ปู้ฟางเดินออกมาจากครัว จากนั้นยืดเส้นยืดสายแล้วจัดการเช็ดไม้เช็ดมือให้เรียบร้อย ก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งพัก
เขายุ่งวุ่นวายอยู่ในครัวตั้งแต่เช้า เพิ่งจะทำรายการอาหารทั้งหมดที่ลูกค้าสั่งเสร็จไปเดี๋ยวนี้ แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมต้องฉวยโอกาสที่ว่างสักประเดี๋ยวประด๋าวมางีบเสียหน่อย
มู่หลิงเฟิงนั่งอยู่ไกลออกไป เขากำลังซดน้ำแกงปลาขณะมองปู้ฟางเดินออกมาจากห้องครัว ชายหนุ่มมาที่นี่หลายวันแล้ว และรู้สึกได้ว่าเถ้าแก่ปู้ของร้านนี้ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งได้อยู่ แม้ภูเขาไฟกำลังจะระเบิดอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม
แต่หากพูดถึงเรื่องความสามารถในการทำอาหารแล้ว ฝีมือของเถ้าแก่ปู้นั้นจัดได้ว่ายอดเยี่ยมยากหาใครเทียม จนอยู่ในระดับต้นๆ ของอาหารเลิศรสทั้งหมดที่เขาเคยลิ้มลองมาในชีวิตนี้เลยก็ว่าได้
หากไม่ใช่เพราะต้นตื่นรู้ทางห้าสายในร้านแห่งนี้ มู่หลิงเฟิงคงเต็มใจที่จะมากินอาหารหรือมาเพื่อดื่มบ่อยๆ น่าเสียดายนัก…ที่เรื่องนี้คงจบแบบที่สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ ว่าสมบัติล้ำค่าอาจนำหายนะมาสู่เจ้าของ ของล้ำค่าอย่างต้นตื่นรู้ทางห้าสายจะทำให้ร้านนี้ต้องพบจุดจบที่ไม่สวยงามอย่างแน่นอน
เขารู้ดีว่าอีกไม่นานร้านอาหารแห่งนี้จะถูกทำลายราบจนไม่เหลือซาก
“ไอ้บ้าเชิ่งมู่นั่นกำลังพาผู้อาวุโสเซี่ยมาที่ร้าน ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้…” มู่หลิงเฟิงจิบสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
…
กลุ่มชายฉกรรจ์ร่างหนากำลังเดินอาดๆ อยู่บนถนนในนครหลวง และสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ตรอกอันเงียบสงบ
“อยู่ที่นี่รึ” ผู้อาวุโสเซี่ยตวัดสายตามองเชิ่งมู่ กล้ามเนื้อบนใบหน้าดุร้ายสั่นเกร็งตามการขยับ
“ใช่แล้วขอรับ ร้านนั้นตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ แสนธรรมดานี่แหละ” เชิ่งมู่ลูบศีรษะของเสือชีตาห์สีดำที่เขากำลังขี่อยู่ พร้อมหัวเราะหึๆ เบาๆ
ผู้อาวุโสเซี่ยขมวดคิ้วยิ้มเยาะ “ช่างเป็นสถานที่ที่ไกลปืนเที่ยงอะไรเช่นนี้ ต้นตื่นรู้ทางห้าสายจะอยู่ในร้านเล็กๆ ในตรอกแคบๆ เช่นนี้แน่รึ”
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่เดินนำพรรคพวกเข้าตรอกเล็กไป การที่ร้านนี้จะอยู่ในตรอกไกลความเจริญหรือในซอกหลืบอะไรก็แล้วแต่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญแม้แต่น้อย เพราะจุดประสงค์เดียวของเขาก็คือต้นตื่นรู้ทางห้าสาย ส่วนร้านแห่งนี้…ไม่ใช่เรื่องที่เขาใส่ใจแม้แต่ขี้เล็บ…หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น เขาก็เพียงแค่ต้องทำลายร้านให้ราบเป็นหน้ากลองเท่านั้น
ผู้อาวุโสเซี่ยมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านแล้วหมุนคอกร๊อบแกร๊บ กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเต้นตุบเหมือนมังกรที่กำลังตื่นตัว
เชิ่งมู่หยีตาพลางกระโดดลงจากหลังเสือชีตาห์ จากนั้นก็หันหน้าไปหาผู้อาวุโสเซี่ย “ผู้อาวุโสเซี่ยขอรับ เราจะเข้าไปหรือไม่ขอรับ”
“เอาสิ เราไปดูต้นตื่นรู้ทางห้าสายกันก่อนดีกว่า จะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ น่ะหรือ…เอาเข้าจริงข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าเลย สมบัติล้ำค่าอย่างต้นตื่นรู้ทางห้าสายจะมาปรากฏในซอกหลืบมั่วๆ ซั่วๆ เช่นนี้ได้อย่างไร” เซี่ยต้าเบ้ปาก
เชิ่งมู่ชะงัก ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไรดี แต่เขาก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อนพลางนำพรรคพวกเข้าไปในร้าน
