กลิ่นประหลาดโชยออกจากห้องครัว กลิ่นนั้นเหมือนอะไรบางอย่างที่ไหม้ครึ่งๆ กลางๆ และเจือความขมเล็กน้อย เป็นกลิ่นที่ใครก็ตามที่สูดเข้าไปต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อ้า ยายหนูของปู่ เหตุใดเจ้าจึงมอมแมมเช่นนี้” ผู้เฒ่าโอวหยางรู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก เมื่อเห็นโอวหยางเสี่ยงอี้เดินออกจากครัวมาพร้อมเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยคราบเขม่า
แต่ดวงตาของเด็กหญิงกลับเป็นประกายเจิดจ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นถึงขีดสุด
นางถูคราบเขม่าออกจากใบหน้าพลางหัวเราะ จากนั้นก็ยกชามกระเบื้องไปใส่จมูกของผู้เป็นปู่ “ท่านปู่ มานี่ มาลองชิมดูเร็วเจ้าค่ะ นี่เป็นข้าวผัดไข่ชามแรกในชีวิตข้าเชียวนะเจ้าคะ!” นางพูดอย่างตื่นเต้น
“อ้า ได้เลย ท่านปู่ของเจ้าจะอาสาเป็นนักชิมให้เอง” ผู้เฒ่าโอวหยางลูบศีรษะของโอวหยางเสี่ยวอี้ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก จากนั้นก็หยิบช้อนกระเบื้องที่แม่บ้านนำมาให้ แล้วมองไปที่ชามในมือโอวหยางเสี่ยวอี้ด้วยความลังเล
“นี่มัน…”
ในชามกระเบื้องมีก้อนข้าวควันโขมง…เอ่อ สีประหลาด ข้าวแต่ละเมล็ดมีสีดำชอบกล ทั้งยังเจือสีแดงอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีไข่แผ่นเบ้อเริ่มที่สุกเกินไปผสมอยู่ ดูค่อนข้างเตะตาเลยทีเดียว
นี่มันอะไรกัน ผู้เฒ่าโอวหยางงงเป็นไก่ตาแตก มือที่ถือช้อนกระเบื้องอยู่สั่นเล็กน้อย
“ข้าวผัดไข่ปกติต้องทำให้ข้าวแต่ละเมล็ดห่อหุ้มไปด้วยไข่ปริมาณพอดี แต่เจ้าเล่นเอาง่ายเลยหรือ เอาไข่แผ่นเบ้อเริ่มไปแปะบนข้าวเช่นนี้ แถม…สีของข้าวเหตุใดมันถึงประหลาดขนาดนี้กัน”
เอื๊อก
ชายชราหนวดสั่นขณะกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกสยดสยอง
“ท่านปู่…ลองชิมดูสิเจ้าคะ! เอาเลย!” โอวหยางเสี่ยวอี้มั่นใจในอาหารของตนอย่างมากจนพูดคะยั้นคะยอออกมา
“แน่นอนอยู่แล้วหลานปู่ นี่เป็นครั้งแรกที่หลานปู่ทำอาหาร เช่นนั้น…ปู่จะลองชิมดูก็แล้วกัน แต่แค่คำเดียวนะ” ผู้เฒ่าโอวหยางหัวใจแทบตกลงไปอยู่ตาตุ่มตอนที่ตักข้าวในชามขึ้นมา เขาจงใจสั่นมือเบาๆ จนข้าวกว่าหนึ่งในสามร่วงกราวออกจากช้อน แต่ก็ไม่มีใครเห็นการกระทำนั้น
ชายชราเอาช้อนเข้าไปใกล้จมูกเพื่อลองดมดู ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นไหม้ก็พุ่งเข้าใส่หน้าอย่างไม่ปราณีปราศรัย ริมฝีปากของผู้เฒ่าโอวหยางสั่นสะท้าน พลันรู้สึกสยองขึ้นมาในอก “แม่หนู…ท่านปู่ของเจ้าจะลองชิมแล้วนะ” ผู้เฒ่าโอวหยางประกาศพร้อมทำจมูกบาน
“ท่านปู่! ข้าจะต้องชนะใจเถ้าแก่ปู้ด้วยข้าวผัดไข่ชามนี้ให้ได้!” โอวหยางเสี่ยวอี้เช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองอีกครั้งแล้วประกาศด้วยความมั่นใจล้นเหลือ
ผู้เฒ่าโอวหยางทำได้เพียงฝืนยิ้ม ชนะใจรึ น่าจะตอกฝาโลงมากกว่า…
ลองคิดดูว่าจะเป็นเรื่องตลกร้ายเพียงไหนกัน หากเถ้าแก่ปู้ที่รอดชีวิตจากบรรดาขั้นเทพแห่งสงครามทั้งหลายทั้งปวงมาได้ แต่กลับต้องมาตายอย่างไร้ท่าเพราะข้าวผัดไข่หนึ่งชาม
