การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 231 อดีตที่ประสานกัน

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 231 อดีตที่ประสานกัน

 

「หืม เรื่องจริงเหรอที่ลัทธิแห่งแสงจัดการเก็บตระกูลโฮโซไปแล้ว」

 

 

 

 

รถม้าที่ถูกลากด้วยกิเลนสีดำกำลังวิ่งผ่านทุ่งอันแห้งแล้ง

 

พอผมได้ยินเรื่องที่ลัทธิไปกวาดล้างตระกูลโฮโซจากคาการิ ก็อดตกใจไม่ได้เพราะคิดว่าคำขอโทษของทางนั้นน่าจะทำแบบขอไปที

 

 

ทว่ามันดันไม่ใช่แบบนั้น คาการิที่ได้ยินก็พูดต่อ

 

 

 

「อ้า หลังจากข้าถามพี่ฮาคุโร่ดูเหมือนว่าจะเป็นอัศวินของลัทธิไปกวาดล้างก่อนที่เขาจะเดินทางมาถึงไซโตะน่ะ ตอนแรกพวกเราก็ไม่เชื่อหรอกแต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง」

 

 

 

เหตุผลก็เพราะมันเป็นการกระทำที่เกินเลยไปหน่อยสำหรับเรื่องในคราวนี้ทั้งที่การสังเวยตัวแทนเพียงคนเดียวเท่านั้นก็น่าจะจบแล้ว

 

จากที่รู้มา โฮโซเองก็เป็นตระกูลที่มีความเก่าแก่ภายในลัทธิแถมยังได้รับการดูแลจากสันตะปาปารุ่นต่อรุ่นเป็นอย่างดีด้วย

 

 

 

สันตะปาปาไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะบ่อยเท่าใดนักเนื่องจากต้องรักษาผนึกงูเอาไว้ ดังนั้นพอมีเทศกาลหรืองานพิธีการอะไรผู้รับผิดชอบก็จะเป็นอาร์คบิชอปทั้ง 4 ยิ่งไปกว่านั้นพอเป็นพิธีสำคัญๆ อาร์คบิชอปของตระกูลโฮโซก็มักจะถูกเลือกเป็นผู้แทนเสมอ

 

 

 

พอฝ่ายที่มีอำนาจขนาดนั้นดันหายไปชั่วข้ามคืน ความวุ่นวายภายในเมืองฮอนเทนคงวุ่นวายมากแน่ๆ

 

 

ผมก็กอดอีกฟังแล้วพูด

 

 

「หากจะบอกว่าเป็นการปัดความรับผิดชอบเฉยๆ เรื่องมันคงไม่บานปลายขนาดนี้แน่ ดังนั้นฉันว่าเบื้องหลังคงมีอะไรมากกว่านั้น」

 

 

ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสันตะปาปานั่นได้รับความนับถือจากเหล่าผู้ศรัทธาของลัทธิมากขนาดไหน แต่คนเหล่านั้นคงจะไม่อยู่เฉยๆ แน่พอรู้ว่ากลุ่มเก่าแก่ของลัทธิถูกสันตะปาปาสั่งกวาดล้างให้หายไปในคืนเดียว

 

 

หากสันตะปาปาเห็นว่าใครไม่จำเป็นแม้จะเป็นข้ารับใช้ที่ดูแลลัทธิมาช้านานก็จะกำจัดทิ้งเหมือนขยะ ข่าวแบบนี้คงแพร่ออกไปทั่วลัทธิ ปัญหาที่ตามมาในอนาคตก็คงไม่น้อย หรืออย่างน้อยมันก็ไม่เหมือนก่อนจะเกิดเรื่องนี้

 

 

ดังนั้นการกวางล้างตระกูลโฮโซในคราวนี้ ทางสันตะปาปาน่าจะเตรียมวิธีรับมือมาเป็นอย่างดี

 

 

พอคาการิฟังสิ่งที่ผมคิด เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยหรือเห็นต่างอะไร ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าที่ดูติดตลก

 

 

 

「ก็นะ หากเล่นใหญ่ขนาดนี้ ทางนั้นก็คงจะอธิบายให้นากายามะฟังได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ กับเรื่องที่โฮโซก่อ นอกจากนี้ตระกูลนั่นอาจจะเติบใหญ่จนน่ารำคาญเกินไปด้วยก็ได้ เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการกำจัดทิ้งไปซะ ไม่ก็อาจจะแค่อยากเฉยๆ ก็ได้ใครจะรู้ แต่เดี๋ยวพอเจ้าได้ไปที่ฮอนเทนก็คงได้รู้เองแหละถึงจะต้องการหรือไม่ก็ตาม」