ทันทีที่เดินเข้าร้านมา บรรยากาศอบอุ่นของร้านก็พุ่งเข้าปะทะร่างกาย ทำให้สีหน้าของเชิ่งมู่พลันเปลี่ยนไป เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ แปลว่าตัวเขานั้นย่อมอ่อนไหวต่อกระแสพลังปราณเป็นพิเศษ กลิ่นอาหารในร้านหอมหวน ส่วนระดับพลังปราณที่อยู่ในอากาศและในท้องของลูกค้าในร้านก็ยอดเยี่ยมน่าอัศจรรย์ใจไม่ต่างกัน
บรรยากาศภายในกับภายนอกร้านนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ท่วงทำนองตื่นรู้จากต้นตื่นรู้ทางห้าสายพัดเข้าใส่ดวงจิตและหัวใจของทุกคนในร้านเป็นระยะ
“มีต้นตื่นรู้ทางห้าสายอยู่จริงๆ เสียด้วย!” ดวงตาของเชิ่งมู่เป็นประกายขึ้นทันที เขาหันไปมองผู้อาวุโสเซี่ยที่เพิ่งเดินเข้าร้านมา
สีหน้าของอีกฝ่ายดูประหลาดชอบกล
“โปรดดูรายการด้านหลังเพื่อสั่งอาหารเจ้าค่ะ เมื่อตัดสินใจได้แล้วบอกข้าได้เลยนะเจ้าคะ” โอวหยางเสี่ยวอี้ขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายร่างกายกำยำแข็งแกร่งหลายคนเดินเข้าร้านมา ร้านนี้เล็กพอสมควร เมื่อมีคนพวกนี้เพิ่มเข้ามาอีกจึงทำให้ดูแคบไปถนัดตา
“สั่งอาหารรึ ฮ่าๆ! แม่หนูน้อย ข้าไม่ได้มากิน ข้ามาเพื่อสมบัติต่างหาก!” เชิ่งมู่หัวเราะลั่น
เด็กหญิงชะงัก ทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
ปู้ฟางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ย่นคิ้วพลางมองกลุ่มชายฉกรรจ์
“ไปเอาตัวเจ้าของร้านมาหาข้า บอกมันให้รีบๆ ด้วยเล่าหากยังอยากให้ร้านอยู่รอดไม่กลายเป็นซากไป!” เชิ่งมู่วางท่ามุทะลุดุดัน
ปู้ฟางลุกขึ้นมายืนบังโอวหยางเสี่ยวอี้ไว้ พลางเดินไปหาชายกลุ่มนี้
“ข้าคือเจ้าของร้าน พวกเจ้ามีอะไร”
มู่หลิงเฟิงที่อยู่ไกลออกไปส่ายหน้าทันที เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด…ไอ้พวกบ้าจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ที่มีแต่กล้ามเนื้อแต่ไร้รอยหยักในสมองเดินทางพาตัวเองมาถึงที่นี่จนได้ แต่เขาเองก็ไม่คิดจะขยับตัวแต่อย่างใด ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมซดน้ำแกงปลาแสนอร่อยต่อไป
“มีอะไรเช่นนั้นรึ มีสิ แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่ได้ยินที่ข้าพูดเมื่อครู่รึว่าข้ามาเพื่อสมบัติ อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย รีบส่งต้นตื่นรู้ทางห้าสายมาเดี๋ยวนี้…”
เชิ่งมู่กำหมัด กล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นระริกตามแรงหัวเราะ
ปู้ฟางมองหน้าอีกฝ่ายโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ชายหนุ่มยิ้มพลางเอ่ยตอบ “มีคนมากหน้าหลายตาที่อยากได้สมบัติข้า…เจ้าคิดว่าตนเองเก่งมาจากไหนกัน”
เชิ่งมู่พลันชะงักไป เขาถลึงตามองจากนั้นก็เรียกพลังปราณปริมาณมหาศาลออกมา แต่ก่อนที่จะทันได้ขยับตัว ชายหนุ่มก็ต้องหยุดมือลงเสียก่อน เนื่องจากรู้สึกได้ถึงพลังรุนแรงที่พุ่งผ่านประตูร้านเข้ามาหยุดตัวเขาเอาไว้
“ใครกล้ามาก่อเรื่องที่ร้านแห่งนี้กัน”
เสียงเย็นลอยมาจากนอกร้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเงาเงาหนึ่ง
ผู้คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่รวมถึงตัวปู้ฟางเองยื่นคอออกไปมองนอกร้านด้วยความสงสัยใคร่รู้ จากนั้นพวกเขาก็เห็นทันทีว่าผู้มาเยือนพร้อมวาจาหาเรื่องนั้นคือมนุษย์อสรพิษนั่นเอง
ปู้ฟางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อวี่เฟิงยังอยู่ที่นี่เพื่อทำหน้าที่ปกป้องร้านจริงๆ เสียด้วย…ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะโผล่ออกมาจริงๆ กลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้าเขานี้มีพลังปราณแข็งแกร่งมาก เหตุใดหมอนี่จึงยังกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งอีก…
“ตายๆ เจ้าตั้งใจจะปกป้องร้านนี้เช่นนั้นรึ” เชิ่งมู่หัวเราะหึๆ ไอ้มนุษย์อสรพิษขั้นนักพรตยุทธการตนนี้น่ะหรือที่เป็นไพ่ตายของร้าน ถ้าเป็นเช่นนั้นคงน่าเบื่อแย่
