-ตอนพิเศษ-
「ออกจากเกาะ――นี่นายจริงจังเหรอ จิน? 」
「ครับพี่ ผมไม่ใช่คนจะมาพูดเล่นกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว」
ชายหนุ่ม มิตสึรุกิ จิน ตอบคำถามมิตสึรุกิ คาซึมะพี่ชายของเขาด้วยสายตาที่จริงจัง
พอคาซึมะจ้องมองไปยังดวงตานั้นเสร็จก็ถอนหายใจออกมา ที่ถามไปตอนแรกก็เป็นเหมือนพิธีการเฉยๆ เท่านั้น เพราะตั้งแต่วินาทีที่น้องชายของเขามาหาตนที่ห้องด้วยใบหน้าที่จริงจัง พร้อมกับบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยตนก็คิดแล้วว่าเขาคงมีอะไรในใจจริงๆ
จากนั้นจินก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังต่อ
「พี่ก็คงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่บนทวีปหลักนั้นมีเผ่าพันธุ์ในตำนานถูกโค่นไปในเดือนเดียวถึง 3 ตัว」
「ก็ได้ยินมาแล้วเหมือนกันว่ามีกลุ่มคนที่สามารถเอาชนะพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานได้เห็นถูกเรียนกันว่าเก็นโซ โนะ ชิชิ (เหล่าผู้สังหารเผ่าพันธุ์ในตำนาน) 」
「ในขณะที่นานะชิกิเป็นเพียงการรวมตัวกันของพวกน่าสมเพชที่เรียกตัวเองว่านักรบ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสามารถของคนกลุ่มนี้จะมีมากขนาดไหน ดังนั้นผมก็เลยอยากจะเดินทางไปทวีปหลักด้วยตัวเองเพื่อแสวงหาพลังที่สามารถโค่นล้มพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานลงได้ และอยากจะรู้จักกับกลุ่มคนที่เอาชนะพวกมันได้ด้วย」
หากนั่นเป็นของจริงเขาก็อยากจะได้มันมา เมื่อหูของคาซึมะได้ยินความรู้สึกที่แท้จริงของจินเขาก็ถอนหายใจออกมา
「แต่นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่ากลุ่มคนพวกนั้นกองกำลังหลักคือพวกคิจิน」
พอคาซึมะพูดคำว่าคิจินออกมา ก็เกิดความตึงเครียดระหว่างสองพี่น้องขึ้น
ตระกูลโฮโซนั้นมีหน้าที่ในการปราบความชั่วร้ายและพวกคิจิน สำหรับตระกูลมิตสึรุกิที่อยู่ใต้ปีกของพวกเขา พวกคิจินก็เป็นดั่งศัตรูที่ต้องสังหาร
นานะชิกินั้นถูกสร้างมาเพื่อสังหารพวกมันโดยเฉพาะ
โดยปกติแล้วพวกคิจินก็มองตระกูลโฮโซและพวกมนุษย์ว่าเป็นศัตรูเช่นเดียวกัน หากเป็นสถานการณ์ปกติเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะร่วมมือกับมนุษย์ แต่เพราะพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานที่เดินไปมาบนทวีป ก็เลยเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากพวกเขาทุกคนต้องร่วมมือกัน
จินมองว่านี่เป็นโอกาสอีกอย่างหนึ่ง หากเขาสามารถเข้าร่วมกับทางเก็นโซได้ เขาก็น่าจะสามารถดึงเอาพลังของพวกคิจินมาใช้งานได้ ซึ่งเรียกกันว่าอาภรณ์วิญญาณ
จินเดินเข้าไปหาพี่ชายของเขาก่อนจะคุกเข่าลง
「พี่ ฉันเชื่อว่านี่จะเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของตระกูลเรา หากเราสามารถนำอาภรณ์วิญญาณมาอยู่กับตัวและใช้มันเอาชนะพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานได้สำเร็จ ตระกูลมิตสึรุกิก็จะผงาดเหนือตระกูลโฺฮโซ ทั้งผมและพี่ก็จะไม่ใช่หมากที่ถูกใช้แล้วทิ้งเหมือนพ่อกับคนอื่นๆ อีกต่อไป!」
「ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ไม่มีทางเลยที่พวกผู้เฒ่าของตระกูลโฮโซจะยอมรับเรื่องที่นายจะไปร่วมมือกับคิจิน หากพวกนั้นรู้เข้า มีหวังตระกูลของเราได้ถูกไล่ล่า ทั้งนายและฉันคงได้ไปนอนเป็นปุ๋ยอยู่ที่ทุ่งนาแน่」
「เรื่องนั้นผมทราบดี ดังนั้นพวกเราก็คงต้องสร้างเรื่องประมาณว่าน้องชายของผู้นำตระกูลมิตสึรุกิได้หลบหนีไป แล้วพี่ที่เป็นผู้นำตระกูลก็เลยแสดงความรับผิดชอบ….」
พอเว้นไปสักพักจินก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สดใส
「โดยการฆ่าผมทิ้งไง สำหรับเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้งอย่างตระกูลมิตสึรุกิ ถึงจะมีพี่น้องตายไปสักคนหนึ่งยังไงเขาก็ไม่สงสัยอยู่แล้ว」
คาซึมะที่เห็นน้องชายของตนพูดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างสบายใจ รอยย่นบริเวณคิ้วของเขาก็ลึกขึ้นกว่าเดิม
「นี่นายเข้าใจถึงการตัดสินใจนั้นดีใช่ไหม? หากนายทำแบบนี้นายจะไม่สามารถใช้ชื่อมิตสึรุกิได้อีกแล้วนะ」
แม้ว่าน้องชายของเขาจะได้อาภรณ์วิญญาณมาจริงและส่งต่อให้กับพี่ชายของตคน และตระกูลมิตสึรุกิกลับมามีอำนาจเหนือตระกูลโฮโซจริง แต่ก็ไม่มีพื้นที่ให้สำหรับคนเป็นน้องอีกต่อไป
หากน้องชายของเขาแกล้งตาย คาซึมะก็จะสามารถอ้างได้ว่าเป็นเทคนิคที่ตนคิดค้นขึ้นมาเอง แม้ว่านั่นจะคล้ายกับอาภรณ์วิญญาณมากก็ตาม แถมหลักฐานอย่างการที่เขาไม่เคยออกไปจากนอกเกาะแห่งผืนป่าเลย ก็คงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกคิจินแน่
ดังนั้นหากพวกโฮโซรู้ว่าน้องชายของเขาที่สมควรจะตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ เรื่องที่พยายามทำมาทั้งหมดก็คงจะแดงขึ้นมา
แล้วพวกเขาจะรู้ว่าตระกูลมิตสึรุกิติดต่อกับพวกคิจิน สุดท้ายก็จะถูกบดขยี้ทิ้งไป
แถมผู้ที่ต้องเดือดร้อนนอกจากเขาและน้องชายก็จะมีเหล่าข้ารับใช้ของตระกูลมิตสึรีุกิถึงจะมีอยู่ไม่มากนัก แต่คาซึมะก็ไม่อยากจะให้พวกเขาเอาตัวเข้ามาเสี่ยงด้วย
แน่นอนว่าจินเข้าใจทุกอย่างดี
「ผมรู้ดีอยู่แล้ว แต่ขืนยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราก็จะกลายเป็นโล่เนื้อให้กับพวกนานะชิกิเหมือนเดิม สุดท้ายก็โดนพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานฆ่าตาย ทางเลือกอย่างการอยู่แบบคนตายย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ 」
หลังจากพูดจบ จินก็หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับอยากจะขอโทษ
「อย่างไรก็ตามผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะที่โยนความรับผิดชอบของตระกูลให้พี่ทั้งหมดจาการตัดสินใจนี้」
พอได้ยินแบบนี้แล้วคาซึมะก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ หากจะต้องขอโทษจริงคนที่ควรพูดก็ควรเป็นเขามากกว่าน้องชาย
สุดท้ายแล้วเหตุผลที่น้องชายของเขาเลือกทางนี้ก็เป็นเพราะหากปล่อยไว้ ตระกูลมิตสึรุกิก็คงไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ หรือก็คือคาซึมะนั้นขาดความสามารถในการเป็นผู้นำตระกูลจนทำน้องชายเดือดร้อน
แต่ถึงเขาจะพูดมันออกไปน้องชายของเขาก็คงไม่คิดจะเปลี่ยนใจและไม่รับคำขอโทษของเขาแน่ พอคิดได้แบบนั้น คาซึมะก็บอกให้จินรอสักครู่แล้วออกไปอีกห้อง
พอคาซึมะกลับมา พร้อมกับดาบยาวที่อยู่ในมือ ดวงตาของจินก็เบิกกว้างขึ้น
「พี่ นี่มัน……」
「นี่คือดาบอันล้ำค่าทั้งสองเล่มที่ส่งต่อกันมาในตระกูล ซาซาโนะซึยุกับ ซาซาโนะยูกิ ฉันอยากจะให้นายเอาซาซาโนะยูกิติดตัวไปด้วย」
คาซึมะพูดก่อนจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่น่าจะเป็นครั้งแรกเลยที่เขายิ้มออกมาตั้งแต่พ่อของเขาเสียชีวิตไป
