ตอนที่ 743 แม่สามีและลูกสะใภ้ที่น่ารังเกียจ
เมื่อเห็นว่าหญิงชราถูกหลินม่ายทุบตี เด็กชายตัวอ้วนและหญิงผู้เป็นแม่ก็ร้องไห้ออกมาอย่างกระวนกระวาย
คนหนึ่งร้องเรียกว่าแม่ ส่วนอีกคนเรียกว่าย่า พวกเขาพุ่งเข้ามาเพื่อหวังเอาชนะหลินม่าย
แต่เพราะมีผู้คนจำนวนมากบนรถไฟ พวกเขาต้องเบียดเสียดอย่างสิ้นหวังหากต้องการเอาชนะเธอ
ในระยะทางสั้นๆ เพียงไม่กี่เมตร แม่ลูกคู่นี้ล้มลงหลายครั้ง
ผู้โดยสารหลายคนแอบเหยียดเท้าออกไปเพื่อสกัดขาของสองแม่ลูก
หลายคนแอบเตะพวกเขาอย่างรุนแรง
สองแม่ลูกถูกเตะจนร้องไห้ ตะโกนถามว่า “ใครเตะเรา?”
ไม่มีใครตอบพวกเขา และพวกเขาทั้งหมดต่างก็ไม่สนใจ
ใครจะโง่ยอมรับความผิดกันล่ะ!
หลินม่ายยังคงทุบตีหญิงชราจนนางร้องไห้อ้อนวอนขอโทษ โดยสัญญาว่าจะไม่ดูถูกทหารและครอบครัวของพวกเขาอีก หลินม่ายจึงหยุดมือและเดินกลับไปยังที่นั่ง
เด็กสาวเป็นคนมีเหตุผล หล่อนรีบลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อให้หลินม่ายกลับมานั่งที่เดิม
แม้หลินม่ายจะไม่มีอาการปวดท้องหรืออาการปิดปกติอะไรในระหว่างประจำเดือน มันไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอะไรนัก แต่ก็เป็นเรื่องน่าเบื่อ
การตบตีใครสักคนต้องใช้แรงมหาศาล ทำให้เธอหมดแรงและไม่อยากทำอะไรอีก
เด็กสาวตัวน้อยขอให้เธอนั่งลง เธอจึงไม่เกรงใจและกลับไปนั่งที่เดิมโดยให้เด็กชายนั่งบนตัก
คุณแม่ยังสาวรู้สึกสะเทือนใจจนพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าหลินม่ายออกตัวปกป้องครอบครัวของตน หล่อนจึงกล่าวคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลินม่ายโบกมือด้วยท่าทางอ่อนล้า “ไม่เป็นไรค่ะ ทหารปกป้องบ้านเมืองและประเทศของเรา เราจึงควรรักษาเกียรติของทหาร และเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องปกป้องครอบครัวของทหารค่ะ”
แม่และลูกชายรู้สึกสูญเสียและไม่ยอมแพ้โดยง่าย พวกเขาร้องไห้และตะโกนโวยวายเสียงดัง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนทั้งขบวน
ใครคนหนึ่งพูดเหน็บแนม “เห่าหอนไปเถอะ แต่ช่วยลงจากรถไฟไปเห่าหอนที่อื่นได้ไหม?”
เมื่อมีคนนำ ย่อมมีคนตาม
“ใช่แล้ว ลงไปซะ อย่ามาเห่าหอนบนรถไฟ!”
“รถไฟเป็นของทุกคน ไม่ใช่ของครอบครัวหล่อน ควรมีมารยาทบ้างได้ไหม?”
“บางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดูดีมีราคา แต่กลับทำตัวต่ำช้ายิ่งกว่าสุนัข”
แม่สามี ลูกสะใภ้ และเด็กชายตัวน้อยจะทนได้อย่างไรเมื่อมีคนมาด่าทอ
เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารหลายคนเกือบครึ่งช่วยกันด่าทอพวกเขา
ผู้เป็นแม่สามีก็ด่าผู้โดยสารหลายคน “ครอบครัวของพวกแกคงมีคนตายในไม่ช้า แล้วพวกแกทุกคนต้องกลับไปงานศพ!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพ่นออกมา ทุกคนก็เดือดดาลหนัก
ผู้โดยสารทั้งหมดตะโกนใส่พวกเขาสาปแช่งให้ครอบครัวตายตก ผู้โดยสารที่อยู่ใกล้เคียงหลายคนถึงกับทุบตีแม่สามีและลูกสะใภ้
หลินม่ายเฝ้าดูคนเหล่านั้นถูกทุบตี เธอพลันตะคอกอย่างเย็นชาในใจ
แม่เฒ่าผู้นี้ด่าทอทหารและครอบครัวของทหาร ตอนนี้นางสมควรถูกด่าทอกลับแล้ว จะได้เลิกทำเรื่องไร้สาระแบบนี้กับคนอื่น!
ทุกคนทำได้ดีมาก!
ในเมื่อพวกเขาไม่รู้จักการเป็นมนุษย์ สังคมจะสั่งสอนให้พวกเขาเป็นมนุษย์เอง
อาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของหลินม่ายและคนอื่นในขบวนรถไฟเอิกเกริกเกินไปกระทั่งพนักงานบนรถไฟตกใจ พนักงานรถไฟจึงอารมณ์เสียและเดินมาตรวจสอบสถานการณ์
แม่ย่าและลูกสะใภ้ต้องการร้องเรียน ซึ่งหลินม่ายไม่ต้องการให้ใครมารับผิดชอบ โดยเฉพาะตัวเธอเอง
คนที่ดูถูกทหารและครอบครัวทหารควรถูกทุบตี ถ้าอยากให้เธอรับผิดชอบก็ลองดู!
เธอรีบชิงวิ่งไปดักหน้าพนักงาน โดยบอกว่าแม่เฒ่าและลูกสะใภ้ใช้ลูกชายเป็นที่กำบังเพื่อขโมยเงิน
เมื่อถูกจับได้จึงถูกทุบตี แต่คนกระทำได้วิ่งหนีไปขบวนอื่นแล้ว
พวกเขาจึงร้องไห้และส่งเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
คำพูดของหลินม่ายได้รับการยืนยันจากผู้โดยสารเกือบทั้งหมดในขบวน
แม่เฒ่าและลูกสะใภ้เห็นว่าอีกฝ่ายชักแม่น้ำทั้งห้ามาลบล้างความจริง พวกเขาจึงตะโกนขึ้นอย่างกระวนกระวายแก้ตัวว่าตนไม่ใช่หัวขโมย
พนักงานรถไฟเกลียดหัวขโมยและตะคอกอย่างเย็นชา “จะมีหัวขโมยคนไหนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นขโมย”
แม้จะเห็นว่าแม่ย่าและลูกสะใภ้ผมเผ้ารุงรัง จมูกมีรอยฟกช้ำและใบหน้าบวมเป่ง แต่เขาก็ไม่อยากสนใจเรื่องนี้
ถ้าพวกเขาเป็นหัวขโมยจริง ก็สมควรแล้วที่จะถูกทุบตี
เขาหันหลังกลับเดินจากไปอย่างเย็นชา
แม่เฒ่าและลูกสะใภ้เห็นว่าพนักงานรถไฟไม่สนใจพวกเขา ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นพูดจาถากถางใส่อย่างเย็นชา พวกเขาจึงตัดสินใจพาเด็กชายตัวอ้วนไปยังตู้โดยสารอื่น
พวกเขาย้ายไปยังตู้ขบวนที่ไม่มีใครเหยียดหยาม เพื่อป้องกันตัวเองถูกทุบตีอีก
แต่กระเป๋าสัมภาระของพวกเขาวางอยู่บนชั้นวางและไม่สามารถขนไปได้ พวกเขาร้องขอให้คนช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครคิดช่วยเหลือแม้จะพูดดีแค่ไหนก็ตาม
ทั้งแม่เฒ่าและลูกสะใภ้ต่างก็กำลังจะหลั่งน้ำตาอีกครั้ง
ท้ายที่สุดแม่เฒ่าก็แก่ชราเกินไป ส่วนลูกสะใภ้นั้นบอบช้ำทั้งร่างกาย
หล่อนจึงเสนอเงินรางวัลว่าจะมอบเงินห้าหยวนให้กับใครก็ตามที่ช่วยยกกระเป๋าไปส่งพวกเขา
ทุกคนต่างก็ไม่แยแส บางคนถึงกับพูดเย้ยหยัน “รับเงินจากคนต่ำช้าแบบนี้ เกรงว่าบรรพบุรุษของเราคงปีนออกจากโลงศพมาทุบตีสั่งสอน”
ในเวลานี้ รถไฟป่าวประกาศชื่อสถานีต่อไป เพื่อให้ผู้โดยสารเตรียมตัวลงจากรถไฟ
ชายหนุ่มร่างกำยำหยิบสัมภาระไม่กี่ชิ้นของเขา
เขาชี้ไปยังถุงผ้าใบเขื่องสองใบบนชั้นวาง ก่อนถามแม่ย่าและลูกสะใภ้ว่า “กระเป๋าสองใบนี้เป็นของพวกคุณหรือเปล่า?”
