ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD ตอนที่ 27 ไอ้โง่นี่มีปัญหากับสุนัขเช่นนั้นรึ
ตอนที่ 27 ไอ้โง่นี่มีปัญหากับสุนัขเช่…
โอวหยางเสี่ยวอี้ซ่อนตัวอยู่หลังประตู ดวงตามองลอดออกมายังบริเวณห้องอาหาร นางเห็นพี่ชายทั้งสามของตนกำลังกินปลาดองเหล้าอย่างมูมมาม
ถูกต้องแล้ว!
ทั้งสามมีท่าทางเหมือนคนปกติทั่วไปตอนกำลังกินข้าวผัดไข่ฝีมือปู้ฟาง ใบหน้ามีความสุขล้นของพวกเขาทำเอาเด็กหญิงขนลูกซู่ไปทั้งแขน
ความที่นางรู้จักพี่ชายของตนดี เด็กหญิงจึงตกใจกับสิ่งที่เห็นมากขึ้นไปอีก แม้นางจะเห็นด้วยว่าอาหารของปู้ฟางนั้นอร่อยมาก แต่พี่ชายทั้งสามของนางนั้นมีต่อมรับรสตายด้าน จะไปกินอะไรอร่อยได้อย่างไรกัน
“อ้อ! ข้ารู้แล้ว! ปลาดองเหล้านี้กลิ่นสุราเข้มข้นนัก… กลิ่นสุราจากธัญพืชหมักเหล้าแทรกซึมเข้าไปทุกอณูในตัวปลา ทำให้ปลามีรสชาติเหมือนสุราไม่มีผิด ด้วยเหตุนี้พี่ชายข้าที่รับรสได้แค่สุราจึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด!”
ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นประกาย นางมั่นใจว่าสมมติฐานของตนถูกต้องแน่นอน
ปู้ฟางมองทั้งสามกินปลาอย่างตะกละตะกลามแล้วก็พลันมีสีหน้าโล่งใจ แน่นอนอยู่แล้ว… ว่าไม่มีใครต้านทานพลานุภาพของอาหารชั้นเลิศไปได้
“ยินดีด้วยนายท่าน ท่านทำภารกิจรองสำเร็จแล้ว ท่านเอาชนะต่อมรับรสตายด้านของสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางได้ ระบบจะมอบรางวัลให้ท่านเร็วๆ นี้ พ่อหนุ่ม ท่านก้าวสู่เส้นทางแห่งการเป็นพ่อครัวเทพไปอีกขั้นแล้ว ตั้งใจฝึกฝนเข้าล่ะ” เสียงตายด้านของระบบดังขึ้นในหัวเขา
รอยยิ้มฝืดๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าผู้ชนะ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่สามพี่น้องตระกูลโอวหยางได้กินอาหารรสเลิศ และเป็นครั้งแรกที่รสชาติของอาหารทำให้รูขุมขนของพวกเขาเปิดกว้างด้วยความสบายกาย รสชาติของปลานี้อร่อยเกินต้านทานจริงๆ
ความเย็นซึมซาบเข้าร่างกายผสมผสานกลับความร้อนจากสุรา สัมผัสร้อนและเย็นที่ผสานกันอย่างลงตัวทำให้ ต่อมรับรสที่ตายด้านของพวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ราวกับต้นไม้ยืนต้นตายที่ฟื้นขึ้นมาเพราะสายฝนชุ่มฉ่ำ
ทั้งสามรับรู้ได้ถึงรสชาติ… ที่จะไม่มีวันลืมเลือนตลอดชีวิต
“หายไปไหนหมดแล้ว พวกเจ้าขี้คร้านกล้าแย่งอาหารพี่ใหญ่ของเจ้ารึ!” โอวหยางเจินยังคงตกอยู่ในภวังค์เมื่อเห็นว่าปลาหายไปหมดแล้วทั้งตัว ปลาชิ้นสุดท้ายถูกโอวหยางตี้ชิงไป
ส่วนก้างปลาก็อยู่ในมือโอวหยางอู๋ ที่กำลังเลียกินหมดทุกซอกทุกมุม
ปลาทั้งตัวถูกพวกเขาเก็บกินไม่เหลือซาก
ทั้งสามมองไปที่จานว่างเปล่าอย่างลังเล เลียทั้งปากและนิ้วตนเอง พยายามนึกย้อนไปถึงความรู้สึกแสนเลิศล้ำเมื่อครู่นี้
“กินหมดแล้วใช่ไหม ข้าชนะสินะ เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสามก็จงยอมรับออกมาว่าอาหารของข้าอร่อย” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ดวงตาจับจ้องไปที่ทั้งสามอย่างไร้ความรู้สึก
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางตัวแข็งทื่อทันที ต่างคนต่างกำลังก่นด่าอยู่ในใจ พวกเขามัวแต่ตื่นเต้นอยู่กับรสชาติของอาหารจนลืมเดิมพันที่ทำกับเจ้าของร้านไปเสียสนิท… นั่นเพราะปลาดองเหล้านั้นอร่อยเกินไป เหมือนว่าอาหารจานนี้คิดค้นมาเพื่อพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
“อะแฮ่ม… ไอ้ขี้กะโล้โท้ จะว่าอย่างไรดี แม้เราจะกินหมด แต่… จึ๊ๆๆ ก็ยังใช้ไม่ได้หรอกนะ ไม่อร่อยพอ” โอวหยางเจินเลียนิ้ว
“หากไม่อร่อยพอ เหตุใดเจ้าจึงยังเลียนิ้วด้วยสีหน้าสุขใจอยู่เล่า” ปู้ฟางคิดแต่สีหน้ายังเรียบเฉย
“ใช่แล้ว! อาหารของเจ้าน่ะห่… เอ่อ แม้มันจะพอใช้ได้ แต่ก็ยังอร่อยไม่พอ!” ดวงตาของโอวหยางตี้ล่อกแล่กเล็กน้อย เสียงของเขาแข็งทื่อ
โอวหยางเสี่ยวอี้ที่แอบดูอยู่หลังประตูเอามือปิดหน้าตนเองด้วยความอับอาย มีแต่พี่ชายหน้าโง่ทั้งสามของนางเท่านั้นที่จะโกหกหน้าด้านๆ เช่นนี้ได้
“ใช่แล้ว! ไอ้ขี้กะโล้โท้ เจ้าแพ้แล้ว! รีบๆ ส่งตัวน้องหญิงของพวกเรามาเสียดีๆ ! มิเช่นนั้นพวกเราจะพังร้านเจ้าให้เละ!” โอวหยางอู๋ข่มขู่พร้อมทุบโต๊ะดังปั้ก แต่ยังคงเลียริมฝีปากของตนอยู่ จนทำให้ความน่ากลัวกลายเป็นความขบขันไปเสีย
ปู้ฟางยืนหน้านิ่งอยู่กับที่ รู้อยู่แล้วว่าไอ้สามตัวนี้จะต้องกลับคำแน่นอน
“เจ้าขาว จับสามคนนี้แก้ผ้า เอาเงินมาให้ครบ แล้วโยนมันออกไปจากร้านเสีย” เขาออกคำสั่งเสียงเรียบ จากนั้นก็เดินเข้าไปเก็บจานแล้วหันหลังกลับเข้าครัวไป
ทว่าทันทีที่หันหลัง ชายหนุ่มก็เห็นโอวหยางเสี่ยวอี้แอบดูอยู่หลังประตู เขาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เดินผ่านเด็กหญิงเข้าครัวไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้เบิกกว้างขณะมองปู้ฟางที่สงบเงียบ นางงงกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไม่น้อย เหตุใดจึงไม่กลัวพี่ชายทั้งสามของนางอาละวาดกัน แม้แต่ตัวของทั้งสามเองก็ยังกลัวตัวเองตอนอาละวาดเลย!
ในอึดใจถัดมา ภาพที่เกิดขึ้นในร้านก็ทำให้นางถึงกับไปต่อไม่ถูก
นางเห็นหุ่นเชิดสีขาวพุงโตน่ารักโยนพี่ชายทั้งสามของตนออกไปทีละคนด้วยการตบเรียงตัวเพียงครั้งเดียว ในเสี้ยวเวลาที่โยนทั้งสามออกไปนั้น พวกเขาก็โดนลอกคราบเสียล่อนจ้อน เหลือเพียงผ้าเตี่ยวคนละผืนไว้ดูต่างหน้า
“ว้าย!” โอวหยางเสี่ยวอี้ร้องกรี๊ด รีบเอามือปิดตา “บัดสี! บัดสีเหลือเกิน! ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าขาวจะทะลึ่งถึงเพียงนี้!”
เด็กหญิงตกใจเป็นอันมาก แต่พี่ชายทั้งสามของนางตกใจยิ่งกว่า พวกเขาตัวสั่นหงึก รับรู้ได้ถึงลมหนาวที่กรีดแทงผิวกาย ดวงตามองหุ่นเชิดเหล็กด้วยความหวาดกลัว
“สวรรค์โปรด! พี่ใหญ่ ไอ้หุ่นเชิดนี่น่ากลัวเสียจริง! มันจับพวกเราแก้ผ้าก่อนจะทันรู้สึกตัวเสียอีก!” โอวหยางตี้ตกใจเป็นอันมาก รู้สึกเหมือนกำลังต่อกรกับปู่ของตนเองอยู่
ปู่ของทั้งสามคือแม่ทัพเฒ่าโอวหยางฉี เป็นผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ! หุ่นเชิดโลหะจากร้านเล็กเท่ารูหนูนี้จะมีปราณระดับสูงถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน
“ไอ้ชิงหมาเกิดเอ๊ย! มีสิ่งน่ากลัวถึงเพียงนี้อยู่ในนครหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน!” โอวหยางเจินอดไม่ได้ที่จะสบถหยาบคายออกมาเสียงดัง
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่หน้าร้านลืมตาผางทันที สายตาคมกริบของมันจับจ้องไปที่ชายหนุ่มเจ้าของคำสบถ
“ชิงหมาเกิดรึ ไอ้โง่นี่มีปัญหากับเผ่าพันธุ์สุนัขหรืออย่างไร”
ใบหน้าของโอวหยางเจินขาวเผือด รู้สึกได้ถึงแรงอัดมวลใหญ่จนต้านทานไม่อยู่ที่กดทับลงมาบนตัวเขาในฉับพลัน ผ้าเตี่ยวผืนเดียวที่บดบังของสงวนของเขาอยู่พลันระเบิดกลายเป็นผุยผง
เสียงดังตุ้บดังขึ้น…
โอวหยางเจินเข่าทรุดลงพื้น ดวงตาเหมือนไร้ชีวิต ราวกับสลบไปเพราะความเหนื่อยอ่อน
โอวหยางอู๋และโอวหยางตี้ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันมาก ทั้งสองหันไปมองที่ร้านด้วยความกลัว ก่อนรีบแบกพี่ชายตนเองขึ้นแล้วล่าถอยทันที… คู่ต่อสู้ครั้งนี้แข็งแกร่งเกินกว่าพวกเขาจะรับมือไหว คงเป็นการดีกว่าหากจะกลับมาพร้อมกำลังเสริม
ทั้งสามหนีออกจากจุดเกิดเหตุ ทิ้งรอยฝุ่นตลบไว้เป็นทาง
สุนัขสีดำตัวใหญ่มองตามคนทั้งสามไปอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ แลบลิ้นออกเลียขนสวยงามของมัน ก่อนพ่นลมเยาะแล้วกลับไปนอนหลับดังเดิม
ทุกคนหันมามองหน้ากัน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“บ้าอะไรกันนี่… แม้แต่ไอ้สามตัวนี้ยังถูกโยนออกมาอีกรึ ไอ้ร้านบ้านี่มันจะอะไรขนาดนี้ มันไม่กลัวตระกูลโอวหยางเล่นงานกลับหรืออย่างไร” ซุนฉีเซี่ยงตาเบิกกว้าง อุทานออกมาด้วยความตกใจถึงขีดสุด
เจ้ารู่เก๋อขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาพลันจริงจังขึ้นมา เขาไม่ได้คิดง่ายๆ เหมือนซุนฉีเซี่ยง ร้านนี้เป็นเพียงร้านเล็กๆ ในตรอกของนครหลวงเท่านั้น แต่กลับสามารถโยนสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางออกมาได้ หุ่นเชิดนั่นแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ไร้น้ำยาจริงๆ น่ะหรือ
“ไม่! ร้านนี้ต้องไม่ใช่ร้านธรรมดาแน่! สถานการณ์ภายในนครหลวงตอนนี้ไม่แน่นอน มีผู้ฝึกตนจากสำนักน้อยใหญ่มากมายซ่อนตัวอยู่ทุกหนแห่ง… จู่ๆ ก็มีร้านที่สามารถกำราบสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางปรากฏออกมาเช่นนี้ ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน!
เจ้ารู่เก๋อหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนลมออก ในฐานะบุตรชายของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาย่อมคิดลึกซึ้งกว่าคนอื่นและรู้มากกว่าคนอื่น จึงไม่กล้าประมาทร้านนี้อีกต่อไป
“ไอ้เวรเอ๊ย! ไอ้เลวนั่นมันรอดตัวไปได้อีกแล้ว! ไม่ได้การ ข้าต้องแก้แค้นมันให้ได้! ข้าจะปิดร้านมันเสีย!” ซุนฉีเซี่ยงคำราม!
เจ้ารู่เก๋อมองชายอันธพาล ดวงตาหรี่แคบ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มปริศนา
สองพี่น้องตระกูลเซียวและองค์ชายสาม จีเฉิงเสวี่ยเดินทางมาถึงเช่นกัน และทันเห็นภาพสามพี่น้องตระกูลโอวหยางวิ่งแก้ผ้าอยู่ไกลๆ
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย เถ้าแก่ปู้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ” จีเฉิงเสวี่ยมองภาพคนเถื่อนทั้งสามหนีตาย แล้วก็พลันยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน จิตใจครุ่นคิด
เซียวเยียนอวี่ที่เป็นถึงสตรีอัจฉริยะแห่งนครหลวงมีความคิดล้ำลึกกว่าคนทั่วไป คิ้วของนางขมวดมุ่นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะคลายออก
ทั้งสามไม่เข้าไปในร้านแต่เลือกหันหลังกลับ ซุนฉีเซี่ยงและเจ้ารู่เก๋อเองก็กลับออกไปเช่นกัน ทั้งสองต่างไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามทั้งที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของร้านแห่งนี้ดี
หลังจากที่ทำความสะอาดจานชามเรียบร้อย ปู้ฟางก็เดินกลับเข้าไปในบริเวณห้องอาหาร เขาลูบหัวเจ้าขาวแล้วเอ่ยชมมัน จากนั้นก็จัดแจงจะปิดร้าน
“นาย… นายท่านตัวเหม็น ข้าคงต้องกลับก่อน ข้ากลัวว่าท่านปู่จะโกรธเกรี้ยวและส่งกองทัพมาพังร้านท่านหากข้าไม่กลับบ้าน” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดอย่างระมัดระวัง นางกลัวนายท่านตัวเหม็นคนนี้ยิ่งนัก กลัวว่าเขาจะจับนางแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชีหากนางทำให้เขาโกรธ
ปู้ฟางประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ “วันนี้ปิดร้านแล้ว กลับบ้านได้ แต่พรุ่งนี้เจ้ายังต้องมาอยู่ ครบเจ็ดวันเจ้าจึงไปได้”
โอวหยางเสี่ยวอี้พยักหน้าแล้วออกจากร้านไปอย่างระวังตัว จากนั้นก็รีบโกยอ้าวกลับจวนโอวหยางไป
ปู้ฟางหาวหน้าตายก่อนเดินกลับเข้าครัว เขาอยากลองของรางวัลที่ได้รับมาใหม่ รวมถึงอาหารจานที่ลืมทำไปเมื่อคืนด้วย ซึ่งก็คือ… ขนมจีบทองคำ
………………………………