「ฉันก็กะว่าจะมอบให้นาย ในตอนที่นายก้าวข้ามฉันไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมาจบลงแบบนี้ เอาเถอะหากเป็นนายในตอนนี้ก็คงจะฝากฝังมันเอาไว้ได้」
พอจินได้ยินแบบนี้ก็แสดงใบหน้าอันสับสนออกมา
「เดี๋ยวสิพี่ ก็ดีใจนะที่จะเอาดาบนี้ให้ แต่….ซาซาโนะยูกิมันเป็นดาบที่พ่อซึ่งเคยเป็นผู้นำตระกูลใช้ไม่ใช่เหรอ ดาบที่พี่ควรจะให้ผมน่ะต้องเป็นซาซาโนะซึยุสิ อันที่จริงสำหรับพลังของผมในตอนนี้ซาซาโนะยูกิยังดีเกินไปด้วยซ้ำ!」
「เอาน่ารับๆ ไปเถอะ นี่ถือเป็นสิ่งที่พี่พอจะมอบให้นายได้」
หลังจากถูกเสนอดาบแสนล้ำค่านี้ให้ จินก็ลังเลอยู่พักหนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็รับมันมา
น้ำหนักของสิ่งที่อยู่ในตอนนี้มันมากมายจริงๆ จนทำให้เขาเผลอกัดริมฝีปากของตนไว้
◆◆◆
จินขยับมือของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
เหงื่อบนหน้าผากของเขาไหลรินหลังสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานาน ทว่าด้วยศัตรูจำนวนมากที่รุมล้อมเขาอยู่ จินไม่มีเวลาแม้แต่จะเช็ดเหงื่อนั้นออกไป
「ของใหม่มาแล้วเห้ย! เร่งมือหน่อย!」
「ครับ! หัวหน้า!」
ปอกมันเข้าไป! หัวมันจำนวนมากกองอยู่ภายในตะกร้าตรงหน้าของจิน
กองมันฝรั่งพวกนี้ตกเป็นหน้าที่ของจินที่ต้องปอกมันออกให้หมด
นี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว แม้จะได้เดินทางกับพวกเกนโซ โนะ ชิชิตะวันออกล่องไปตะวันตก จินก็ยังทำหน้าที่เพียงแค่ปอกมันฝรั่งเท่านั้น
ส่วนวัตถุประสงค์หลักอย่างการสังหารเผ่าพันธุ์ในตำนานหรือขโมยเคล็ดอาภรณ์วิญญาณก็ไม่คืบหน้าใดๆ เลย แต่จินก็ไม่รีบร้อนเพราะเขาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องราวมันคงไม่ง่ายแค่เดือนสองเดือนจบ
เหนือสิ่งอื่นใด――
「พอไม่ต้องมาเห็นหน้าไอ้พวกนานะชิกินานๆ เข้า อารมณ์มันก็ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูกแฮะ」
จินหัวเราะออกมาจนสั่นไปทั้งตัว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย จินยอมรับในสถานะตอนนี้ของตัวเองและใช้ชีวิตนอกเกาะอย่างสนุกสนาน
ถึงจะมีหลายสิ่งที่ยังอยู่ในใจของเขา อย่างการออกจากตระกูลและเดินคนละเส้นทางกับพี่ชายของตนและความคิดถึงจนทำให้อ่อนไหวจนแทบอยากร้องไห้ออกมา
แต่นั่นมันก็คือสิ่งที่เขาต้องแลก แถมถึงเขาจะมีสิ่งพวกนี้อยู่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์มีความสุขกับชีวิตปัจจุบันเสียหน่อย นั่นแหละคือนิสัยของเขา
นอกจากนี้ก็มีสิ่งที่จินคิดอยู่ภายในใจ
มันฝรั่งที่เขาได้รับมานั้นไม่มีท่าทีจะลดลงเลยสักนิดแม้จะเขาจะปอกมานานแล้วแค่ไหนก็ตาม คือเขาก็ไม่คิดหรอกว่าคนพวกนี้จะทำไปเพื่อความสนุกหรืออยากเห็นเขาทรมานอะไร
คนที่ทำหน้าที่ในการปอกหัวมันพวกนี้นอกจากจินแล้วก็มีคนอื่นอีกเยอะเลย ทั้งที่มาก่อนและหลังเขา เพราะชื่อเสียงของกลุ่มเก็นโซเลยทำให้ทุกคนจากหลายแหล่งเข้ามาขอร่วมด้วย
ทั้งคนอยากจะสร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะผู้สังหารเผ่าพันธุ์ในตำนาน ทั้งคนที่อยากจะแก้แค้นพวกมัน ทั้งคนที่ต้องการหาเลี้ยงชีพเฉยๆ หรือแม้แต่คนอย่างจินที่อยากจะมาหาความลับแห่งพลังของพวกเขา
การสั่งให้พวกคนที่มาใหม่ทำงานเบ็ดเตล็ดอันต่ำต้อยนี้ถือเป็นการสร้างความกดดันและภาระให้กับกายใจเป็นอย่างมาก
เห็นได้จากหลายคนที่มาตรงนี้ไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้และจากไป บ้างก็แสดงความไม่พอใจเพราะคิดว่าตนจะได้มาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนักรบชั้นยอด
ไม่ว่าจะเก่งมาจากไหนหรือมีจิตวิญญาณที่สูงส่งสักเพียงใด แต่พวกใจร้อนก็ไม่มีทางจะทำงานเป็นกลุ่มได้ สำหรับกลุ่มเก็นโซแล้วการให้พวกคนที่มาใหม่ทำงานแบบนี้ก็เป็นเหมือนการคัดคุณภาพคน หรืออย่างน้อยก็คือสิ่งที่จินคิด
เขาก็เลยยังทนปอกมันฝรั่งต่อไปโดยไม่บ่นอะไร
แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืมหาเวลาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อคุยกับคนรอบๆ และหาข้อมูลต่างๆ ภายในค่ายช่วงพักผ่อน ผลที่ได้คือเขาพอรู้แล้วว่ามีคิจินอยู่ 3 ตนซึ่งเป็นกำลังหลักของกลุ่มที่ใช่อาภรณ์วิญญาณได้
ใจจริง จินก็อยากจะไปคุยกับพวกเขาให้รู้เรื่องไปเลยแต่พวกเขาเป็นระดับสูงของกลุ่มไม่ใช่คนที่จินจะเจอตัวได้ง่าย หากเลือกจะฝืนไปคุยผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ดีนัก
จินนั้นเป็นคนของตระกูลโฮโซ ถึงแม้เขาจะตัดสัมพันธ์กับทางนั้นรวมถึงตระกูลมิตสึรุกิไปหมดแล้ว แต่เขาก็ไม่ใช่พวกจะมองโลกในแง่ดีพอจะเชื่อใจว่าเขาจะไม่เป็นอะไรหากฝั่งคิจินรู้เข้าว่าอดีตเขาคือคนของโฮโซ ความเป็นไปได้ที่เขาจะโดนสั่งเก็บก็มีสูงอีก
ดังนั้นเขาควรหลีกเลี่ยงการทำอะไรลัดขั้นตอน จินก็เลยพักเรื่องนี้แล้วทำหน้าที่ของตนต่อไปก่อน
นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ จินไม่ได้รู้สึกประทับใจในพลังของทั้ง 3 มากนัก
ครั้งหนึ่งจินเคยเห็นพวกเขาใช้อาภรณ์วิญญาณต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่มาโจมตีค่าย
แน่นอนว่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณนั้นแข็งแกร่งแน่นอน แม้ว่าจินจะทุ่มสุดตัวก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้
ทว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรมากไปว่าการใช้กำลังที่ได้มาจากอาภรณ์วิญญาณเข้าปะทะกับพวกมอนสเตอร์จนจินสงสัยว่าพวกคิจินไม่ได้มีระบบการตั้งสำนักหรือสร้างเคล็ดวิชาอะไรเลยหรือไงกัน
ยังไงก็คงเร็วเกินไปที่จะผิดหวัง แม้จะรู้ว่าเป็นแบบนี้แต่พลังของอาภรณ์วิญญาณนั้นก็น่าสนใจมากจริงๆ
「คิดตอนนี้ก็คงเร็วไป ถึงพวกเขาจะเป็นเก็นโซเหมือนกัน แต่ก็มีหลายหน่วยแตกแยกออกไป」
คนที่จินเห็นในตอนนี้ไม่ใช่นักรบของเก็นโซทั้งหมดที่มี เพราะการหมุนเวียนกำลังพลนั้นจะสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และกำหนดการที่เขาจะได้ทำต่อจากนี้ก็คือการไปเข้ากับกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเป็นกลุ่มที่โค่น 2 ใน 3 เผ่าพันธุ์ในตำนานเมื่อไม่นานมานี้
ที่นั่นจินอาจจะได้พบกับคนที่ตนตามหาก็ได้
「อย่างน้อยก็อยากจะได้คนที่มากความสามารถในฐานะนักดาบเหนือกว่าพี่จังเลยนะ ไม่รู้ว่าจะคาดหวังสูงไปหน่อยไหม แต่ถึงขนาดเอาชนะเผ่าพันธุ์ในตำนานได้ 2 ตัวก็ขอหวังหน่อยเธอ」
หลังพูดแบบนั้นจินก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา
สามวันหลังจากนั้นจินก็ได้พบเจอกับกลุ่มคามูนะซึ่งได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คิจิน
แล้วก็เป็นที่นั่นเองที่จินก้มหัวให้กับหญิงสาวผู้หนึ่งแล้วขอฝากตัวเป็นศิษย์กับเธอ โดยไม่รู้เลยว่าชะตากรรมของตนหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร
◆◆◆