“เถ้าแก่ปู้ ข้าสัญญากับท่านว่าจะช่วยดูแลร้านแห่งนี้ให้ ข้าต้องรักษาคำพูด” อวี่เฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
จากนั้นเขาก็เรียกหอกสีดำสนิทมาถือไว้ในมือ แล้ววาดมันไปในอากาศ พลางชี้ปลายหอกไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์จากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ซึ่งยืนจังก้าอยู่ในร้าน
ปู้ฟางอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เชิ่งมู่กับพรรคพวกเดินออกจากร้านไปเผชิญหน้ากับมนุษย์อสรพิษในตรอกเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มเจ้าของร้านจึงได้แต่กลอกตา จนด้วยคำพูด
แม้เขาจะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
“มนุษย์อสรพิษมาปรากฏตัวที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วเช่นนั้นรึ น่าสนใจดี…” เซี่ยต้าที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนยกยิ้มมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นอวี่เฟิงที่อยู่ตรงหน้า
“ชื่อเสียงของนครมหาอสรพิษที่ตั้งอยู่ในหนองน้ำปราณมายานั้นเลื่องระบือไปทั่วทวีปมังกรซ่อนเร้น ประมุขอสรพิษสร้างมหานครอันแสนยิ่งใหญ่ด้วยมือของตนเอง แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์อันยากลำบากเรื่องภูมิทัศน์อย่างหนองน้ำปราณมายา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนมากมาย ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้ามาจากนครมหาอสรพิษของประมุขอสรพิษหรือไม่” เซี่ยต้าถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
อวี่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย เขามุ่นคิ้ว โบกสะบัดหอกในมือไปมา จากนั้นก็เอ่ยตอบ “แม้ว่าตัวข้าจะไม่ใช่มนุษย์อสรพิษที่มาจากนครมหาอสรพิษ แต่ก็โชคดีที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าท่านประมุขอสรพิษมาก่อน”
ตอนประกาศความจริงข้อนี้ออกมา อวี่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ เขามาจากเผ่าหนึ่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์อสรพิษ การได้เข้าเฝ้าประมุขอสรพิษในตำนานนั้นถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
“อ้อ…เจ้าเคยเข้าเฝ้าประมุขอสรพิษเช่นนั้นรึ เช่นนั้นเพื่อเห็นแก่ประมุขอสรพิษ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าหนีไปก็แล้วกัน รีบไสหัวไปเสีย” เซี่ยต้าปรายตามองอวี่เฟิงพร้อมโบกมือไล่กลั้วเสียงหัวเราะเยาะ
พรรคพวกของเชิ่งมู่และคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ เองก็ระเบิดเสียงหัวเราะเป็นลูกคู่ตามมาเช่นกัน
มนุษย์อสรพิษ…เป็นเผ่าพันธุ์ที่พวกเขาดูถูกเหยียดหยาม เนื่องจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้นั้นไม่ต่างอะไรจากพวกครึ่งคนครึ่งสัตว์ สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่ในส่วนลึกของดินแดนป่ารกชัฏ ขยายพันธุ์และใช้ชีวิตในฐานะจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์ไม่ใช่อะไรที่ต้องเคารพแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้มนุษย์อสรพิษที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขากลับประกาศกร้าวว่าจะปกป้องร้านแห่งนี้…ช่างเป็นเรื่องน่าเย้ยหยันเสียจนอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก
ปู้ฟางยืนพิงกรอบประตูมองการเผชิญหน้านี้ด้วยสายตาสงบนิ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันรู้สึกตัว เจ้าขาวก็มาโผล่อยู่ด้านหลัง ยืนแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ดวงตากะพริบแสงไฟสีแดง
“ช่างจองหองอะไรเช่นนี้!”
