของคลิมตอนนี้ให้ได้ก่อน

 

 

 

 

「――มีชายหนุ่มที่แฝงตัวเข้ามาในคิไคโดยหมายหัวฉันอยู่สินะ หื้ม」

 

 

หลังจากได้ยินเรื่องที่ผมถามแล้ว อาซึมะก็พยักหน้าตอบพร้อมกับรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ ทว่าคำตอบของเขาก็สัมผัสไม่ได้ถึงความเสแสร้งอะไร

 

 

「สรุปก็คือ ตลอดเดือนที่ผ่านมาข้าไม่ถูกมนุษย์โจมตีเลยนะ แถมไม่ได้ยินรายงานเรื่องที่ทางเราจับมนุษย์มาได้ด้วยสิ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่ชายคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ก็ค่อนข้างสูงเลย」

 

 

 

พอได้ยินคำพูดนั้นผมก็โล่งใจไปส่วนหนึ่ง ถึงจะเชื่อคำพูดของอาซึมะไม่ได้เสียหมดก็เถอะแต่อย่างน้อยก็ไม่มีสถานการณ์อย่างอีกฝ่ายประหารคลิมไปแล้วอะไรทำนองนั้นอยู่

 

 

คงไม่ต้องบอกว่าผมสบายใจแค่ไหน หากเกิดอะไรทำนองนั้นขึ้นไคลอาที่เป็นพี่สาวของเขาจะทำอะไรบ้างผมนึกไม่ออกเลยจริงๆ

 

 

 

จากนั้นอาซึมะก็พูดต่อขณะต้องมายังผม

 

 

 

「ถึงจะบอกว่ามีชีวิตอยู่ แต่จะบอกว่าปลอดภัยก็คงพูดไม่ได้เต็มปากหรอก คิไคแห่งนี้น่ะอันตรายขนาดไหน นายก็น่าจะรู้ดี พื้นที่ส่วนใหญ่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยไอพิษ ขนาดคิจินอย่างเราที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพปีศาจยังอาศัยอยู่กันได้ยากเลย มันก็เลยชวนให้คิดว่ามนุษย์ตัวคนเดียวจะเอาชีวิตรอดในนี้ได้นานสักแค่ไหนกัน หากปราศจากความช่วยเหลือใดๆ 」

 

 

จากคำพูดและสีหน้าที่เขาแสดงออกมาเหมือนอีกฝ่ายจะมองว่าคลิมไม่น่าจะรอดแล้ว

 

 

โดกะที่ยืนอยู่ข้างๆพี่ชายของเขาก็พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะพูด

 

 

 

「มอนสเตอร์ดุร้ายจำนวนมากได้เดินเล่นอยู่ภายในดินแดนแห่งนี้ สำหรับผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณเพียงคนเดียวก็ยากจะรับมือได้นะ ดังนั้นอย่าคาดหวังอะไรสูงนักล่ะ แล้วคงไม่ต้องพูดนะถึงแม้อีกฝ่ายจะมีชีวิตอยู่แต่ถ้ามันหวังจะเอาชีวิตพี่ของข้า ข้านี่แหละจะเป็นคนสังหารมันเอง」

 

 

 

โดกะพูดขณะจ้องมองมายังผม

 

 

ผมก็ทำได้เพียงยักไหล่ให้หมอนั่น

 

 

 

「เข้าใจแล้วน่า จะพยายามไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นละกัน ดังนั้นเลยอยากจะขอสิทธิ์ในการเดินทางภายในถิ่นของนากายามะเพื่อหาตัวหมอนั่นหน่อยน่ะ แน่นอนว่าฉันจะปิดบังตัวตนเรื่องที่เป็นมนุษย์เอาไว้ละสัญญาเลยว่าจะไม่ก่อเรื่อง」

 

 

 

「ไอ้เรื่องแบบนั้น……」

 

 

โดกะหันไปทางพี่ชายตัวเอง เห็นได้ชัดว่าหมอนี่ไม่ชอบใจเอาเสียเลย

 

 

 

หากเป็นไปได้หมอนี่คงอยากจะปฏิเสธผมเสียเองเลย แต่ก็รู้ว่าคนกุมอำนาจภายในนี้ไม่ใช่ตนสีหน้าเขาฟ้องแบบนั้น

 

 

ก็อย่างที่คิด อาซึมะยอมรับข้อเสนอของผม

 

 

 

 

 

「ฉันก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธหรอกนะ แต่มันค่อนข้างเสี่ยงเหมือนกัน」

 

 

 

「เป็นคำขอที่เกินมือนายเหรอ?」

 

 

 

「ก็ส่วนหนึ่งแหละ นอกจากนี้เรื่องที่ข้ากังวลมันก็เกี่ยวกับท่านโซระด้วย พูดตามตรงคือเหตุผลที่ข้าเชิญท่านมายังไซโตะก็เพราะอยากจะสานสัมพันธ์ฉันมิตรกับท่าน ปัญหามันก็เลยมีหลายๆอย่างน่ะ」

 

 

พอได้ยินคำพูดของอาซึมะผมก็กะพริบตาแล้วเอียงหัวสงสัย

 

บอกตามตรงว่าผมไม่รู้เลยว่าในหัวของกษัตริย์แห่งนากายามะคิดอะไรอยู่

 

——-

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

 

 

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน