หมัดหนักยังคงรัวออกมาไม่หยุด ทำให้ทั้งตรอกสั่นสะท้าน เศษหินดินทรายกระจายไปทั่วท้องฟ้า
ฝุ่นหนาก่อตัวเป็นลมพายุ มันพัดหวีดหวิวเหมือนเสียงสัตว์โหยหวย
ตูม ตูม!
พลังที่มองไม่เห็นค่อยๆ หายไปในที่สุด
ปู้ฟางที่อยู่ในร้านรู้สึกได้ถึงกระแสพลังที่ซัดลงมาใส่หลังคา แต่พลังนั้นก็สลายหายไปด้วยพลังลึกลับจากภายในร้าน ใบหน้าของชายหนุ่มดูตกใจเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆๆ! ข้าทำลายเจ้าได้แล้วสินะ!!”
เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น พื้นตรอกกลายเป็นเพียงเศษอิฐเศษปูน
เจ้าดำนอนอยู่ตรงปากทางเข้าร้าน มันทำจมูกฟุดฟิด มองไปที่ตรงกลางซากปรักหักพังอย่างเฉื่อยชา มันเห็นทุกอย่างที่อยู่ในม่านหมอกอย่างชัดเจน
บรรดาผู้คนที่ยืนอยู่ไกลออกไปในตรอกต่างพากันสูดลมเย็นเข้าปอด นี่คือพลังของผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม เพียงแค่ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายก็สามารถทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว
การทำลายตรอกนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาเองก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องใช้พลังปราณช่วย หากไม่มีพลังปราณ ลำพังร่างกายของพวกเขาที่แม้จะแข็งแกร่งพอตัว ก็ไม่สามารถทำให้เกิดหายนะเช่นนี้ได้
“เชิ่งมู่…ไอ้…ไอ้หุ่นเชิดนั่นน่าจะระเบิดไปแล้วใช่หรือไม่!” ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการคนหนึ่งมีสีหน้าตื่นเต้นจนแทบจะยิงลำแสงออกจากตาได้
“ข้าจะไปตรัสรู้ได้อย่างไรเล่า! แต่ในเมื่อผู้อาวุโสเซี่ยลงมือเอง ป่านนี้มันคงกลายเป็นซากอ้อยไปแล้วกระมัง…ก็เขาเป็นถึงบุรุษผู้ได้รับการขนานนามว่า ‘อสูรในคราบมนุษย์’ นี่นะ!” ดวงตาของเชิ่งมู่เหมือนมีไฟเผาไหม้อยู่ข้างใน
ทันใดนั้นร่างใหญ่ก็กระโจนออกจากกลางฝุ่นตลบลงมาบนพื้น เขาหายใจหอบ กำปั้นที่เหมือนภูผาปล่อยไอร้อนออกมา
จากนั้นเซี่ยต้าก็เงยหน้าขึ้นเพ่งมองไปที่กลางพายุฝุ่น ลมอ่อนพัดผ่าน ไล่ความขมุกขมัวในอากาศให้มลายหายไป
เซี่ยต้าหยีตาเพ่งไปที่ฝุ่นฟุ้ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ดุร้ายสั่นไหว
ปู้ฟางเองก็มองจ้องไปยังพายุฝุ่นเช่นกัน จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ปี๊บ ปี๊บ!
เสียงหุ่นยนต์ดังสะท้อนออกจากกลุ่มฝุ่น จากนั้นร่างหนึ่งก็เผยให้เห็นสู่สายตา ร่างนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อม่านหมอกจางลงไป
ร่างดังกล่าวยังเป็นร่างโลหะอ้วนกลมของเจ้าขาวที่ส่องสว่างสะท้อนแสงอยู่ดังเดิม
ดวงตาของมันกะพริบแสงสีแดงต่อเนื่องรวดเร็ว
“นี่มันบ้าอะไรกัน! เหตุใดจึงยังไม่เละเป็นโจ๊กไปอีก ไอ้หุ่นเชิดนี่…” ใครบางคนที่สังเกตเห็นร่างไร้รอยขีดข่วนของเจ้าขาวตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
เชิ่งมู่สูดหายใจเข้าลึก หมัดห่าฝนจากร่างกายที่แข็งแกร่งของเซี่ยต้านั้นรุนแรงพอที่จะทำให้อสูรเวทระดับเจ็ดตายได้ แต่ไอ้หุ่นเชิดนี่…กลับยังสภาพดีเหมือนเดิม ไม่มีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน!