ค่ายที่จินอาศัยอยู่ร่วมกับกลุ่มของเก็นโซภายใต้การนำของกลุ่มซัตสึกิก็ถูกโจมตีโดยพวกมอนสเตอร์
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่ย้ายไปกลุ่มคามูนะ การโจมตีคราวนี้เป็นการโจมตีที่ฝ่าช่องว่างของการเฝ้าระวังไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พวกเวรยามนั้นไม่ได้เกียจคร้านในการเฝ้าระวังเลย แต่เป็นทางศัตรูที่ว่างแผนโจมตีในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น
พวกเวรยามที่คอยสอดส่องดูการบุกจู่โจมช่วงกลางคืนอย่างขันแข็งนั้น พอได้เห็นแสงอาทิตย์เริ่มขึ้นมาจากขอบฟ้าพวกเขาก็ตระหนักว่าค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปแล้วจนปล่อยตัวลงเล็กน้อย แล้วศัตรูก็ใช่ช่องว่างนั่นในการบุกโจมตีในมุมที่เป็นจุดบอดของมนุษย์ นั่นก็คือดิ่งลงจากท้องฟ้า
「ศัตรูบุก!! พวกกริฟฟอน!!」
จินสะตุ้งตัวตื่นขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงตะโกนก่อนจะจับซาซาโนะยูกิของเขาที่กอดเอาไว้แม้ในขณะนอนวิ่งออกจากเต็นท์มา
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของเวรยามที่ถูกกรงเล็บของกริฟฟอนฉีกกระชากก็ดังก้องไปทั่ว
แม้ว่าจะจินรีบวิ่งไปตามเสียงแต่มันก็สายไปแล้วหลังเห็นลำไส้ของผู้เคราะห์ร้ายทะลักออกมา
หลังจากได้เหยื่อของตนแล้วกริฟฟอนก็จะใช้ปีกขนาดใหญ่ของมันบินไปบนฟ้า
จินที่มองขึ้นไปด้านบนก็พบว่ามีฝูงกริฟฟอนจำนวนมากกำลังบินอยู่พร้อมกับแสงแดดที่สาดส่องร่างพวกมัน ขนสีน้ำตาลเป็นประกายของพวกมันส่องแสงออกมา
「…อะไรกัน」
จินพูดออกมาด้วยความตกใจ
พวกมันมักจะอาศัยอยู่บนยอดเขาสูงและไม่ค่อยลงมารบกวนถิ่นของมนุษย์นัก ในอดีตจินก็เคยเห็นพวกมันมาบ้างจากไกลๆ แต่ไม่เคยสู้กับพวกมันมาก่อน
ที่เขารู้ก็คือพวกมันแข็งแกร่ง มันคือตัวแทนราชาแห่งวิหคที่มีหัวเป็นเหมือนอินทรี ลำตัวและกรงเล็บคล้ายสิงโต โบยบินอย่างอิสระบนฟากฟ้าและสังหารเหยื่อที่คลานอยู่บนพื้น
แล้วขณะนี้พวกมันมีมากกว่า 50 ตัวอย่างน้อยก็เท่าที่จินพอจะมองเห็น ขนาดตัวเดียวจินยังไม่รู้เลยว่าจะจัดการยังไง แล้วด้วยจำนวนขนาดนี้พอเห็นเลยอดหัวเราะออกมาไม่ไหว
นักรบบางคนก็พยายามยิงธนูหรือเวทมนตร์ใส่พวกมัน แต่ส่วนใหญ่ก็ไปไม่ถึงตรงที่พวกมันอยู่ แถมด้วยร่างกายของแข็งแกร่งของพวกมันถึงแม้จะมีการโจมตีไปถึงบ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างบาดแผลสำคัญอะไรให้กับร่างพวกมันเลย
จากนั้นพวกกริฟฟอนก็ได้ทำการโฉบลงมาโจมตีพวกเขา เสียงกรีดร้องแสนน่ากลัวได้ดังขึ้นทุกครั้งที่มีคนถูกกรงเล็บนั้นโจมตี
จินเดาะลิ้นอย่างหัวเสีย เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังต่อเนื่อง
「ถ้าไม่ลากมันลงมาที่พื้นก็คงได้ถูกมันเล่นจากด้านบนไม่หยุดแน่」
คำพูดของจินคงเป็นสิ่งที่ทุกคนในที่นี้คิด
ทว่าพวกเขาก็ไม่มีวิธีที่จะทำให้พวกมันลงมาอยู่กับพื้นได้เลย แม้ทุกคนจะต้องเอาตัวเข้าแลกแต่สุดท้ายก็น่าจะเก็บพวกมันได้แค่ตัวสองตัว
และเวลาแบบนี้แหละคือหน้าที่ของพวกผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณ
「เห้ย เจ้าเด็กใหม่! บ่นอะไรอยู่คนเดียวน่ะ อยากจะตายแล้วหรือไง!」
คนดูแลครัวที่จินเรียกเขาว่า หัวหน้า ได้ตะโกนใส่เขา
บนหัวที่ปกติจะใส่หมวกสูงสีขาวได้เปลี่ยนเป็นหมวกเหล็กสีน้ำเงิน
「หัวหน้าปลอดภัยดีสินะครับ」
「ห่วงตัวเองเถอะ แล้วนี่เจ้ามัวมาทำอะไรอยู่ตรงนี้กัน! รีบหนีไปทางป่าตะวันออกได้แล้ว หากเป็นตรงนั้นมอนสเตอร์ไม่น่าจะตามพวกเจ้าไปได้!」
พอเขาบอกเสร็จก็มีคนที่อยู่รอบๆ นั้นวิ่งหนีไปตามที่เขาบอกแม้จะยังสงสัยอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็รีบเดินไปต่อเพื่อบอกคนอื่นๆ ว่าควรอพยพไปที่ไหน
พอเห็นแบบนี้แล้วจินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรตัดสินใจวิ่งหนีเข้าป่าไป หรือพยายามช่วยเหลือหัวหน้าของเขาในการแจ้งให้คนอพยพ
ตัวเขาไม่สามารถมาตายในที่แบบนี้ได้เพราะต้องการเรียนรู้อาภรณ์วิญญาณ ขณะที่คิดแบบนั้นเรื่องตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้หลุดพ้นจากการปอกมันฝรั่ง หากเขาสามารถสร้างผลงานภายในกลุ่มเก็นโซได้ พวกระดับสูงก็จะยอมรับในตัวเขามากขึ้นด้วย
แต่เขาก็มีเวลาคิดแค่เพียงชั่วสั้นๆ เพราะสถานการณ์เลวร้ายนี้มันไม่ได้นั่งรอคำตอบของเขา
กริฟฟอนตัวหนึ่งกำลังร่อนลงมาจากบนท้องฟ้าพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูง
โดยปลายทางของมันนั้นไม่ใช่จินแต่เป็นหัวหน้าของเขา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะหมวกเหล็กที่เขาใส่มันเด่นสะท้อนแสงมากไปจริงๆ
จะว่าไปพวกกริฟฟอนมันก็ชอบสะสมของแวววาวไม่ต่างอะไรกับมังกรนี่นะ
จินรีบใช้มือของตนจับไปยังซาซาโนะยูกิแล้วตั้งท่าอิไอ
หัวหน้าของเขายังคงวิ่งต่อไปโดยไม่สังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของกริฟฟอน แม้ว่าจินจะส่งเสียงเรียกแล้วแต่ก็คงไม่ทัน
ถือเขาจะรีบเหวี่ยงดาบเข้าไปช่วยตอนนี้ระยะดาบของเขาก็คงไม่ถึง
แม้เข้าจะเข้าใจมันเป็นอย่างดีแต่เขาก็ไม่มีความลังเลที่จะเคลื่อนไหวไปข้างหน้า
「――」
ลมหายใจเข้าออกของเขาได้ประสานกันอย่างช้าๆ
และหลังจากนั้นจินก็สัมผัสได้ถึงพลังที่หมุนเวียนอยู่ภายในร่างของเขา ซึ่งเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับเทคนิคที่พวกนานะชิกิใช้กันอย่างจองจำ
ด้วยเหตุนี้เองจินจึงคุ้ยเคยกับออร่าดังกล่าว
พี่ชายของเขา มิตสึรุกิ คาซึมะ คือผู้ที่ได้รับการชื่นชมจากตระกูลโฮโซว่ามีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยาก แล้วจินที่พี่ชายของเขาชื่นชมว่าเก่งกว่าตนนั้นจะมีฝีมือมากขนาดไหนกันล่ะ บัดนี้เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพรสวรรค์ของตนเริ่มเบ่งบานขึ้น
จินพยายามปลดปล่อยพลังภายในตัวของเขาออกไป ซึ่งมันมีลักษณะที่แตกต่างไปจากของนานะชิกิ
มันคือเทคนิคที่มิตสึรุกิ จินเป็นคนสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง มันคือผลจากพรสวรรค์ของเขาที่เคยละทิ้งไป มันคือดาบที่มีไว้เพื่อสังหารเผ่าพันธุ์ในตำนานหาใช่คิจิน
เพราะมันคือเทคนิคที่ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากนานะชิกิ เขาจึงได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับมัน
ซึ่งนั่นก็คือ
「――วายุ」
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้นเขาก็ปลดปล่อยซาซาโนะยูกิออกมาจากฝัก
ครู่ต่อมา ดาบของเขาก็ได้สร้างคลื่นพายุพุ่งบินไปในอากาศ แล้วปะทะเข้ากับปีกของกริฟฟอนอย่างแม่นยำ
「โกร้วววว!? 」
การโจมตีนั้นเฉียบคมและทะลวงปีกของกริฟฟอนอย่างน่าสยดสยอง
ปีกของกริฟฟอนได้ถูกตัดทิ้งโดยฝีมือของจิน จนทำให้มันเสียการทรงตัวและกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง
หัวหน้าของเขาที่ไม่รู้สึกตัวมาก่อนว่าถูกจ้องจะเล่นอยู่ ก็ส่งเสียงตกใจออกมาทันทีที่เห็นกริฟฟอนร่วงลงกับพื้นไม่ไกลจากตนนัก
จากนั้นจินก็รีบตะโกนเรียกหัวหน้าของเขาอีกครั้ง
「หัวหน้ารีบถอยออกมาเร็วเข้า!」
เพราะสิ่งที่จินตัดออกไปนั้นมีเพียงปีก
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้คงไม่มีหวังพอจะฟันมันขาดเป็นสองท่อนได้ และมอนสเตอร์ตัวนี้ก็ยังหายใจดีอยู่
「อ-เอ้อ เข้าใจแล้ว!」
หลังได้ยินเสียงของจิน หัวหน้าของเขาก็รู้สึกตัวแล้วรีบถอยออกมาจากกริฟฟอน
ทันใดนั้นกริฟฟอนที่โดนฟันปีกทิ้งไปก็ลุกขึ้นพร้อมกับส่งเสียงอันโกรธเกรี้ยวออกมา เนื้อตัวของมันตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน มีเลือดไหลออกมาตามบาดแผล ดวงตาของมันจ้องมองราวกับจะกลืนกินไปยังศัตรูที่พรากปีกมันไป นั่นก็คือจิน
เมื่อมองดูท่าทางของกริฟฟอนที่พร้อมจะกระโจนเข้ามาโจมตีจิน เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้สูญเสียพลังในการต่อสู้ไปเลย
ถึงมันจะไม่สามารถบินได้แล้ว แต่มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่ถูกกระชากทิ้งได้ด้วยกรงเล็บของมันอยู่ดี จินรับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเหลือกริฟฟอนอีกจำนวนมากที่อยู่บนหัวของเขาซึ่งไม่รู้จะลงมาโจมตีพวกเขาตอนไหน
จินไม่ใช่คนที่ได้ใจพอจะคิดว่าสามารถเอาชนะกริฟฟอนที่บาดเจ็บในสถานการณ์เช่นนี้
โชคดีที่กริฟฟอนมันเคลื่อนไหวได้ช้าลงเพราะเพิ่งสูญเสียปีกไป เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการล่อให้มันมาทางเข้าเพื่อให้หัวหน้าของเขาหนีไปได้ แล้วก่อนที่จินจะได้ทำตามที่คิดนั้นเอง
「แผดเผาให้สิ้น มากาโตะ!」
เขาหยุดนิ่งไปในทันที
ด้วยเสียงตะโกนอันร้อนแรง วังวนเปลวเพลิงได้พุ่งออกมาจากด้านหลังของเขาและกลืนกินกริฟฟอนทั้งตัว กริฟฟอนที่โดนการโจมตีนี้เข้าไปก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ก่อนจะดิ้นไปมา
ทว่ามันก็ทนได้ไม่นานนัก สุดท้ายเปลสไฟก็แผดเผาร่างของมันจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
จินที่เห็นมอนสเตอร์ระดับราชาถูกสังหารในการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็อดไม่ได้ที่จะหันไปยังทิศที่เปลวไฟพุ่งมา
ตรงหน้าของจินมีคิจินวัยกลางคนที่น่าจะอายุมากกว่าเขาประมาณ 20 ปียืนอยู่
「หึ น่าเบื่อชะมัด! กริฟฟงกริฟฟอนอะไร ไม่เห็นจะต่างจากไก่ตรงไหน!」
จินจำใบหน้าที่ดูผยองนั้นได้ดี เขาคือ1ใน3 ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณของกลุ่มซัตสึกิ
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตื่นมาเมื่อครู่นี้เอง สภาพผมที่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่ดูไม่เรียบร้อย แถมพอดูข้างหลังเขาก็มีหญิงสาวอีก 2 คนที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเหมือนกัน
รู้เลยว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่พอโดนโจมตีก็คงจะรีบจับดาบออกมาลุย
จินก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงว่ากำลังหลักของค่ายมาเล่นจ้ำจี้กับผู้หญิงในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกโจมตีเนี่ยนะหรือ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดในสิ่งที่คิดออกไป
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน แต่ทั้งจินและคนอื่นก็ได้รับการช่วยเหลือจากเขาจริงๆ นอกจากนี้ใครมันจะไปกล้ายุ่งกับคนที่เอาชนะกริฟฟอนได้ง่ายๆ
「เห้ย พวกเจ้าน่ะ!」
พอชายคนนี้สังเกตเห็นจินและหัวหน้าของเขา ชายคนนั้นก็ตะโกนเรียน
จินทำการเปิดปากพูดก่อนหัวหน้าของเขา เพราะการกระทำของเขาในคราวนี้น่าจะสร้างสายสัมพันธ์กับพวกระดับสูงของเก็นโซได้ นี่คือเจตนาแอบแฝงในการออกตัวล้วนๆ
「ฮ่ะ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ!」
「จากนี้ไปเดี๋ยวข้าจะจัดการกับพวกมอนสเตอร์เอง พวกเจ้าพาผู้หญิงหนีไปเสีย คงรู้นะว่าถ้าทำพวกนางมีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อยจะเป็นเช่นไร!」
คงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว พอจินพยักหน้ารับ อีกฝ่ายก็ตอบกลับว่ายอดเยี่ยม
ถึงจะเข้าหาด้วยเจตนาแอบแฝงแต่คำสั่งที่ชายคนนั้นมอบให้ก็มีผลดีในแง่ของการพาผู้อื่นอพยพหนีไป
หลังจากหันไปมองหัวหน้าของเขา ทุกคนก็เริ่มหนีเข้าไปในป่าทางตะวันออก
ระหว่างที่พวกเขากำลังจะหนีอยู่นั้นเอง ในวินาทีต่อมาจินก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลจนรู้สึกคอแห้งและก้าวเท้าไม่ออก
――มันโผล่มาก่อนที่เข้าจะรู้สึกตัวเสียอีก
ร่างขนาดใหญ่ที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้านั่นคือกริฟฟอนอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันมันก็แตกต่างออกไป
ไม่ใช่ว่ามันไม่มีขา ปีก หัว ที่เหมือนกับอินทรี หรือลำตัวกรงเล็บที่เหมือนกับสิงโต ลักษณะดั้งเดิมของกริฟฟอนนั้นมันยังคงมีทุกประการ
ทว่ามันก็มีอยู่ 3 สิ่งที่ต่างออกไปจากกริฟฟอนตัวอื่น
1 คือสีขน ขนของมันนั้นถูกแสงอาทิตย์ย้อมไปด้วยสีดำมืดราวกับมีใครมาทาสีทับเอาไว้
2 คือขนาดของมัน ลำตัวของมันใหญ่มากเสียจนสามารถมองเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ห่างกันไกล น่าจะขนาดประมาณ 2-3เท่าของกริฟฟอนทั่วไปได้
3 คือแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของมัน แม้จินจะอยู่ไกลถึงเพียงนี้แล้วแต่ แรงกดดันที่มันแผ่ออกมานั้นน่าจะมากพอบดขยี้ทุกคนในค่ายแห่งนี้จนสิ้น
ไม่ว่ากริฟฟอนจะเป็นระดับราชา แต่ก็ไม่มีทางที่มันจะแสดงพลังมากมายขนาดนี้ได้หรอก สิ่งที่จินเห็นตรงหน้าตอนนี้คือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดมาเพื่อสังหารมนุษย์ เขารับรู้ถึงตัวตนของมันได้ทันทีจากสัญชาตญาณ ไม่สิถูกบังคับให้เข้าใจถึงมัน
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้
「เผ่าพันธุ์ในตำนาน……!」
เสียงนั้นหลุดออกมาจากปากของเขา และราวกับได้ยินคำพูดนั้น กริฟฟอนสีดำก็เริ่มขยับร่าง
ทันทีที่มันกระพือปีก ร่างของมันก็ดำดิ่งลงไปด้านล่างด้วยความเร็วสูงช่างดูรุนแรงราวกับดาวตก แต่ก็ไร้เสียงคลื่นกระแทกใดๆ
เป้าหมายของมันก็คือผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณ เมื่อรู้แบบนั้นจินก็ตั้งใจจะขัดขวางอีกฝ่าย แต่จะให้เขาใช้วายุโจมตีกริฟฟอนนั่นเหมือนก่อนหน้านี้ก็คงไม่ไหว เพราะความเร็วของมันเกินขอบเขตที่เขาจะตามทันไปมาก
「อันตะ――」
เขาไม่สามารถเปล่งคำนั้นออกมาได้ทัน แค่ไม่จบประโยคเงาสีดำตอนนี้ก็ได้อยู่บนหัวของผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณแล้ว
ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณที่รู้สึกตัวว่ามีอะไรพุ่งมาจากบนฟ้า ก็รีบยกอาภรณ์วิญญาณรูปร่างคล้ายหอกมาสกัดเอาไว้ทันที อย่างไรก็ตามมันก็ไม่เพียงพอ จนทำให้เงาดำนั้นกลืนกินร่างของเขาไปพร้อมกับหอก