 

 

 

 

พอคาการิพูดจบเขาก็หัวเราะแล้วพูดเสริมว่า 「จริงๆ เลยนะ ทั้งที่บทพูดแบบนี้ควรเป็นของพี่ฮาคุโร่นี่เนอะ

 

 

ก็ตามที่เขาบอก คราวนี้ฮาคุโร่ที่เป็นระดับสูงของลัทธิไม่ได้เดินทางมากับพวกผมด้วย ทางอาซึมะกับโดกะก็เช่นกัน คาการิเลยเป็นพี่น้องนากายามะคนเดียวที่ตามผมมายังเมืองฮอนเทนโดยไม่มีทหารติดตามมาดูแลเลยสักคน

 

 

ก็ไม่ได้รู้เหตุผลอะไรหรอกนะ แต่จากที่ผมคิดอาซึมะกับคนที่เหลือน่าจะเตรียมการเผื่อไว้ว่าต้องกลายเป็นศัตรูกับลัทธิ หากมีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนของลัทธิในเมืองไซโตะได้ก่อเรื่องแน่ ดังนั้นหากพวกอาซึมะยังอยู่ที่นั่นก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่า

 

 

 

นอกจากนี้หากความสัมพันธ์ของลัทธิกับมิตสึรุกิเป็นเรื่องจริง ก็เป็นไปได้ว่าพวกธงแห่งผืนป่าจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้เข้าโจมตีเมือง ดังนั้นการที่อาซึมะกับคนที่เหลือยังอยู่ที่ไซโตะจึงมีความสำคัญมาก

 

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ คาการิก็เอานิ้วชี้ไปทางหน้าต่าง

 

 

 

 

「พอข้ามเนินเขานั่นไปแล้วก็จะเห็นเมืองฮอนเทนแล้ว บอกตามตรงว่าควรค่าแก่การเยี่ยมชม」

 

 

 

 

คงไม่จำเป็นต้องถามว่าหมายความว่าเช่นไร หลังจากกิเลนสีดำของคาการิวิ่งไปได้อีกสักพัก ผมก็เริ่มมองเห็นสภาพทิวทัศน์ที่คาการิบอกว่าควรค่าแก่การเยี่ยมชม

 

 

 

 

――สรุปง่ายๆ ตรงหน้าของผมคือกำแพงแห่งแสง

 

 

นั่นน่าจะเป็นเมืองฮอนเทนที่ว่า กำแพงของเมืองส่องแสงสีขาวเงิน ทอดยาวไปทั้งทางทิศเหนือและใต้ปลายทางของเส้นแสงที่ทอดยาวออกไปไกลจนลับเส้นขอบฟ้า

 

นอกจากความยาวของกำแพงแล้วเรื่องความสูงของมันก็เช่นกัน ที่ชวนทำให้ผมประหลาดใจ แม้จะเป็นกำแพงสีทองแห่งอินิเชี่ยนของจักรวรรดิก็ไม่สามารถเทียบกับกำแพงเมืองแห่งนี้ได้เลย มันสูงยิ่งกว่านั้น2ถึง3เท่า ไม่สิ ผมว่าสัก 5 เท่าน่าจะได้

 

กำแพงของเมืองถูกสลักไว้ด้วยคาถามนตรามากมายเพื่อแสดงได้เห็นว่ากำแพงแห่งแสงนี้ถูกถักทอด้วยเวทมนตร์

 

 

ในแง่นี้มันอาจจะไม่ได้สามารถเทียบกับกำแพงทองคำที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ ทว่าสิ่งที่มันต่างออกไปจากพวกนั้นก็คือการทำให้กำแพงพวกนี้คงอยู่ตลอดเวลา เพราะกำแพงเหล่านี้มันต้องใช้พลังเวทจำนวนมาก แล้วไหนจะเรื่องที่มันสร้างขึ้นมาถึง 300 ปีแล้วอีก พลังเวทที่ต้องจ่ายไปจะขนาดไหนกันนะ

 

 

 

เหนือสิ่งอื่นใด งู…สิ่งที่ลัทธิทำการปิดผนึกเอาไว้อยู่ภายในนั้น ราชาแห่งเผ่าพันธุ์ในตำนาน เหตุผลของการสร้างเมืองแห่งนี้