นี่มันอาเพศอะไรกัน…มันแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
รูม่านตาของเซี่ยต้าหดแคบ จากนั้นเขาก็ยืดอกขึ้นแล้วหัวเราะออกมา
เขากระทืบเท้าหนึ่งข้างลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ทำให้พื้นหินเบื้องล่างแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ร่างทั้งร่างกระเด้งขึ้นพร้อมซัดหมัดหินผาใส่เจ้าขาวอีกครั้ง
หากทำลายมันไม่ได้ในหมัดสองหมัด…เช่นนั้นก็เอาไปเสียสิบหมัดร้อยหมัดเลยจะเป็นอะไรไป…ป่านนั้นไม่พังก็ต้องพังกันแล้ว!
ปัง!
แต่คราวนี้หมัดของเขาส่งไปไม่ถึงตัวเจ้าขาว
ลำแสงสีแดงในดวงตาเจ้าขาวหยุดกะพริบ มันฟาดฝ่ามือใหญ่เหมือนพัดลงมาตบเซี่ยต้าที่เพิ่งออกวิ่งได้ไม่กี่ก้าว อัดกระแทกอีกฝ่ายลงบนพื้นทันที
“ไอ้บัดซบ!” เซี่ยต้าโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก ไอ้หุ่นเชิดนี่เล่นโจมตีเขาชนิดไม่ทันตั้งตัวชัดๆ!
ปัง! เจ้าขาวเพ่งดวงตาจักรกลไปที่เซี่ยต้า มันยกมือขึ้นแล้วตบลงอีกครั้ง คราวนี้ร่างของเซี่ยต้าอัดยุบลงกับพื้นพร้อมเสียงดังตูม เศษอิฐกระจายไปทั่ว
พื้นตรงบริเวณนั้นไม่เหลือซากไปเรียบร้อย
รอยแตกบนพื้นลากยาวไปถึงบริเวณที่เจ้าดำนอนอยู่ แล้วรอยก็หยุดกะทันหันราวกับถูกพลังที่มองไม่เห็นสกัดเอาไว้
เจ้าดำหาวพลางมองเจ้าขาวร่างอ้วนทรมานไอ้ขี้กะโล้ต่อด้วยสายตาสนอกสนใจ…
ปัง!
ท่าทางการตบของเจ้าขาวดูสงบนิ่งมาก แต่เชิ่งมู่และพรรคพวกกลับรู้สึกราวกับตนเองเป็นฝ่ายถูกตีเข้าที่หน้าอกเสียเอง หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น
“ไอ้อัปรีย์ชั่วช้า! ข้าโมโหแล้วนะ!” เสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดตามมาด้วยพลังปราณที่พุ่งทะยานมาหยุดตรงหน้าเจ้าขาว
กระแสพลังปราณนี้พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า กระจายตัวไปทั่วนครหลวง หลายต่อหลายคนสัมผัสถึงมันได้
พลังกดดันจากขั้นเทพแห่งสงครามระเบิดออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด
ฝ่ามือของเจ้าขาวที่เหวี่ยงลงมาบนตัวถูกเซี่ยต้าจับเอาไว้ได้ เซี่ยต้าป้องกันตนเองด้วยเกราะพลังปราณเที่ยงแท้ เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือของเจ้าขาวขึ้น ดวงตาจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบ
ตัวเขานั้นลืมไปแล้วว่าตนเองตกเป็นรองผู้อื่นครั้งสุดท้ายเมื่อใด แต่การถูกตบจนสิ้นสภาพลงกับพื้นอย่างไร้ทางสู้เช่นนี้ ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้
ปกติแล้วมีแต่เขาที่เป็นคนทรมานทรกรรมผู้อื่น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้!
ชุดเกราะที่สร้างจากพลังปราณเที่ยงแท้เปล่งประกายงดงามราวกับทำมาจากสิ่งที่จับต้องได้จริง นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของปราณขั้นเทพแห่งสงคราม ทันทีที่บรรลุปราณขั้นนี้ ผู้ฝึกตนจะสามารถสร้างพลังปราณที่จับต้องได้จริงในแก่นพลังปราณของตน จากนั้นหากหมั่นบำรุงแก่นพลังปราณอย่างต่อเนื่อง และหากมีพลังชีวิตมากพอ ขั้นเทพแห่งสงครามจะสามารถสร้างพลังปราณขึ้นมาให้กลายเป็นอาวุธที่จับต้องได้
“หุ่นเชิดของเจ้ามีกลเม็ดเด็ดพรายอยู่มากมายทีเดียว แต่รอก่อนเถิด…พอข้าฉีกไอ้หุ่นเวรนี่เป็นชิ้นๆ แล้ว ข้าจะขยี้เจ้าให้แหลกเลยคอยดู!” เซี่ยต้าตวัดสายตาไปมองปู้ฟาง ในฐานะเจ้าของหุ่นเชิด ชายหนุ่มเป็นตัวการหลักที่ทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้าขนาดนี้
รังสีสังหารสาดออกจากร่างของเซี่ยต้าอย่างชัดเจน ทำให้ตัวเขาดูน่ายำเกรงขึ้นอีก พลังกดดันที่แผลงฤทธิ์ไปในอากาศทำให้เชิ่งมู่และพรรคพวกหายใจลำบาก
จู่ๆ ดวงตาของเจ้าขาวที่จ้องเซี่ยต้าอยู่ก็ระเบิดแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา จนทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นตาแทบบอด
“จับได้ถึงรังสีสังหารที่มีต่อนายท่าน เปลี่ยนระบบปฏิบัติการ เตรียมสังหาร”
ทันทีที่ลำแสงสีแดงสว่างขึ้นจนถึงขีดสุดมันก็ค่อยๆ ดับลง แล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีม่วงประหลาด สีม่วงแปลกตานี้ทำให้ทั้งร่างกายและหัวใจเซี่ยต้าสั่นสะท้าน เขารู้สึกได้ถึงหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
เจ้าขาวตาสีม่วง เริ่มปฏิบัติการแล้ว!
ปัง!!
เจ้าขาวยกฝ่าเท้าขึ้นแล้วพุ่งเข้าเตะท้องของเซี่ยต้าด้วยความเร็วที่แม้แต่ตัวผู้ถูกโจมตีเองยังวัดไม่ได้
เปรี๊ยะ!
เสียงบางอย่างแตกดังขึ้น ร่างของเซี่ยต้าพุ่งแหวกอากาศตามแรงเตะของเจ้าขาว ชุดเกราะตรงบริเวณช่วงท้องปริแตก…ร่วงกราวลงมาทีละชิ้น
ดวงตาของเซี่ยต้าเบิกกว้าง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นกระชั้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขาไม่หลงเหลืออารมณ์ใดอีกนอกจากโทสะร้ายกาจ ความต้องการปลิดชีวิตท่วมท้นขึ้นมา
ตรอกเล็กๆ เอ่อท่วมด้วยแสงสว่างเจิดจ้า พร้อมด้วยเสียงดังลั่น เทพปีศาจตัวใหญ่มหึมาที่มีสามหัวหกแขนยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้าเจ้าขาว
“ไปลงนรกเสีย!” เซี่ยต้าเอามือปกป้องท้องไว้ ชุดเกราะที่แตกสลายค่อยๆ ซ่อมแซมตัวเอง เขายกหมัดขึ้น พลันเทพปีศาจตัวยักษ์ที่เขาเรียกออกมาก็ยกหมัดขึ้นตาม แล้วพุ่งกำปั้นใส่เจ้าขาวตาสีม่วงที่อยู่ด้านล่าง
ร่างของเจ้าขาวที่ดวงตากำลังส่องแสงสีม่วงสว่างหายไปในพริบตาเหมือนสายฟ้า ช่างแตกต่างจากการเคลื่อนไหวอุ้ยอ้ายเชื่องช้าที่มันแสดงออกมาก่อนหน้าเสียจริง
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองด้านบนตามสัญชาตญาณ แล้วก็เห็นหุ่นเชิดร่างอ้วนลอยอยู่บนท้องฟ้า มันยกฝ่ามือขึ้นกันการโจมตีของเทพปีศาจตัวยักษ์ได้อย่างง่ายดาย
ฝูงชนด้านล่างต่างตื่นตกใจ เมื่อเห็นฝ่ามือของเจ้าขาวเปลี่ยนเป็นกระบี่คมกริบสลักลายลึกลับบนพื้นผิว
กระบี่ขนาดใหญ่ทอประกายล้อแสงไฟสะท้อนความคมออกมา
วืด!