ครู่ต่อมาเงาสีดำนั้นก็บินกลับไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง เหลือแค่เพียงร่างของผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณ
――ไม่สิต้องบอกว่าร่างท่อนล่างของเขาเท่านั้น
หลังจากยืนนิ่งตกใจกันได้ครู่หนึ่ง พวกผู้หญิงก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา บางทีอาจจะเพราะเสียงร้องนั้นจึงทำให้กริฟฟอนบนฟ้าเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ช่วงเวลาแห่งความทรมานของพวกจินกำลังเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
◆◆◆
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
「เจ้าหญิงเรียกข้าเหรอ? 」
กลุ่มคามูนะที่เป็นแนวหน้าของเก็นโซกำลังประจำการอยู่ที่ศูนย์ใหญ่ ได้มีคิจินเฒ่าคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหญิงสาวผู้หนึ่ง
หญิงสาวผมสีดำยาวถึงเอวได้หันกลับมาตอบรับเสียงของเขา เช่นเดียวกับชายชรา เธอเองก็เป็นคิจิน
ที่เธอถูกเรียกว่าเจ้าหญิง ก็เป็นเพราะเธอมีตำแหน่งที่สูงในกลุ่มคามูนะ และในขณะเดียวกันความสามารถในการรบของเธอก็เป็นของจริง ดาบที่อยู่ตรงเอวของเธอเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี โดยตำแหน่งในของเธอตอนนี้ก็คือผู้บัญชาการกลุ่ม――อาโทริ
「ปู่ เดี๋ยวพวกเรา จะเดินทางต่อในอีกครึ่งชั่วโมง รีบไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมได้แล้ว」
ชายชราเลิกคิ้วขวาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ถึงกลุ่มคามูนะจะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งถึงขนาดเอาชนะเผ่าพันธุ์ในตำนานลงได้ แต่นักรบแต่ละคนก็เหนื่อยล้ากันมากแล้ว การที่เดินทางเร็วขึ้นความเหนื่อยล้าที่พวกเขาสะสมมาก็จะสูงขึ้นด้วย หากเป็นแบบนี้อาจจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เอาได้
อย่างไรก็ตามชายชราผู้นี้ก็ดูแลอาโทริมาตั้งแต่เด็ก เขาย่อมรู้ดีกว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่คิดจะเปลี่ยนแผนการกะทันหันโดยไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว เขาจึงยอมทำตามคำสั่ง
「แปลว่าท่านสัมผัสได้ถึงบางอย่างสินะครับ? 」
「อื้อ」
ใบหน้าของเธอดูมืดมนลงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมกับเส้นผมสีดำที่พลิ้วไหวตาม
「เมื่อครู่มีเค้าลางแห่งความชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่ทางตะวันออก นั่นน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ในตำนาน แล้วตรงนั้นก็เป็นที่อยู่ของกลุ่มซัตสึกิด้วย ดังนั้นพวกเราควรจะรีบไปช่วยให้เร็ว ดังนั้นรีบเข้าเถอะ」
เมื่อได้ยินสิ่งที่อาโทริบอก ชายชราก็เปลี่ยนสีหน้า แน่นอนว่าชายชราสัมผัสถึงเค้าลางแห่งความชั่วร้ายอะไรนั่นไม่ได้หรอก แต่เขาก็ไม่คิดสงสัยในคำพูดของเธอ
อาโทริคือหญิงสาวมิโกะที่มาจากตระกูลซึ่งทำพิธีเฮบิชิซูเมะ (พิธีกรรมบวงสรวงงู) มาหลายชั่วอายุคน แล้วชายชราที่เป็นข้ารับใช้ของตระกูลย่อมรู้ดีถึงพรสวรรค์ของเธอมากกว่าใคร
「นั่นเป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ ข้าจะรีบไปทันที」
「รบกวนด้วยนะ」
ชายชรารีบหันเท้าไปเพื่อจะทำหน้าที่ของตนแต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นเขาก็หยุดตัวเองไว้ครู่หนึ่ง
อาโทริที่เห็นแบบนั้นก็เอียงคอสงสัย ชายชราไม่ได้หันกลับมาคุยกับเธอแต่ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้
「เจ้าหญิงที่เคารพรัก ถึงจะเพื่อความแน่ใจแต่กรุณาอย่าทิ้งข้อความเอาไว้ว่า『ที่เหลือฝากปู่จัดการด้วยนะ』แล้วรีบมุ่งหน้าไปทางตะวันออกตามลำพังก่อนนะครับ」
พอได้ยินแบบนั้นร่างของอาโทริก็แข็งทื่อ แล้วชายชราก็เดินจากไป
สักพักอาโทริที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังก็เผยรอยยิ้มสมกับเป็นเด็กสาวออกมา
◆◆◆
ขณะที่กริฟฟอนกำลังพุ่งลงมาโจมตีจากบนฟากฟ้า จินก็ทำการใช้ซาซาโนะยูกิเหวี่ยงดาบออกมาโดยแฝงเทคนิคอย่างวายุเอาไว้
คมดาบที่มองไม่เห็นกลายเป็นคลื่นพายุฟาดฟันร่างของกริฟฟอนจนมันส่งเสียงแห่งความเจ็บปวดออกมาก่อนจะถอยกลับไป
จินปาดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผากแล้วพูดออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
「เฮ้อ ดูท่าจะไม่จบไม่สิ้นสักที!」
ไม่รู้แล้วว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น อาจจะครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง
ว่าแล้วจินก็มองไปยังตำแหน่งของดวงอาทิตย์ แต่ก็มีพวกกริฟฟอนจำนวนมากข้างบนฟ้าบดบังเอาไว้แถมมันยังดูไม่ลดน้อยลงเลยจากตอนเริ่ม เขาจึงเดาะลิ้นออกมา
นับตั้งแต่เผ่าพันธุ์ในตำนานอย่างกริฟฟอนสีดำนั้นปรากฏตัวขึ้น 1ใน3ของผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณจากกลุ่มซัตสึกิก็ตายไปแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีแววจะคลี่คลายลงง่ายๆ เลย
ที่จินยังจับดาบสู้อยู่ได้ก็เพราะมีความหวังว่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณคนอื่นจะจัดการมันได้ระหว่างที่เขารับมือกับกริฟฟอน
ก็ไม่รู้ว่า 2 คนที่เหลือระยะโจมตีไม่ถึงกริฟฟอนสีดำหรือถูกมันกินไปนานแล้ว แต่ไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ไม่อยากจะคิดถึงภาพเลย
อันที่จริงเหมือนว่าสัญญาณของการตอบโต้จากคนของกลุ่มซีตสึกิดูจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
ก็ไม่แปลกอะไรเดิมทีกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างมีแบบแผนเหมือนกองทัพ มันก็แค่การรวมกลุ่มของผู้คนที่มีศูนย์กลางเป็นผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณ หากไม่มีบุคคลดังกล่าวอยู่ความสามัคคีภายในก็ย่อมหายไปด้วย
「หรือเราจะหนีไปดีนะ….…」
ตอนนี้จินทำการซ่อนตัวอยู่หลังเต็นท์ และมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน 2 สาวที่ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณซึ่งตายไปแล้วฝากไว้ก็หมดสติอยู่กับพื้น
ก็ไม่รู้เพราะความตกใจหรือเสียใจที่ชายคนนั้นตายลงไปพวกเธอเลยยังไม่ฟื้นมาสักที จินกับหัวหน้าของเขาก็เลยตัดสินใจพาไปหลบอยู่ในซากเต็นท์แทน แถมส่วนตัวก็ไม่อยากจะปลุกให้ตื่นด้วยเผื่อโวยวายอะไรกันอีก
สำหรับจินแล้ว พวกเธอคือคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ แต่เพราะถูกฝากฝังจากคนที่ตายไปแล้วก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องช่วยดูแลต่อจนจบ
ตอนแรกพวกจินก็ตั้งใจจะหนีเข้าป่าทางตะวันออกไปโดยแบกสองสาวไว้ข้างหลัง แต่พอเห็นพวกกริฟฟอนมันบินเข้าไปทางป่าก็เลยตัดสินใจเลือกหลบในค่ายแทน
พยายามเฝ้าจับตาดูศัตรูทั่วๆ หากมีศัตรูเห็นจินก็จะทำการขับไล่พวกมันแล้วเคลื่อนที่หนีไปหลบจุดใหม่แทน สิ่งที่พวกเขาทำได้ตอนนี้มีเพียงการหลบไปเรื่อยๆ แล้วรอกำลังเสริมจากเหล่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายเพราะความหวังของเขาดูจะเป็นจริงได้ยาก ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่กำลังคนที่จะตอบโต้พวกกริฟฟอนก็น้อยลงไปเรื่อยๆ พวกกริฟฟอนก็จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่พวกจินจะโดนเล่นงานก็สูงตาม บางทีการจะอยู่ในค่ายตลอดคงไม่ใช่ความคิดที่ดีอีกต่อไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้วจินจึงเปิดปากพูด
「หัวหน้า」
「โอ้ ว่าไง」
ชายร่างใหญ่ที่ดูแลห้องครัวของกลุ่มซัตสึกิตอบรับเสียงเรียกของจินขณะมือขวาแบกท่อนไม้หนาๆ เอาไว้
จินทำการอธิบายความคิดของเขาให้อีกฝ่ายฟัง
「เดี๋ยวผมจะเป็นตัวล่อแล้วหนีไปทางทิศตะวันตก ในระหว่างนี้อยากจะให้หัวหน้าพาพวกผู้หญิงหนีไปอีกทางน่ะ」
พอหัวหน้าเขาได้ยินเข้าก็ทำสีหน้าปั้นยากออกมาก่อนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าจินก็หยุดเอาไว้แล้วพูดต่อ
「สำหรับผมอยากมากก็แค่แบกคนไว้บนหลังได้คนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นหัวหน้าน่าจะพอแบก 2 คนหนีได้ใช่ไหมล่ะครับ จากขนาดตัวพวกเธอแล้วคงจะเบากว่ากองมันฝรั่งหลายสิบกองที่หัวหน้าแบกเสมอแน่ ของแบบนี้เขาเรียกว่าใช้คนให้ถูกงานครับ」
พอเห็นจินพูดหว่านล้อมแบบนี้ หัวหน้าของเขาก็เลยกลืนคำพูดที่ตนเตรียมไว้ลงคอไป
ตัวเขาเองก็คงจะพอรู้อยู่แล้วว่าหากเถียงกันต่อไป สถานการณ์จะเลวร้ายลงกว่าเดิม
ว่าแล้วหัวหน้าก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
「ตัดสินใจแล้วสินะเจ้าเด็กใหม่ ไม่สิจิน เทคนิคดาบแปลกๆ ที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้ก็น่าสนใจดีนี่ คงจะเหมาะกับการจับดาบมากกว่ามีดจริงๆ 」
หัวหน้าทิ้งท้ายไว้ว่าหากจินรอดชีวิตไปได้เขาจะทำให้จินเลื่อนขั้นเอง ดังนั้นห้ามตายเด็ดขาด
ในที่สุดจินก็จะได้หลุดพ้นจากการสู้รบกับหัวมันและกลายมาเป็นกำลังรบของกลุ่ม แต่เขาก็ต้องรอดจากเรื่องคราวนี้ไปให้ได้ก่อน
จินทำการยืมหมวกเหล็กของหัวหน้าเขาแล้ววิ่งออกจากเต็นท์ไปทางทิศตะวันตก
มันต่างจากทิศตะวันออกที่มีป่าแผ่กว้างไปทั่ว เส้นทางนั้นมีเพียงที่ราบยาวและหากวิ่งพ้นจากจุดนั้นไปก็จะเจอกับเนินเขาเล็กๆ หากจะหนีให้พ้นจริงก็คงต้องข้ามอีกฟากของเนินไปให้ได้
จินไม่สามารถมาตายเอาตอนนี้ได้ ดังนั้นหากเขาต้องการมีชีวิตรอดจริง ก็สามารถแสร้งว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อแล้ว ล่อให้พวกมอนสเตอร์รุมโจมตีหัวหน้าเขาแทน
ทว่าเขาก็รีบสลัดความคิดนี้ออกไปทันที เนื่องจากคุณธรรมภายในจิตใจของจินนั้นไม่สามารถยอมรับมันได้เด็ดขาด
「หากมาหนีเอาตอนนี้มันจะไปต่างอะไรกับพวกนานะชิกิกัน」
เอาเป็นว่าเพื่อคนที่อยู่ข้างหลัง เขาตัดสินใจรีบวิ่งไปทางตะวันตกทันที
พอมองไปบนท้องฟ้าก็เห็นว่ากริฟฟอนจำนวนมากเพ่งความสนใจมายังเขา ส่วนหนึ่งก็เพราะหมวกเหล็กที่สะท้อนแสงเด่นชัด
ทว่ากริฟฟอนก็ยังไม่โจมตีจินและบินไปมาบนหัวของเขา ราวกับกำลังดูเชิงของกันและกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่จินคาด
เมื่อมองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้จะเห็นว่ากริฟฟอนที่เข้ามาโจมตีผู้คนมันไม่ได้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเลย เหยื่อของพวกมันจะแยกกันเสมอ
เดิมทีมันก็ไม่ใช่มอนสเตอร์ที่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มอยู่แล้ว การล่าเหยื่อด้วยฝูงจำนวนมากนั้นย่อมทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
ถึงพวกมันจะมารวมตัวกันเพราะเผ่าพันธุ์ในตำนาน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยเดิมของมันไปได้ หากเขาใช้จังหวะนี้ในการหนีไปให้ไกลที่สุดก็น่าจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดให้เขามากขึ้น
มันเป็นแผนที่ดีแต่ก็มีปัญหาตรงจุดที่หากกริฟฟอนสีดำนั่นเริ่มเคลื่อนไหว เขางานเข้าแน่
แล้วแผนก็เป็นไปตามที่จินคิด แต่ในขณะเดียวกันปัญหาเพียงอย่างเดียวที่เขาคิดก็เกิดขึ้นตามไปด้วย
กริฟฟอนสีดำที่บินอยู่เหนือฟากฟ้าโดยไม่ทำอะไรมาระยะหนึ่งได้ส่งเสียงคำรามออกมาชวนให้นึกถึงเสียงฟ้าร้อง ราวกับว่ามันไม่พอใจที่เห็นพวกกริฟฟอนกัดกันเอง
พวกกริฟฟอนที่อยู่เหนือหัวจินเมื่อครู่ก็ตกใจและเตลิดหนีไป
ร่างของจินในตอนนี้ได้สะท้อนเข้าไปยังดวงตาของกริฟฟอนสีดำเรียบร้อยแล้ว
ที่จินวิ่งมายังได้แค่ครึ่งทางเสียด้วย ไม่มีจุดให้เขาจะหลบซ่อนได้เลย
แรงกดดันมหาศาลจากกริฟฟอนสีดำที่กำลังจ้องมองมายังเขา มันทำให้ร่างกายของเขาสั่นไปหมด
ทันใดนั้นกริฟฟอนสีดำก็กระพือปีกแล้วพุ่งลงมาหาจิน เหมือนกับที่ทำใส่ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณคนก่อน แล้วคนระดับจินมีหรือจะสามารถโต้ตอบหรือหลีกเลี่ยงมันได้
ชีวิตของเขาจบลงตั้งแต่ตกเป็นเป้าของมันแล้ว
ไม่สิไม่ใช่แค่จินไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหน มนุษย์ คิจิน หรือผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณ สุดท้ายเผ่าพันธุ์ในตำนานก็กำเนิดมาเพื่อฆ่าพวกเขา
นั่นแหละคือเหตุผลของพวกมัน
สิ่งที่จินตระหนักได้ในเสี้ยววินาทีนั้นก็คือความเสียใจที่แสนเจ็บปวด
มันคงเป็นสิ่งที่พวยพุ่งออกมาก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับความตายที่ตนไม่มีทางหลีกหนี เจตจำนงแห่งการฆ่าฟันของเผ่าพันธุ์ในตำนาน
――เมื่ออยู่ตรงหน้าของพวกมัน เขาก็ไม่ได้รับการอนุญาตให้หายใจอีกต่อไป
ความคิดที่แสนอ่อนแอได้กดทับร่างกายของเขา จิตใจของเขาเริ่มอ่อนล้าเข้าไปทุกทีจากตวามตายตรงหน้า
ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณคนก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างจากเขา ทำอะไรมันไม่ได้และตายไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว การโจมตีของมันนั้นปราศจากเจตนาฆ่าหรือความเป็นปรปักษ์ ราวกับจะสื่อว่ามันมีหน้าที่เพียงชำระล้างบาปและปฏิเสธสิ่งมีชีวิต
ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้อีกแล้วจนอยากจะยอมแพ้ไปให้มันจบๆ
……ทว่า
「――คึก!」
จินยืนกัดฟันแน่นและเผชิญหน้ากับความตายที่จะเข้ามาในเสี้ยววินาทีจากนี้ และรวมพลังใจทั้งหมดในการโต้ตอบมันสักครั้ง
เขารู้ดีว่าการโจมตีของเขาคงจะเป็นเพียงลมแผ่วเบาเล็กๆ ต่อหน้าพวกมัน
แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่เป็นไร จินเงยหน้าขึ้นและวางมือเอาไว้บนซาซาโนะยูกิ เพื่อแสดงเจตจำนงแห่งการดิ้นรนครั้งสุดท้าย อย่างน้อยเขาก็อยากจะโจมตีมันให้ไดสักครั้ง
ทันใดนั้นเองน้ำเสียงอันไพเราะก็ดังเข้ามาภายในหูของเขา
「เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ」
หากเผ่านพันธุ์ในตำนานมีความเร็วดุจดั่งพายุ ร่างที่พุ่งเข้ามาแทรกก็คงจะเป็นสายฟ้า
เงาทั้งสองได้ปะทะกันด้วยความเร็วที่ยากจะหยั่งถึง
「――จงขบถ ชียู (จักรพรรดิบันดาลฟ้าดิน) 」
จิมไม่รู้เลยสักนิดว่าร่างนั้นกำลังทำอะไรและปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่
แต่มีสองสิ่งที่จินเข้าใจ
หนึ่งคือสิ่งที่คนคนนั้นพูดออกมา
และอีกสิ่งก็คือ――
「โก้รวววว!!」
กริฟฟอนสีดำที่ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายที่มิอาจเลี่ยง ได้กระเด็นร่วงลงมากับพื้น
ด้วยร่างที่ใหญ่ยักษ์ของมันทำให้จินได้ผลกระทบจากแรงกระแทกนั้นไปด้วย
ฝุ่นได้กระจายฟุ้งไปทั่ว กริฟฟอนสีดำเหมือนพยายามจะลุกขึ้นมาสวนอีกฝ่าย แต่ตอนนี้มันกลับไม่สามารถโบยบินขึ้นบนท้องฟ้าได้อีกแล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม
ผลก็เป็นเพราะการโจมตีที่มันได้รับมันมากเกินไปจนร่างของมันทนแทบไม่ไหว
――นั่นน่ะหรือเผ่าพันธุ์ในตำนานที่เขาเกรงกลัว
จินที่ตะลึงไปครู่หนึ่งก็รีบหันกลับไปมองคนที่จัดการเผ่าพันธุ์ในตำนานไป
ตรงหน้าของเขาคือหญิงสาวผมสีดำ มีเขายืนออกมาจากหน้าผาก 2 เขา สวมโคะโซะเดะสีขาวและฮากามะสีแดงเข้ม
สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของจินก็คือมิโกะ แต่จินไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีมิโกะอยู่ในแนวหน้าสนามรบ แต่ดาบยาวที่อยู่ในมือของเธอก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้แล้วว่าทั้งหมดคือฝีมือเธอ
และอาจจะสังเกตถึงสายตาของจิน หญิงสาวคนนั้นจึงหันมามองเขา เมื่อมั่นใจว่ากริฟฟอนสีดำไม่น่าจะสามารถสู้ต่อไหวแล้ว เธอก็เดินมาหาจินโดยไม่สนใจกริฟฟอนที่บินอยู่บนท้องฟ้าซึ่งกำลังแตกตื่นเลย
「ข้าชื่ออาโทริ มาจากกลุ่มคามูนะ เจ้าน่าจะเป็นคนของกลุ่มซัตสึกิสินะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ? 」
ช่างเป็นการถามที่ดูสุภาพและอ่อนโยนมาก จนยากจะเชื่อว่าเธอคือคนที่จัดการกริฟฟอนสีดำนั่นได้
จินรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าและยืนตัวแข็งไป เขาสัมผัสได้ทันที
เธอคนนี้แหละคือเหตุผลที่เขาออกมาจากตระกูลมิตสึรุกิ เขาเดินทางมาเพื่อพบกับเธอ
จินก้มหัวลงกับพื้นพร้อมใส่พลังลงไปยังเสียงของเขาเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ได้สนใจพวกกริฟฟอนที่อยู่บนหัวของเขาอีกแล้ว
「ได้โปรดรับผมเป็นลูกศิษย์ด้วยครับ!」
พอได้ฟังเสียงพูดอันแสนเร่าร้อนของจิน――อาโทริทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงอันแสนสับสนก็หลุดออกมาจากปากริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอว่า
「…………เอ๋? 」
◆◆◆
บางครั้งได้ยินทั้งเสียงสวดมนต์ บ้างก็เสียงขับขานบทเพลง บ้างก็เสียงคร่ำครวญ บ้างก็เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังก้องไปทั่ววิหารราวกับผสานกันเป็นบทกวี
ผู้คนมากมายได้มารวมตัวกันทั้งชายหญิง เด็กผู้ใหญ่ คนรวยคนจน ต่างคนก็พยายามภาวนากันด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ปลายทางที่พวกเขาส่งไปถึงคือพระเจ้า ทว่าพระเจ้ามันมีอยู่จริงเสียที่ไหน
สิ่งที่พวกเขากำลังเคารพบูชานั้นก็คือสิ่งที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเอง
เผ่าพันธุ์ในตำนานปรากฏตัวทั่วทวีปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติเดินได้ที่แม้แต่ประเทศมหาอำนาจก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ สิ่งมีชีวิตที่โลกสร้างขึ้นมาจากรังมังกรที่เข้าโจมตีมนุษย์
ปีก่อนประเทศอันอุดมสมบูรณ์ทางตอนใต้ก็ถูกทำลายจนสิ้นด้วยพิษของไฮดรา
ถ้าถามว่าเหตุใดเผ่าพันธุ์ในตำนานที่กำเนิดมาจากรังมังกรถึงเป็นศัตรูกับมนุษย์ เหตุผลก็แสนง่ายดายเพราะโลกเกลียดชังมนุษย์ยังไงล่ะ เมื่อผู้คนคิดได้เช่นนั้นพวกเขาก็พยายามจะขอคมาให้โลกนี้ให้อภัยกับพวกเขาและอธิษฐาน
เอาง่ายๆ ก็คือเทพเจ้าที่พวกเขาบูชานั่นแหละคือสิ่งที่ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ในตำนานขึ้นมา
ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจะไม่ถูกพวกมันโจมตี ด้วยความเชื่อเช่นนี้ พวกเขาจึงอธิษฐานกันต่อไปด้วยใจที่เชื่อมั่นว่าตนจะรอดปลอดภัย
จนพวกเขาถูกเรียกว่าลัทธิแห่งแสง
และหญิงสาวที่สวดภาวนาอย่างแรงกล้าเป็นพิเศษท่ามกลางเหล่าผู้ศรัทธานั้นก็คือตัวตนพิเศษที่ผู้คนเรียกกันว่านักบุญ――โซเฟีย อาเซอร์ไรท์
เมื่อโซเฟียกลับมาถึงห้องของเธอหลังการสวดภาวนา เธอก็ตัวแข็งทื่อไปทันทีที่เห็นพ่อของเธอรออยู่ในห้อง
อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวมันก็เป็นเพียงเสี้ยววินาที เมื่อพอของเธอหันกลับมามองเธอ ใบหน้าของโซเฟียก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนแล้ว
「ท่านพ่อ――ไม่สิท่านสันตะปาปามาถึงแล้วสินะคะ」
「อื้ม」
พ่อของโซเฟีย ผู้ก่อตั้งและผู้นำสูงสุดแห่งลัทธิ พยักหน้ารับคำพูดของลูกสาวตน
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจคำที่ลูกสาวใช้เรียกตนซึ่งเปลี่ยนจากพ่อกลายไปเป็นคนมีตำแหน่งเหนือกว่าแทน
――ไม่สิบางทีเขาคงไม่เคยจะคิดใส่ใจอะไรอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้
โซเฟียก้มหน้าลงเล็กน้อย
พ่อในสายตาของเธอตอนนี้มีรอยย่นหนาระหว่างคิ้ว แก้มก็ดูซีดเซียว ร่างกายสั่นเป็นระยะ
ไม่เพียงแค่นั้น แขนขาของเขาก็เรียวบางราวกับกิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยว สภาพเหมือนหนังหุ้มกระดูก ราวกับคนอดอยาก
ไม่หลงเหลือร่องรอยของพ่อคนเดิมที่เธอรู้จัก ชายที่ยิ้มแย้มและมักจะชอบกังวลเกี่ยวกับไขมันบริเวณหน้าท้องที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุอยู่เสมอ
ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว ตั้งแต่มีการปรากฏตัวของเผ่าพันธุ์ในตำนาน ทั้งการล่มสลายของตระกูลอาเซอร์ไรท์และการตายของแม่เธอ…
「มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ? 」
โซเฟียถามโดยซ่อนความกังวลไว้ในใจของเธอ ทางสันตะปาปาก็พยักหน้าอย่างไม่พอใจ
ทุกครั้งที่เขาเป็นแบบนี้โซเฟียก็มักจะโดนดุอยู่เสมอ จนทำให้ไหล่ของเธอตกลง
ทว่าคราวนี้เรื่องที่เขาจะพูดกลับไม่ใช่เรื่องของเธอ แต่เป็นอย่างอื่น
「ก็เรื่องของพวกคนเขลาที่บอกว่าคนคือกลุ่มเก็นโซอะไรนั่น พวกมันได้ทำการจัดการผู้ส่งสารจากพระเจ้าไปอีกครั้งแล้ว」
สำหรับลัทธิแห่งแสงแล้ว เผ่าพันธุ์ในตำนานก็คือผู้ส่งสารจากพระเจ้า และการโจมตีพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายสวรรค์
สิ่งที่มนุษย์ควรทำนั้นไม่ใช่การดิ้นรน แต่เป็นการยอมจำนนต่อพวกมัน
หากมีความศรัทธากรงเล็บของผู้ส่งสารก็จะไม่มีวันมาถึงตัว ส่วนพวกที่มีศรัทธาแต่ถูกฆ่าตายก็เป็นเพราะบาปของพวกเขามันมีมากจนเกินไปเลยต้องชดใช้มันด้วยชีวิต