 

 

 

พอรถม้าที่พวกผมนั่งเข้ามาใกล้ ประตูเมืองก็ถูกเปิดออกจนส่งเสียงดังไปทั่ว ชวนให้เผลอนึกไปว่านี่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ใช่เวทมนตร์งั้นหรือ ส่วนเหตุผลที่พวกเขาไม่ขอให้หยุดรถม้าเพื่อตรวจสอบพวกผมก็คงจะเพราะกิเลนสีดำของคาการิ

 

 

ประตูแห่งเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์มากกว่า 300 ปีกำลังเปิดต้อนรับพวกผม

 

ไม่นานนัก หลังพวกผมเข้าไปข้างใน ประตูเมืองก็ถูกปิดลงและทางเข้าไปยังศูนย์กลางก็ถูกเปิดเผยออกมา ช่างเหมือนกับผมกำลังเข้าไปในปากของมอนสเตอร์ที่ไม่รู้จักจริงๆ ….

 

 

◆◆

 

 

พอผมเข้ามาถึงภายในเมืองฮอนเทนแล้ว ก็ลงมาจากรถม้าของคาการิ ร่างกายที่ดูหนักอึ้งจากไอพิษของคิไคก็เบาบางลงจนหายเป็นปลิดทิ้ง

 

ไม่จำเป็นต้องบอกก็คงรู้ว่าทั้งหมดนี้เพราะบาเรียที่กางอยู่รอบๆ ฮอนเทน

 

 

ผมจึงสังเกตดูอาการพวกพ้องผม แล้วก็พบว่าดีขึ้นไม่ต่างจากผมโดยเฉพาะคลิมที่บาดเจ็บกว่าพวก ไคลอาที่เห็นอาการน้องของเธอก็เหมือนจะเบาใจลง

 

 

ส่วนพวกพ้องอีกคนหนึ่งของผมก็เออซูร่า เธอยังทำหน้านิ่งไม่เปลี่ยนไปหลังจากได้ยินว่าศัตรูของพ่อเธออย่างอูรุยตายไปแล้วพร้อมกับตระกูลโฮโซ เธอก็คงจะมีอะไรหลายๆ อย่างในใจหลังรู้เรื่องแหละนะ

 

ผมก็อยากจะช่วยปลอบเธอในเรื่องนี้อยู่ แต่ก็แอบลังเลนิดหน่อย เอาเป็นว่าไว้หลังรักษาคลิมเสร็จก่อนแล้วกัน

 

 

จากนั้นไม่นานนัก ผมก็ได้รับการต้อนรับจากคนที่เรียกตัวเองว่าอาร์คบิชอป โดยเขาได้พาพวกผมไปยังวิหารที่พระสันตะปาปาพักอยู่

 

 

ระหว่างทางนั้นผมก็ได้เห็นบรรยากาศตามท้องถนนของเมือง มันไม่ได้มีแผงลอยอะไรตั้งอยู่ มีเพียงคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่เดินไปมา ช่างดูเงียบสงบจนมืดมน

 

 

ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการกวาดล้างตระกูลโฮโซหรือเมืองนี้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แล้วระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่พวกผมก็เดินทางมาถึงวิหารของสันตะปาปาแล้ว

 

มันเป็นอาคารที่ดูงดงามตระการตาเสียยิ่งกว่าวังของนากายามะที่ตั้งอยู่ในไซโตะเสียงอีก ทั้งรูปร่าง โครงสร้าง การตกแต่งราวกับเป็นสิ่งเดียวที่แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของลัทธิแห่งแสงภายในคิไคนี้

 

 

 

แล้วองค์กรทางศาสนาที่มีอำนาจทางการเงินและผู้คนเหนือกว่านากายามะเช่นนี้ การที่ผมจะได้พบกับผู้นำสูงสุดของพวกเขา คงต้องผ่านขั้นตอนรายละเอียดซับซ้อนมากแน่ๆ

 

ทว่ามันกลับไม่เป็นแบบที่ผมคิดซะงั้น

 

 

 

『ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มากันนะคะ』

 

 

 

หลังจากอาร์คบิชอปนำพวกผมมาถึงส่วนในสุดของวิหารก็พบว่ามันคือห้องภาวนา

 