กระบี่ของเจ้าขาวที่สว่างวาบเหมือนลำแสง ตัดแขนของเทพปีศาจเสียขาดสะบั้น เกิดเป็นเสียงแตกหัก ตามมาด้วยแขนที่แหลกสลายกระจายไปในอากาศ
เซี่ยต้าหัวใจสั่นสะท้าน เขาคำรามแล้วปล่อยกระแสพลังสีดำสนิทออกจากปากของเทพปีศาจ สายพลังนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างมหาศาล ราวกับหมายมั่นจะลบเจ้าขาวให้หายไปจากโลกนี้
เจ้าขาวหยุดนิ่งอยู่กับที่ แม้แต่ไฟสีม่วงในดวงตาของมันก็ไม่ขยับ หลุมดำปรากฏขึ้นบนท้องอ้วนกลม แล้วจัดการดูดกลืนกระแสพลังสีดำที่พุ่งมาชนท้องเข้าไปจนหมดสิ้น
“เวรแล้ว!! นี่มันปีศาจพันธุ์ใดกัน!”
รูม่านตาของเซี่ยต้าหดแคบ เขารู้ดีว่ากระแสพลังสีดำของตนนั้นทำได้แม้กระทั่งลบเมืองทั้งเมืองให้หายไปจากแผนที่ แต่มาวันนี้กลับถูกหุ่นเชิดนี่ดูดลงท้องได้อย่างง่ายดาย
จะมีอะไรน่าสะพรึงกลัวไปกว่านี้อีกหรือ
มือของเจ้าขาวเปลี่ยนสภาพไปเป็นกระบี่ขนาดมหึมาที่ฟาดตัดอากาศลงบนศีรษะของเทพปีศาจ ตัดร่างอีกฝ่ายจนขาดสะบั้น
เซี่ยต้ากระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างเซถลาไปด้านหลัง ขนาดตัวที่ใหญ่โตของเขาพลันยุบลงเหมือนลูกโป่งโดนปล่อยลม
ชุดเกราะพลังปราณที่คุ้มกันตัวเขาอยู่เริ่มปริแตก…จากนั้นก็ร่วงกราวลงกับพื้นทีละชิ้น
ทันทีที่เจ้าขาวฟาดกระบี่ลงมา เขาก็รู้ว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว
ปัง!
เจ้าขาวลงถึงพื้นพร้อมเสียงระเบิดดังลั่นหูแทบดับที่ก้องสะท้อนไปทั่วตรอก มันโบกสะบัดกระบี่ในมืออีกครั้ง ทำเอาเชิ่งมู่และพรรคพวกแข้งขาอ่อนด้วยความกลัวจนแทบจะยืนไม่ไหว…
หุ่นเชิดตัวนี้เล่นงานผู้อาวุโสขั้นเทพแห่งสงครามของพวกเขาเสียหมดสภาพ!
“นี่มัน…อมหมามาพูดข้ายังไม่เชื่อ! เป็นแค่หุ่นเชิดแท้ๆ…แต่กลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวรึ” ขั้นนักพรตยุทธการคนหนึ่งที่กำลังตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา เจ้าขาวทำให้พวกเขากลัวจนควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่
สุนัขสีดำที่นอนอยู่ไกลๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองขั้นนักพรตยุทธการคนดังกล่าว…ครั้งก่อนก็มีนักบวชหนุ่มที่ตั้งใจจะจับสุนัขกิน ครั้งนี้ยังมีไอ้โง่มาบอกว่าจะอมสุนัขอีกเรอะ
สุนัขเคยไปหักหาญทำลายน้ำใจคนเมื่อไรกัน
เจ้าดำฮึดฮัดหัวเสีย มันแยกเขี้ยวยิงฟันขาวที่เรียงเป็นตับ จากนั้นก็ยกอุ้งเท้าขึ้นวาดไปในอากาศ
พรึบ!!