ลัทธิแห่งแสงได้สั่งสอนสิ่งนี้กับเหล่าผู้ศรัทธาและห้ามไม่ให้ต่อต้านผู้ส่งสาร การกระทำเช่นนั้นมีแต่จะเพิ่มความพิโรธของพระเจ้า
แล้วพวกเก็นโซที่กระทำในสิ่งตรงข้ามกับคำสอนย่อมสมควรถูกเรียกว่ากลุ่มคนเขลา
หากยังปล่อยให้พวกเขาเคลื่อนไหว ความเสียหายที่เผ่าพันธุ์ในตำนานสร้างจะเพิ่มขึ้น พระเจ้าจะตัดสินใจล้างโลกที่โสมมทันที แม้สันตะปาปาจะพยายามส่งคำเตือนไปให้พวกเขาหลายครั้งแต่ก็ถูกเมินเฉย
เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังได้ทำบาปร้ายแรงโดยการสังหารผู้ส่งสารจากพระเจ้าไปถึง 3 ตน
แล้วก็เป็นวันนี้เองที่สันตะปาปาได้รับรายงานว่าพวกเขาทำการสังหารกริฟฟอนสีดำซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารจากพระเจ้า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวกันว่าเป็นผู้ลากรถของเทพธิดา
สันตะปาปากำหมัดแน่นก่อนจะทุบมันลงบนโต๊ะตรงหน้าของเขา
「ฉันไม่อาจจะทนดูความโง่เขลาของพวกมันได้อีกต่อไปแล้ว! ฉันจะใช้พลังทั้งหมดของลัทธิจัดการพวกมันซะ ในนามของพระเจ้าเพื่อปกป้องเหล่าผู้ศรัทธา ด้วยการนำของฉัน หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ」
หลังจากพูดจบสันตะปาปาก็ยืนขึ้นราวกับจะบอกว่าตนหมดธุระแล้ว ส่วนเหตุผลที่เขาไม่รอฟังคำตอบของโซเฟียก็เป็นเพราะเขามั่นใจว่าลูกสาวของตนไม่มีทางขัดคำสั่งเขาแน่
อันที่จริงตลอดชีวิตเธอก็ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งพ่อของเธอเลย แม้จะมีบอกให้เธอถวายร่างกายส่วนหนึ่งแด่พระเจ้าเธอก็พร้อมทำ
ทว่า――
「โปรดรอสักครู่ค่ะ ท่านสันตะปาปา」
ครั้งนี้มันต่างออกไป
ตอนนี้ลัทธิแห่งแสงนั้นมีผู้ศรัทธาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่ต่อว่าลัทธิว่าเป็นพวกนอกรีตเนื่องจากคำสอนของพวกเขา โดยเฉพาะทางศาสนจักรที่ตอนนี้เหมือนจะเพ่งเล็งลัทธิเป็นพิเศษ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกันหากลัทธิไปหาเรื่องพวกเก็นโซ ฝ่ายตรงข้ามคือผู้ที่สร้างผลงานในการจัดการเผ่าพันธุ์ในตำนานจนมีชื่อเสียงไปทั้งทวีปจนขนาดถูกขนานนามว่าผู้กล้า
หากไปต่อต้านพวกเขา นอกจากจะโดนดูหมิ่นว่าเป็นพวกนอกรีต คงจะโดนกองกำลังจากทั้งทวีปลบหายไปแน่
นอกจากนี้ไม่มีทางเลยที่คนของลัทธิซึ่งเอาแต่บูชาเผ่าพันธุ์ในตำนานจะสามารถต่อกรกับกลุ่มคนที่เอาชนะพวกมันได้ โซเฟียคิดเช่นนั้นจึงอยากจะหยุดพ่อของเธอไว้
สันตะปาปาที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วและ เปิดปากพูด
「ต้องการจะพูดอะไร คงไม่ได้คิดจะละทิ้งความศรัทธาลงหรอกนะ? 」
สันตะปาปาจ้องมองโซเฟียด้วยสายตาอันเฉียบคม ท่าทางที่เย็นชาขนาดนี้มันไม่ใช่สายตาที่คนเป็นพ่อใช้มองลูกสาวเลย
โซเฟียตอบคำถามพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
「ไม่เลยค่ะ ไม่มีทาง ทว่าสิ่งที่ฉันอยากจะบอกท่านก็คือฉันจะเป็นคนนำทัพเองค่ะ หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านลัทธิคงจะไม่สามารถคงอยู่ต่อไปได้แน่ดังนั้น คนเขลาเหล่านั้นฉันจะออกไปจัดการมันเองค่ะ แล้วหวังว่าอยากจะให้ท่านสันตะปาปาเผยแพร่คำสอนให้ผู้ศรัทธาที่นี่ต่อไป」
พอพูดแบบนั้นจบโซเฟียก็คุกเข่าและก้มหัวลงกับพื้น
สันตะปาปาไม่ได้พูดอะไร จนเกิดความเงียบที่บีบหัวใจโซเฟีย เหงื่อของเธอไหลรินออกมาจากหน้าผากจนหยดลงแก้ม
สักพักก็มีเสียงออกมาจากปากของสันตะปาปา 「ย่อมได้」โซเฟียที่ได้ยินรู้สึกโล่งใจมากเสียจนแทบหมดสติ
ไม่สิเธอหมดสติไปจริงๆ พอรู้สึกตัวอีกทีสันตะปาปาก็จากเธอไปแล้ว
ไม่นานนักหลังจากโซเฟียตื่นขึ้น เธอก็ค่อยๆ ส่งเสียงอันแผ่วเบาออกมาราวกับต้องการระบายความอัดอั้นภายในใจที่เก็บไว้
「ท่านพ่อ……」
โซเฟียรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่สันตะปาปาผู้เป็นพ่อของเธอเริ่มเดินเส้นทางที่ผิด
อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่มีความคิดที่จะทอดทิ้งพ่อของเธอ เพราะหากเธอจากไปพ่อของเธอก็จะไม่เหลือใครแล้ว และเธอคงไม่มีหน้าจะไปพบแม่ของเธอที่ล่วงลับไปแล้วแน่
นอกจากนี้โซเฟียก็รู้ดีว่าสิ่งที่พ่อของเธอรู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ในตำนานนั้นเป็นของจริง
ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงทิ้งพ่อของเธอไปไหนไม่ได้
「ไม่ว่าเก็นโซจะจัดการพวกมันไปมากแค่ไหน แต่ตัวใหม่ก็จะโผล่มาเรื่อยๆ เพราะพลังของโลกใบนี้นั้นมีไม่จำกัด สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะถูกกำจัดไปจนสิ้น ไม่มีประโยชน์ที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน….ไม่มีเลย…」
โซเฟียพึมพำออกมา
――หากพวกเขายังไม่หยุดต่อต้าน เพื่อยืดอายุของตนขอความเมตตาจากพระเจ้า ความโกรธเกรี้ยวของพระเจ้าแก่พวกที่หันคบดามใส่จะเป็นเช่นไรเล่า….
「โอ้ย?!」
ระหว่างที่โซเฟียกำลังคิดเรื่องพวกนี้ อยู่ดีๆ ความเจ็บปวดอันรุนแรงก็ส่งผ่านเข้ามายังร่างของเธอ
มือของโซเฟียสัมผัสไปยังจุดที่แสดงความเจ็บปวดออกมาซึ่งก็คือตาขวาของเธอที่ซ่อนอยู่ข้างใต้หน้าม้ายาว ลูกตาจริงๆ ของเธอมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมานานมากแล้วนับตั้งแต่ที่พ่อของเธอควักมันออกไปเพื่อถวายแด่ทวยเทพ
ปัจจุบันแผลของเธอหายดีแล้ว ดังนั้นความเจ็บปวดที่เธอไม่ควรรู้สึกนี้มันมาได้อย่างไรกัน
โซเฟียหลับตาไปครู่หนึ่งก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างตบแก้มตัวเองเพื่อดึงสติ
เธอเลิกนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อครู่แล้วเริ่มวางแผนเกี่ยวกับอนาคตแทน
ลัทธิแห่งแสงปัจจุบันไม่มีอำนาจจะต่อต้านกลุ่มเก็นโซได้เลย สิ่งแรกที่เธอต้องมีก็คือข้อมูล แต่ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่ใช่จากการฟังผู้อื่น แต่ต้องเป็นสิ่งที่เธอได้เห็นและได้ยินด้วยตัวเอง เธอจึงจะสามารถเข้าใจพวกเขาได้อย่างแท้จริง
เธอเลยเลือกจะปลอมตัวโดยไม่ให้ใครรู้ว่าเธอคือนักบุญของลัทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ่อนดวงตาของเธอซึ่งเป็นจุดสังเกตที่เด่นชัด
「ทีนี้ก็ต้องรีบไปเตรียมตัวแล้ว」
โซเฟียรีบออกจากห้องเพื่อไปเตรียมสิ่งของที่จำเป็น
เมื่อเสียงปิดประตูห้องดังขึ้น ภายในห้องตอนนี้ก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
——–
Note 1 : มันจบแต่ตรงนี้นะครับ อาจจะมีต่อในอนาคตทีนี้ก็กลับไปปัจจุบันได้ ชื่ออนิม่าชียูเหมือนชื่อเทพปีศาจที่คิจินนับถือเลยแล้วชื่อของผู้นำอย่างอาโทริกลับไม่เคยมีใครพูดถึง ส่วนโซเฟียทำไมคิจินชมนักชมหนาทั้งที่เป็นนักบุญของลัทธิบูชามอนทำลายโลก จินได้อาภรณ์วิญญาณแน่แต่กลายเป็นคนทรยศไปได้ยังไงรอดูต่อปายยยย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code