แล้วคนที่รอทักทายพวกผมอยู่ก็คือบุคคลปริศนาที่สวมชุดนักบวชสีขาว ใบหน้าของคนคนนั้นถูกคลุมด้วยผ้า น้ำเสียงที่เปล่งออกมาผ่านผ้าคลุมนั้นดูแหบเล็กน้อย

 

 

『ต้องขออภัยสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นกับคนของพวกท่าน แล้วก็อยากจะขอขอบคุณพวกท่านที่เสียสละเวลามาหาฉันถึงที่นี่ ทั้งที่ควรเป็นฝ่ายฉันไปหาแท้ๆ 」

 

 

 

พออีกฝ่ายพูดก้มก็ก้มหัวลง ในเวลาเดียวกันนั้นเองอาร์คบิชอปที่นำทางพวกผมมาก็ก้มหัวให้กับทางนั้นตาม ดูจากท่าทางลักษณะของพวกเขาแล้วดูเหมือนคนในผ้าคลุมหน้านั้นจะตำแหน่งเหนือกว่านักบวชที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกระดับสูงของลัทธิ

 

 

 

ดังนั้นตัวตนของอีกฝ่ายก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นสันตะปาปาผู้นำลัทธิแห่งแส่ง

 

 

อันนี้ผมทำความเข้าใจได้มายาก แต่ที่ไม่เข้าใจคือ――

 

 

 

「มีอะไรติดฉันผมอยู่เหรอ? 」

 

 

ผมพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา

 

 

 

มันน่าแปลกมากผมสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าสายตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นจ้องมองมายังผม ไม่ใช่คาการิที่เป็นคนของนากายามะ ไม่ใช่คลิมที่ถูกอูรุยตัดแขนขวาทิ้งไป ดวงตาของอีกฝ่ายจ้องมองมาที่ผมเพียงคนเดียว

 

แถมมันไม่ใช่การจ้องมองแบบที่จ้องมองศัตรู ผมสัมผัสไม่ได้ถึงจิตอาฆาต ไม่สิตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

 

 

มันเป็นความรู้สึกแห่งความโหยหาในห้วงรักที่แผ่ทะลุผ้าคลุมนั้นมาโอบกอดร่างกายของผมเอาไว้ จนเหมือนไม่อยากจะให้ผมหลุดออกจากมันไปได้

 

 

ชวนให้ผมรู้สึกสับสนจนคิดไปว่า หากผมได้กลับมาเจอกับคนรักเก่าในรอบหลายปีความรู้สึกคงจะประมาณนี้ไหมนะ

 

 

 

◆◆

 

 

จากนั้นไม่นานสันตะปาปาก็ขอโทษคาการิเกี่ยวกับเหตุการณ์กบฏคาซานแล้วสัญญาว่าจะชดเชยเรื่องนี้ในรูปแบบของเงินและเสบียงอาหาร

 

จากนั้นก็เริ่มรักษาคลิมทันที

 

 

ปาฏิหาริย์อย่าง『ฟื้นฟู』คือเวทศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดที่สามารถรักษาได้แม้กระทั่งแขนขาที่เคยถูกตัดขาดไป

 

 

――ผลลัพธ์ก็คือประสบความสำเร็จมันง่ายดายเสียจนผมคิดว่านี่เรื่องจริงเหรอ

 

 

ผลก็คือคลิมฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยถูกตัดแขนทิ้งไป

 

 

 

 

「คุณโซระ…ฉันขอขอบคุณจริงๆ ค่ะ!」

 

 

 

คนที่พูดออกมาก็คือไคลอา เบิร์ชใบหน้าของเธอแดงก่ำเพราะความยินดีและพูดขอบคุณผมอยู่หลายครั้ง

 

 

 

หลังจากแขนขวาของเขาได้รับการฟื้นฟู คลิมก็เหมือนจะหมดสติไปจากอาการช็อก จากนั้นไคลอาก็เดินทางมาหาผมโดยฝากให้เออซูร่ารับหน้าที่ดูแลคลิมไปก่อน

 

 

พอเข้าพบสันตะปาปาเสร็จ การรักษาก็จบไปแล้ว พวกผมก็เลยได้รับห้องพักกันมาคนละหนึ่งห้อง แล้วตอนนี้ไคลอาก็เดินมาหาผมที่ห้องเพื่อขอบคุณนี่แหละ

 

 

 

 

 

「ก็นะ ถึงจะมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แต่ความพยายามของฉันมันก็สำเร็จเสียที」

 

 

 

 

ผมพูดและยิ้มให้กับเธอ

 

 