แม่เฒ่าและลูกสะใภ้พยักหน้ารับเหมือนไก่จิกข้าว “ใช่แล้ว ใช่แล้ว กระเป๋าสองใบนั้นเป็นของเรา พ่อหนุ่มเอ๋ย ช่วยนำมันลงมาและยกไปให้เราที แล้วเราจะตอบแทนด้วยเงิน”
ชายหนุ่มบอก “ผมไม่ต้องการเงิน”
ทันทีที่กล่าวเช่นนั้น เขาพบเห็นสายตาว่างเปล่าและดูถูกจากผู้โดยสารหลายคนในตู้ขบวนเดียวกัน
แม่ย่าและลูกสะใภ้ยิ้มเยาะพลางมองไปที่ผู้โดยสารคนอื่น
สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจน ต่อให้พวกเขาไม่ช่วย ก็มีคนอื่นมาช่วยอยู่ดี
แต่พวกเขาลำพองใจได้เพียงไม่กี่วินาที สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจ
เพราะชายหนุ่มร่างกำยำหยิบสัมภาระของพวกเขาลงมา จากนั้นเปิดหน้าต่างและโยนพวกมันออกไป
ผู้โดยสารหลายคนปรบมือ
แม่เฒ่าและลูกสะใภ้กลับมาได้สติหลังงุนงงในตอนแรก พวกเขาคิดรั้งตัวชายหนุ่มเพื่อต้องการด่าทอ แต่ชายหนุ่มกลับหยิบกระเป๋าของตัวเองและเดินตรงไปที่ประตู
ทันทีที่รถไฟหยุด ชายหนุ่มเดินลงจากรถไฟทันที
ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร แม่เฒ่าและลูกสะใภ้หาชายหนุ่มคนนั้นไม่เจออีกเลย
คนทั้งสามไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรีบลงจากรถไฟเพื่อไปเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเอง
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช แต่ก็มีผู้โดยสารบางคนไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปโดยดี เหยียดเท้าขวางให้อีกฝ่ายสะดุดล้มระหว่างทาง
พวกเขาสะดุดล้มครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็สามารถเดินออกจากรถไฟ
ระหว่างนั้นผู้โดยสารหลายคนเข้ามาพูดคุยกับภรรยาของทหาร
ภรรยาของทหารมีนิสัยใจกว้างและบอกทุกคนว่าเธอชื่อจูต้าหลิง ซึ่งพักอาศัยอยู่ในชนบทของสวี่ชาง
แม้หล่อนและสามีทหารจะพบเจอกันด้วยการนัดบอด แต่พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดี
น่าเสียดายที่สามีทหารกำลังปกป้องชายแดนในทิเบต และเขากลับมาหาครอบครัวเพียงไม่กี่ครั้ง
โดยกลับมาเยี่ยมญาติทุกสองปีเท่านั้น
จูต้าหลิงยิ้มอย่างเขินอายให้กับฝูงชน “ปีนี้ฉันพาเด็กสองคนไปเยี่ยมคุณพ่อของพวกเขาที่ทิเบต ถ้าฉันไม่พาพวกเขาไป เด็กสองคนนี้อาจจำไม่ได้ว่าพ่อของพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร
ทุกคนที่ได้รับฟังต่างนึกสงสารจับใจ
มีคนถามขึ้นว่า “ที่ทิเบตลำบากมากสินะ”
จูต้าหลิงพยักหน้า “ใช่ค่ะ โรคภัยไข้เจ็บในที่สูงแบบนั้นค่อนข้างรุนแรง แล้วยังมีอากาศแปรปรวน ก่อนที่คุณพ่อพวกเขาจะไปทิเบต ผิวของเขาค่อนข้างดี แต่ตอนนี้หยาบกร้านเมื่อสัมผัส~”
ทุกคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ไม่นานก็เป็นเวลาเที่ยงวัน
พนักงานรถไฟเข็นรถเข็นขนาดเล็กขณะพยายามขายอาหารและเครื่องดื่ม
ทุกคนปิดปากและหลีกทางให้เงียบงัน เพื่อให้พนักงานเข็นรถผ่านไปได้
แทบไม่มีใครสั่งอาหารและเครื่องดื่ม แต่สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังอาหารบนรถเข็น
หลายคนกำลังหิว
แต่อาหารบนรถไฟมีราคาแพงขนาดนี้ ใครจะยอมเสียเงินซื้อ?
เด็กน้อยบางคนร้องไห้โยเยขอกินอาหาร แต่พ่อแม่นำอาหารแห้ง หรือไม่ก็ไข่ต้มที่เตรียมไว้เพื่อเกลี้ยกล่อมเด็กๆ
เด็กสมัยนี้ไม่จู้จี้จุกจิก ขอแค่ท้องอิ่มก็มีความสุขมากแล้ว
ลูกทั้งสองของภรรยาทหารจูต้าหลิงต่างก็เอ่ยปากบอกว่าหิว
พวกเขามองดูกล่องข้าวบนรถเข็น ซาลาเปาแป้งขาว หรือกระทั่งไข่ต้มในมือของเด็กคนอื่น
แม้พี่สาวและน้องชายจะกลืนน้ำลายไม่หยุด รู้สึกหิวมากจนปวดท้อง แต่พวกเขาก็อดทนต่อไปอย่างเงียบงัน
น่าแปลกใจ จูต้าหลิงเดินทางไกลพร้อมลูกสองคนเพื่อไปเยี่ยมสามีทหารในทิเบต แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้เตรียมอาหารแห้งสำหรับเด็กสองคนเลย ราวกับไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้
หลินม่ายขอให้พนักงานรถไฟหยุด เธอต้องการซื้อข้าวกล่องเป็นอาหารกลางวัน 4 กล่อง
พนักงานรถไฟดีใจมาก หล่อนร้องขายอาหารผ่านหลายโบกี้ แต่ยังขายไม่ได้สักกล่อง กระทั่งหญิงสาวหน้าตาดีคนนี้ขอซื้อถึง 4 กล่อง
พนักงานรถไฟถามว่า “คุณต้องการข้าวกล่องแบบไหนดีคะ? มีซี่โครงหมู เต้าหู้ตุ๋นกับไข่ลวก และมันฝรั่งขูดฝอยค่ะ”
หลินม่ายตอบ “ขอเป็นซี่โครงหมู 4 กล่องค่ะ”
จูต้าหลิงถามหลินม่ายด้วยความลำบากใจ “คุณซื้อข้าวกล่องอาหารกลางวันให้พวกเราสามคนหรือคะ? คุณไม่ต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ เรานำอาหารแห้งมาด้วย เป็นเพราะเรากินข้าวเช้าสาย ตอนนี้จึงยังไม่หิวมาก”
ใครไหนเล่าจะเชื่อสิ่งที่หล่อนพูด ในเมื่อลูกสองคนของหล่อนหิวมากจนตาลายขนาดนั้น
หลินม่ายจ่ายค่าข้าวกล่องทั้งสี่และพูดว่าจูต้าหลิงว่า “ฉันจ่ายเงินไปแล้วด้วยสิ พวกเขาคงไม่ยอมคืนเงินให้ คุณและเด็กทั้งสองช่วยฉันกินข้าวกล่องอีกสามกล่องที่เหลือทีเถอะค่ะ”
หญิงสาวจากชนบทอย่างจูต้าหลิงพูดไม่เก่ง หล่อนจึงเพียงกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากขอบคุณหลินม่าย หล่อนก็บอกให้เด็กทั้งสองขอบคุณหลินม่ายเช่นกัน
จากนั้นพวกเขารับข้าวกล่องแสนอร่อยจากหญิงสาวด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
หลินม่ายกลัวว่าสามแม่ลูกจูต้าหลิงจะหิวน้ำหลังกินอาหาร เธอจึงซื้อเครื่องดื่มให้พวกเขาสามขวด
ขณะที่มีประจำเดือน เธอไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มเย็นได้ จึงไม่ได้ซื้อให้ตัวเอง
จูต้าหลิงตักซี่โครงในกล่องอาหารของตัวเองให้แก่ลูกทั้งสอง
เด็กทั้งสองยืนกรานให้หล่อนลองกินซี่โครง โดยบอกว่าซี่โครงในข้าวกล่องของรถไฟอร่อยมาก
โดยปกติข้าวกล่องของรถไฟมีราคาแพงและไม่อร่อย แต่เด็กทั้งสองคิดว่ามันอร่อยมาก เพราะไม่ได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อมานาน
หลินม่ายนึกถึงถุงหลู่ไช่ที่เธอนำมาด้วย
เธอขอให้จูต้าหลิงรับซี่โครงที่เด็กสองมอบให้ ก่อนแจกซี่โครงในกล่องอาหารกลางวันของตัวเองแก่สองพี่น้อง
เธอพูดกับจูต้าหลิงด้วยรอยยิ้มว่า เธอไม่ชอบซี่โครง
แต่ใครบ้างที่จะไม่ชอบซี่โครง
จูต้าหลิงเข้าใจถึงเจตนาของอีกฝ่าย หญิงสาวเพียงต้องการให้เด็กน้อยทั้งสองกินซี่โครงมากขึ้น
จูต้าหลิงบอกว่าหลินม่ายดีเกินไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
หลินม่ายหยิบถุงหลู่ไช่ออกมา เธอตักเส้นบะหมี่และฟองเต้าหู้ออกมาใส่ในกล่องอาหารกลางวันของตัวเอง
จากนั้นแจกจ่ายเนื้อและผักตุ๋นที่เหลือทั้งหมดให้กับคู่หนุ่มสาวและเด็กคนอื่นในโบกี้รถไฟ
ส่วนแบ่งมีไม่มาก เนื้อและผักตุ๋นจึงถูกนำไปให้เด็กๆ เท่านั้น
ยกเว้นพี่สาวและน้องชายที่ได้รับการแบ่งปันมากกว่า เด็กคนอื่นได้รับเนื้อเพียง 1 ถึง 2 ชิ้น เพื่อให้พวกเขาได้ลิ้มลอง
ทันใดนั้นทั่วทั้งตู้ขบวนรถไฟก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหลู่ไช่
หลายคนเข้ามาถามหลินม่ายว่าตุ๋นเองหรือไม่ ใช้สูตรอะไร เพราะหลู่ไช่นี้มีกลิ่นหอมมาก
แน่นอนว่าหลินม่ายไม่ยอมเปิดเผยสูตรลับในการทำน้ำตุ๋น
เธอยิ้มและบอกทุกคนไปว่า เธอซื้อหลู่ไช่เหล่านี้มา และไม่ใช่ฝีมือของเธอ
ผู้โดยสารถามเธอว่าหลู่ไช่นี้ยี่ห้ออะไร
หลินม่ายฉวยโอกาสโฆษณาหลู่ไช่ของตัวเอง และตั้งชื่อยี่ห้อมันว่าไป่หลี่เซียง (หอมร้อยลี้)
ผู้โดยสารหลายคนพยักหน้า “ช่างสมกับชื่อนี้ เพราะกลิ่นของมันหอมไปถึงร้อยลี้จริงๆ”
หลังอาหารกลางวัน หลินม่ายลุกขึ้นเพื่อสลับให้เด็กสาวนั่ง
แม้เธอจะไม่ค่อยสบายตัวช่วงที่มีประจำเดือน แต่เธอก็อดทนดูเด็กสาวยืนตลอดเวลาไม่ได้
เด็กสาวอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สามคนนั้นคงรับรู้รสชาติของยำสหบาทาแล้วนะคะ คงไม่รู้สึกหิวอีกแล้ว
จะขายหลูไช่ในเชิงอุตสาหกรรมอีกหรือเปล่าเนี่ยม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)