อวี่เฟิงไม่รู้ว่าชายร่างกำยำตรงหน้าเป็นใคร แต่แน่นอนว่าเขาสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงดูหมิ่นเหยียดหยามของอีกฝ่าย ช่างเป็นสิ่งที่อภัยให้ไม่ได้โดยเด็ดขาด!
“ไสหัวไปเช่นนั้นรึ ความเย่อหยิ่งของเจ้าทำให้ข้าอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง!” อวี่เฟิงดวงตาเป็นประกายวาบ เขาสะบัดหางงูของตนเอง พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่าง หอกยาวสีดำสนิทเริ่มหมุนควงแล้วพุ่งเข้าใส่เซี่ยต้าทันที
การโจมตีครั้งนี้ทำให้อากาศแทบฉีกออกเป็นชิ้นๆ มีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังปราณรุนแรงพุ่งสูงเหมือนน้ำขึ้น ทำให้บรรยากาศภายในตรอกพลันบิดเบี้ยวไป
สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของขั้นนักพรตยุทธการ เขาสามารถเรียกพลังน่าสะพรึงกลัวออกมาได้จริงเสียด้วย
ใบหน้าของเชิ่งมู่และพรรคพวกพลันถอดสี มนุษย์อสรพิษตนนี้มีพลังปราณน่ากลัวยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เหตุใดจึงกล้ามาท้าพวกเขาสู้…บรรดาขั้นนักพรตยุทธการในที่แห่งนี้ไม่มีใครล้มพวกเขาได้โดยไม่คางเหลืองอย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดาย…ที่อวี่เฟิงไม่รู้ว่าชายตรงหน้าตนนั้นเป็นใคร หรือแม้กระทั่งว่าพวกเขามาจากกลุ่มอำนาจไหน!
เซี่ยต้ายืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมทำตาเล็กหยี ตอนที่เขาตัดสินใจยกฝ่ามือหนาขึ้นอย่างเกียจคร้าน หอกทรงพลานุภาพก็อยู่ห่างจากตัวเขาเพียงหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น
เปรี๊ยะ…
เสียงแหลมดังกรีดแทงในอากาศ รูม่านตาของอวี่เฟิงพลันหดแคบ มนุษย์ตรงหน้าสามารถจับหอกยาวสีดำที่เขาเหวี่ยงใส่ได้ด้วยมือเดียว
ปู้ฟางที่ยืนพิงกรอบประตูเองก็ตกใจเช่นกัน การที่สามารถต้านทานการโจมตีของขั้นนักพรตยุทธการได้ด้วยมือเดียว แปลว่าไอ้ผนังตึกผู้นี้ต้องมีพลังปราณแก่กล้าเป็นอันมากแน่
“ไม่แปลกใจเลยที่หมอนี่กล้ามาหาเรื่องร้านเรา…หรือรู้สึกว่าตนเองจะเอาชนะได้เพราะสู้เก่งกันนะ” ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นพลางพูดพึมพำกับตนเอง แน่นอนว่าในใจไม่มีความกังวลอยู่แม้แต่น้อย
ปู้ฟางลูบท้องอ้วนๆ ของเจ้าขาว สีหน้าไม่ยี่หระสักกระเบียดนิ้ว