แน่นอนว่าพอคลิมได้แขนขวาตัวเองคืนมาแล้วคงได้โวยวายเกี่ยวกับเรื่องที่พี่สาวของเธอต้องเผชิญแน่จากสัญญาที่ให้ไว้กับผม เอาเป็นว่าถึงผมจะไม่ค่อยพอใจหมอนั่นแต่จะจัดการแบบรักษาน้ำใจไคลอาละกัน

 

สัญญาเรื่องคลิมก็เสร็จไปแล้ว อันที่จริงมันก็ได้เวลาที่ผมต้องกินวิญญาณของไคลอาเป็นค่าตอบแทนเสียที แต่เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ผมจึงไม่ได้ทำแบบนั้น

 

 

 

――ถ้าให้เจาะจงก็คือผมไม่สามารถสงบใจทำได้เพราะเรื่องของสันตะปาปามันวนเวียนภายในหัว

 

 

พอไคลอาเห็นท่าทางของผมแล้วใบหน้ายิ้มแย้มของเธอก็หายไปแล้วกำลังจะถามว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า ทว่าก่อนจะได้ทำแบบนั้น

 

เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

 

 

ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นคาการิ เออซูร่า หรือว่าคลิมที่ตื่นมาแล้ว แต่ถ้าพิจารณาจากลักษณะการเคาะก็อาจจะไม่ใช่ทั้ง 3 คนก็ได้

 

ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนโดยบอกให้เออซูร่ารออยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูด้วยมือทั้งสอง

 

 

แล้วผมก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง

 

เพราะคนที่ยืนตรงหน้าของผมคือหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าที่แสนคุ้นเคย

 

แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจยิ่งกว่าคือการที่คราวนี้เธอเผยใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นให้ผมเห็นอย่างไม่ลังเลใจใดๆ เลย

 

ผมมั่นใจว่ามันคือใบหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นใบหน้าที่ชวนให้นึกถึงจากห้วงลึกของความทรงจำ

 

 

 

『ยินดีที่ได้พบนะคะ ฉันมีชื่อว่าโซเฟียค่ะ สาเหตุที่มาที่นี่ก็เพราะอยากจะเข้าร่วมกับกลุ่มเก็นโซค่ะ』

 

 

『ก็ใช่สิคะ ฉันกำลังเรียกท่านจินนั่นแหละ นี่เป็นภารกิจแรกของฉันในฐานะฮีลเลอร์ด้วย แต่ก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงท่านค่ะ ดังนั้นฝากตัวด้วยนะคะす』

 

 

『ท่านจินนี่ดูสนิทสนมกับท่านอาโทริดีจังเลยนะคะ จนทำฉันรู้สึกอิจฉานิดหน่อยเลย』

 

 

มันคือเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำเมื่อ 300 ปีก่อนที่ผมเห็นผ่านโซลอีทเตอร์ ใบหน้าที่ปรากฏภายในความทรงจำนั้นมันทับซ้อนเข้ากับใบหน้าของสันตะปาปาตรงหน้าผม แถมมันเหมือนเสียจนผมขนลุกเลย

 

พอเห็นแบบนี้แล้วจะบอกว่าพวกเขาเป็นสายเลือดเดียวกันหรือลูกหลานของคนที่ผมเห็นก็ไม่ไหว ไม่ว่าจะมองมุมไหนยังไงก็คือคนเดียวกันแน่ๆ

 

แน่นอนว่ามนุษย์ทั่วไปนั้นไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 300 ปีหรอก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่คนภายในความทรงจำของผมจะเป็นคนคนเดียวกันกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมจึงน้อยมาก――หากมองในมุมปกติอ่านะ

 

ทว่าผมรู้ดีถึงความเป็นไปได้ในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แม้มันจะไม่ใช่วิธีที่ถูกที่ควรนัก ไม่ว่าจะเป็นเวทต้องห้าม มนตร์ดำ และอื่นๆ มากมายผมก็เคยได้ยินและพบเห็นมานักแล้วสำหรับเหล่าผู้ใฝ่หาความเป็นนิรันดร์

 

 

 

หรือก็คือ――

 

 

「ลิช」

 

 

คำพูดนั้นออกมาจากปากของผมทันที พอสันตะปาปาได้ยินคำดังกล่าวเธอก็ไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจอะไรออกมา

 

ก่อนจะยิ้มให้กับผม

 

——–

Note 1 : ทรงสาวยันแปลกๆ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท