ตอนที่ 245 ระดมพล
สามวันหลังจากที่ผมกลับมาถึงไซโตะ กษัตริย์อาซึมะแห่งนากายามะก็ได้สั่งระดมพลครั้งใหญ่ของเหล่าคิจินทั่วคิไค
มันก็ตามชื่อนั่นแหละมันคือคำสั่งที่รวมเหล่าคิจินทุกตนเพื่อศึกสุดท้าย
เป้าหมายที่มีปลายทั้งในการเกณฑ์ทั้งชายและหญิง เด็กและคนชรา คนมั่งมีและยากจน นั่นก็คือการยึดเอาประตูปีศาจไปครอบครอง โดยมีศัตรูคือคนเฝ้าประตูแห่งตระกูลมิตสึรุกิ
คงไม่ต้องบอกละมั้งว่าผมได้แบ่งปันข้อมูลที่ตัวเองมีให้กับนากายามะไปแล้ว ผลมันก็อย่างที่เห็นนี่แหละ
แน่นอนว่าแค่คำพูดของผมอาซึมะไม่ได้เชื่อจนหมดใจหรอก ทว่าข้อมูลจากคาการิและซูโอมิที่ยังอยู่ในลัทธิเขาจึงตัดสินใจว่าสิ่งที่ผมบอกเป็นความจริง
แต่ผมมองว่าการที่เอาพวกคนแก่กับเด็กมาร่วมด้วยมันไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ในการต่อสู้กับตระกูลมิตสึรุกิ เพราะพวกธงแห่งผืนป่าระดับสูงนั้นสู้ด้วยจำนวนไปก็เปล่าประโยชน์ หากพวกนั้นเลือกใช้เทคนิคที่ทรงพลังมากๆ สักดอกหนึ่ง คิจินที่โดนเกณฑ์มานั้นคงไม่เหลือซากกลายเป็นฝุ่น บางทีอาจจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตายไปแล้ว
อาซึมะเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่เขาก็เลือกที่จะทำตามที่เลือกไว้
「จะบอกว่าเป็นการลดอิทธิพลของลัทธิก็ได้นะ」
คาการิผู้เป็นน้องเล็กแห่ง 4 พี่น้องนากายามะบอกขณะกำลังวิดพื้น
「ลัทธิแห่งแสงที่ผนึกงูเอาไว้พร้อมกับพวกเราในคิไค แท้จริงแล้วนั้นคือพวกที่บูชางูและสมคบคิดกับพวกคนเฝ้าประตู หากเรื่องพวกนี้หลุดออกไปนากายามะคงได้วุ่ยวายใหญ่แน่ แถมยังมีเรื่องที่นักบุญซึ่งคิจินเชื่อกันว่าคนคือผนึกงูเอาไว้นั้นเป็นสาเหตุแห่งเรื่องราวเมื่อ 300 ปีก่อนอีก พวกผู้ศรัทธากับคนทั่วไปได้ฆ่ากันเองแน่」
ในบรรดาพวกคิจินก็มีพวกที่ศรัทธาลัทธิอยู่แรงกล้าเยอะ ทั้งพวกทหาร คนทั่วไปเองก็ด้วย หญิงชาย คนแก่เด็กก็ไม่เว้น ขนาดอดีตคนของคาซานอย่างโอเค็นที่ผมฆ่าไปบนเกาะยังเป็นคนของลัทธิเลย ไหนจะมีฮาคุโร่ที่เป็นระดับสูงของลัทธิอีก
ก็จริงว่าพวกเขาไม่มีทางรู้การกระทำของสันตะปาปาได้เลย แต่จากมุมของคนที่ไม่ได้ศรัทธาในลัทธิอะไรมากนักพวกเขาคงเชื่อสิ่งที่คนของลัทธิพูดไม่ลงอีกต่อไปแน่
แม้ว่าการเข่นฆ่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผู้ศรัทธาของลัทธิที่ถูกต่อว่าในสิ่งที่ตนไม่รู้ด้วยก็ใช่ว่าจะชอบใจกันนัก
เมื่อไปถึงจุดหนึ่งการแตกหักของทั้งสองใยได้เกิดขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
จากนั้นคาการิก็พูดต่อ
「ก็เพราะแบบนั้นแหละ ผลสุดท้ายความพยายามที่พวกข้ารวมคิไคเป็นหนึ่งก็จะสูญเปล่า การเข่นฆ่ากันเองของคิจินจะกลับมาอีกครั้ง คิไคจะปั่นป่วน ข้ากับพี่อาซึมะเองย่อมไม่อยากจะให้เกิดเรื่องนั้นขึ้น ถึงจะขอให้ทางลัทธิช่วยปิดเรื่องนี้เอาไว้ด้วยการข่มขู่ แต่งานนี้มันถึงขั้นสันตะปาปาของลัทธิตายเลยนี่สิคงยากจะทำอะไรได้ แม้จะมีซูโอมิมาสานต่องานของลัทธิให้ แต่จะมีสักกี่คนเชียวที่ยอมเดินตามของเธออย่างว่าง่าย ความแตกแยกได้เกิดขึ้นในลัทธิแน่ สุดท้ายความวุ่นวายทั่วคิไคก็จะกลับมา」
คาการิพูดต่อขณะงอตัวแล้วยืนมือไปแตะขาของเขา
มันเป็นสิ่งที่บอกถึงเหตุผลว่าทำไมอาซึมะถึงยังเลือกจะระดมพลครั้งใหญ่
「เพราะงั้นพวกนายก็เลยดึงความสนใจด้วยวาระแห่งชาติเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้เร็วที่สุด อย่างน้อยหากมันจะทะเลาะกันก็ขอให้จบที่เรื่องความเห็นต่างจากการโจมตีคราวนี้แทนสินะ」
「ก็ตามนั้น ยังไงการต่อสู้กับพวกคนเฝ้าประตูมันก็เป็นเป้าหมายของคิจินทุกตนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความเชื่อบบไหน อย่างน้อยจนกว่าการต่อสู้ในคราวนี้จะจบลงเรื่องของลัทธิก็น่าจะพอมีเวลาเหลือให้ช่วยกันหาทางออกอีกที」
นอกจากนี้ยังสามารถดึงพวกลัทธิมาเป็นแนวหน้าได้อีกด้วยนะ เขาพูดขณะเหยียดขานับ 1 2
อาจจะดูเหมือนถูกกระทำไม่ต่างอะไรกับนักโทษแต่มันก็น่าจะช่วยให้พวกคิจินที่ศรัทธาในลัทธิแสดงให้พวกคิจินภายนอกเห็นว่าพวกเขาเองก็ตั้งใจจะสู้กับตระกูลมิตสึรุกิ สุดท้ายพวกเขาก็อาจจะมองคนพวกนั้นเสียใหม่ว่าอาจจะถูกลัทธิหลอกจริงๆ ก็ได้
ไม่ว่าจะอย่างไหนสุดท้ายนากายามะก็ต้องการเพียงแค่ความมั่นคงภายใน ลดโอกาสการทะเลาะกันเองของคิจิน ดังนั้นการรวมพลคิจินทุกตนจากคิไคนี่แหละเป็นคำตอบในการแสดงความสามัคคี แถมพอเจอศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนั้นคงไม่มีเวลามาตีกันเองหรอก
พอผมเสริมไปแบบนั้น คาการิก็พยักหน้าและพูดเสริม
「ยิ่งไปกว่านั้นหากคิไคจะหายไปจริงๆ พวกเราก็ต้องรีบหาทางออกเพราะไม่ว่าจะรีบสักแค่ไหนอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการรวมพลทั้งหมดจากคิไคมาอยู่ที่เดียวกัน เพราะไม่ใช่แค่ผู้ชายแต่เป็นทุกเพศทุกวัยนี่นะ อย่างน้อยหากลองเชื่อใจคำพูดสุดท้ายของสันตะปาปาก็น่าจะอีกสัก 1 – 2 ปีกว่าคิไคจะสลายไป」
แน่นอนว่านากายามะไม่ได้เชื่อใจคำพูดของสันตะปาปา การรวมพลก็เลยเร็วขนาดนี้นี่แหละ เพราะพวกเขาต้องคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายสุดเผื่อไว้ด้วย
ทว่ามันก็มีข้อเสียอยู่หลายอย่างเหมือนกันนะในการรวมคิจินจากทุกที่มาไว้ที่เดียวกัน
น้ำอาหารเครื่องใช้ของจำเป็นต่างๆ มากมายที่ต้องเตรียม ไหนจะที่พักสำหรับทุกคนอีก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีขวัญกำลังใจจากการเทหมดหน้าตักเพื่อทวงแค้น แต่ใช่ว่ามันจะอยู่ตลอดไป
คิจินก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์หรอก หากเผชิญหน้ากับความหนาว ความหิวโหย สุดท้ายความโกรธแค้นก็จะไปตกที่นากายามะแทน
ก็หมายความว่านากายามะต้องระดมพลและบุกในคราวเดียวเหมือนเป็นสงครามระยะสั้น ยึดประตูและกลับไปทวีปหลักให้สำเร็จ หากล้มเหลวขึ้นมานากายามะจบไม่สวยแน่
ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะบอกว่าเทหมดหน้าตัก
――ส่วนสำคัญต่อมาก็คงอยู่ที่ผมซึ่งจะไปเจรจากับตระกูลมิตสึรุกิ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดถึงเรื่องนี้ คาการิก็เดินมาหาผมก่อนจะกำหมัดแน่นและยิ้มราวกับจะบอกผมว่าพร้อมแล้ว
「เพราะฉะนั้นเราก็มาลองวอมมือกันสักยกสิโซระ」
「แล้วไหงฉันถึงต้องไปสู้กับนายด้วยล่ะ」
ทำไมพอคุยกันไปคุยกันมาถึงได้มาสู้กันเฉยล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นหากผมกับหมอนี่สู้กันขึ้นมามันจะไม่จบแค่วอมกันเบาๆ นี่สิ
วิธีการวอมร่างกายของหมอนี่จะแปลกไปไหมเห้ย!