ขั้นนักพรตยุทธการคนที่เพิ่งสบถออกมารู้สึกว่าหัวใจกระตุก จากนั้นภาพตรงหน้าของเขาก็ตัดไปทันที
เชิ่งมู่ตาแทบถลนเมื่อเห็นขั้นนักพรตยุทธการที่อยู่ข้างกาย จู่ๆ ก็สลายกลายเป็นเศษฝุ่นปกคุลมพื้นดิน หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น ความรู้สึกเลวร้ายทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นความหวาดกลัว อกสั่นขวัญแขวน ลามไปถึงความสิ้นหวัง…ถาโถมเข้ามาในจิตใจ
หุ่นเชิดนั่น…เป็นปีศาจจากนรกโดยแท้!
ชายหนุ่มคิดว่าความตายของขั้นนักพรตยุทธการผู้นี้เป็นฝีมือเจ้าขาว…เนื่องจากเจ้าขาวดวงตาสีม่วงนั้นเปรียบเสมือนปีศาจร้ายสำหรับเขา
ไม่มีใครสังเกตเห็นสุนัขสีดำที่นอนฮัมเพลงอย่างสุขใจอยู่บนพื้น ที่ค่อยๆ ลดอุ้งเท้าน่ารักลงช้าๆ
เซี่ยต้าโซซัดโซเซอย่างสิ้นลาย สุดท้ายก็ยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้นจนได้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ
แต่กระบี่ยักษ์ของเจ้าขาวนั้นไม่ได้ปรานีแม้แต่น้อ…ร่างของเซี่ยต้าถูกฟันเป็นแผลเปิดเลือดพุ่งกระฉูดไหลทะลักออกจากปากแผลเป็นลิ่มๆ
หุ่นเชิดนี่…กำลังจะปลิดชีวิตเขา!
ความโหดเหี้ยมเกรี้ยวกราดในตัวเซี่ยต้าระเหยไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจเท่านั้น!
ปู้ฟางที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าร้านผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เจ้าขาวก็ยังเป็นเจ้าขาวอยู่วันยังค่ำ ยังพึ่งพาได้เสมอในยามที่ร้านถูกรุกราน
ถ้าเขามีเจ้าขาวอยู่ ขั้นเทพแห่งสงคราม…จะไปมีค่าอะไรให้ต้องกลัวกัน
ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวเรืองแสงสีม่วงวาวโรจน์ มันกระทืบเท้าลงกับพื้น รุนแรงราวกับกำลังเหยียบย่ำลงบนหัวใจของเซี่ยต้าและพรรคพวก
เหล่าผู้กล้าจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์…กลัวหัวหดจนแทบสลบตาย
ทันใดนั้นหอกยาวก็พุ่งตัดฟากฟ้ามาพร้อมเสียงดังกึกก้อง หอกนั้นถูกขว้างออกจากมือของร่างหนึ่ง มันพุ่งตัดอากาศมาด้วยความเร็วสูง จนหอกเกิดประกายไฟเมื่อเสียดสีกับอากาศ
หอกดังกล่าวซัดใส่เจ้าขาวเสียงดังลั่น เพลิงสีแดงพวยพุ่งออกมาเหมือนกระแสน้ำ
มู่หลิงเฟิงชุดแดงที่อยู่ในร้านใบหน้ามืดมนไปทันที เขาเฝ้าดูสถานการณ์ด้านนอกอย่างใกล้ชิดมาตลอด บัดนี้ชายหนุ่มกลับทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืด เนื่องจากรู้ว่านี่เป็นการโจมตีของผู้อาวุโสเปี้ยนแห่งวิหารเทพเจ้านั่นเอง
มู่หลิงเฟิงลุกจากที่นั่ง แล้วรีบเดินมาที่ทางเข้าร้านทันที
ปู้ฟางที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตูหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตางุนงง
มู่หลิงเฟิงหยุดแล้วหันมามองชายหนุ่มเจ้าของร้านที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า ประกายแสงอ่านยากหมุนวนอยู่ในดวงตา
เป็นแค่ขั้นราชันยุทธการเท่านั้น…โธ่เอ๋ย เถ้าแก่ปู้
ทันใดนั้นท่วงทำนองแห่งการตื่นรู้ก็ไหลบ่าออกจากร้าน ราวกับเป็นกระแสน้ำที่มองไม่เห็นซึ่งกระเพื่อมออกเป็นวงกว้าง โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านอาหารในตรอกห่างไกล ไม่นานนักกระแสแห่งการตื่นรู้นี้ก็แพร่กระจายไปทั่วนครหลวง