พอผมพูดปฏิเสธ คาการิก็เอียงหัวสงสัยว่าทำไมล่ะ ก่อนจะพูดต่อ
「หากโซระสู้กับข้าคงไม่จบแค่วอมมือใช่ไหมล่ะ? 」
「แน่สิ」
「ก็คงอย่างงั้นแต่พวกทหารก็จะได้เห็นการต่อสู้ของเรานะ」
คาการิพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะพูดออกมาแล้วยกนิ้วชี้ของเขาขึ้นด้วย
「นอกจากพวกทหารแล้ว พวกคิจินในไซโตะก็จะเห็นการต่อสู้ของพวกเราด้วย พวกเขาคงสงสัยกันมากแน่ว่าคนที่ต่อสู้กับข้าได้นั้นคือใครกัน แล้วชื่อของโซระก็จะแพร่ไปทั่วไซโตะไม่สิ ทั่วเขตนากายามะเป็นแน่」
「แล้วมันสำคัญด้วยเหรอ……? 」
「หากคนพวกนั้นได้เห็นคนที่สู้ได้ทัดเทียมกับข้า แถมยังเป็นมนุษย์ด้วยแล้วบางทีพวกเอาอาจจะเกิดความคิดว่าคงไม่ใช่การดีนักหากจะเป็นศัตรูกับมนุษย์ทุกคน ดังนั้นหากจบลงด้วยการเจรจาได้ก็น่าจะดีอะไรแบบนั้นไง ถึงพี่อาซึมะ พี่โดกะ พี่ฮาคุโร่จะใจดีกับโซระอยู่ แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยในเรื่องนี้นะ สุดท้ายโซระก็เป็นคนของทางนั้นด้วยสิ แถมยังเป็นคนที่ฆ่าสันตะปาปาอีก บางทีอาจจะถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดก็ได้นะ」
พอได้ยินแบบนั้นมันก็พอจะมีเหตุผลบ้างละมั้ง หากมองในมุมของคิจิน การกระทำของผมก็ไม่ต่างอะไรกับตัวการที่ทำให้เกิดความวุ่นวายนัก
จากนั้นคาการิก็พูดต่อราวกับจะขจัดความกังวลของผมออกไปให้หมด
「ดังนั้นพวกเราจึงต้องต่อสู้ต่อหน้าทุกคนเพื่อเป็นการพิสูจน์ไงล่ะ! ว่าโซระ นายน่ะคู่ควรแก่การยอมรับในพลังและความสามารถ!」
「ก็ได้วุ้ย!」
「ต้องแบบนี้สิ มันไม่ใช่เหตุผลอย่างการที่ข้าอิจฉาพี่โดกะที่ได้สู้กับนายแต่ฉันกลับไม่มีโอกาสเลยสักนิด!」
หางโผล่แล้วนะไอ้เด็กนี่
ความสามารถในการต่อสู้ของคาการิก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดเดาได้เสียด้วย ดังนั้นการสู้กันสักรอบก็คงเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผมเหมือนกัน
ผมก็เลยตอบรับคำขอของคาการิ พอเขาได้ยินเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกับกระแทกหมัดทั้งสองของตนไปชนกันที่หน้าอก
「ให้มันได้แบบนี้สิ! งั้นก็มาลุยกันเลย รู้หรือเปล่าว่าข้าตั้งตารอมาตั้งแต่ที่พวกเราเจอกันบนเกาะแล้วนะ เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ (อาภรณ์แห่งจิต) ――จงสวาปามโทเท็ตสึ!」
แอบน่าแปลกใจเหมือนกันแฮะที่การเรียกใช้อาภรณ์วิญญาณของหมอนี่เหมือนกับผม
แล้วก็เกิดเสียงเสียดสีของอากาศขึ้นไปทั่ว
ครู่ต่อมาสิ่งนั้นก็ปรากฏขึ้นราวกับมันออกมาจากร่างของคาการิ
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code