“กินสิ!” โอวหยางเสี่ยวอี้มองตาแข็ง
และแล้วผู้เฒ่าโอวหยางก็เทข้าวผัดไข่ในช้อนใส่ปากตนเอง
พลันใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด สีหน้าสับเปลี่ยนถึงสามรอบภายในลมหายใจเดียว จากขาวเป็นแดง จากแดงเป็นม่วง และจากม่วงเป็นดำสนิท
กร้วม กร้วม…
ผู้เฒ่าโอวหยางรวบรวมความกล้าสุดชีวิตเพื่อเคี้ยวข้าวในปากอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำตาคลอเบ้า เสียงของแข็งกระทบกันดังออกจากปาก ฟังเหมือนเสียงหินแข็งๆ ขูดขีดปะทะกัน
ในห้วงเวลานั้น หัวใจของผู้เฒ่าโอวหยางเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายก่ายกอง สิ่งที่เขากำลังกินอยู่นั้นเหมือนถังเครื่องปรุงทั้งหมดทั้งมวลในห้องครัวที่ถูกเด็กวิ่งชนจนสาดกระจายไปทั่ว มีทั้งรสเปรี้ยว ขม ชา ไปจนถึงเหม็นหืน…
รสเดียวที่ขาดไปคือรสชาติอร่อย!
คงไม่มีใครในปฐพีอีกแล้วที่จะทำข้าวผัดไข่ออกมาได้รสชาตินี้! มีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น…แม่หนูของปู่!
ผู้เฒ่าโอวหยางสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว สูดหายใจเข้าลึก แล้วบังคับตนเองให้กลืนข้าวผัดไข่ในปากลงท้องไป
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ รสชาติใช้ได้ไหม” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“อ้อ เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเลยทีเดียว ช่างทรงพลังราวกับมีเปลวเพลิงวิ่งผ่านลำคอลงไปในช่องท้อง หลังจากที่ปู่กลืนเข้าไป ปู่รู้สึกราวกับตายแล้วได้เกิดใหม่ในกองเพลิงอีกครั้ง เสี่ยวอี้ของปู่นี่ได้รับพรสวรรค์ในการเข้าครัวมาจากพ่อของเจ้าโดยแท้” ผู้เฒ่าโอวหยางบรรยายประสบการณ์ด้วยใบหน้าตายด้าน
โอวหยางซงเหิงงงเป็นไก่ตาแตกกับสิ่งที่บิดาของตนเพิ่งพูดจบ
“แม่หนูของปู่ ปู่เหนื่อยเหลือเกินวันนี้ เสียดายที่จะต้องขอลาเจ้าไปพักผ่อนก่อน ให้ท่านพ่อและพี่ๆ ของเจ้าลองชิมดูเสียสิ แล้วเจ้าก็ถามความเห็นพวกเขาเอานะ” ผู้เฒ่าโอวหยางย่นใบหน้าจากนั้นก็เอ่ยแนะนำด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้
โอวหยางเสี่ยวอี้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าข้าวผัดไข่ของนางจะออกมาใช้ได้เลยทีเดียว เนื่องจากท่านปู่บรรยายสรรพคุณเอาไว้อย่างทรงพลังน่าดูชม! ใครจะไปคิดว่าหลังจากกลืนลงท้องไปท่านปู่จะรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เช่นนี้!
เมื่อนางหันมามองอีกทีผู้เฒ่าโอวหยางก็หายตัวไปเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวอี้งุนงงเป็นอันมาก แต่ก็เบนเข็มมาหาโอวหยางซงเหิงและพี่ชายทั้งสามคนของตนทันที
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก จวนโอวหยางจุดไฟสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ทั้งยังมีชีวิตชีวาด้วยผู้คนที่วิ่งไปมาระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำ
ที่ครื้นเครงที่สุดคือห้องครัวที่มีเสียงระเบิดดังออกมาเป็นระยะ พร้อมด้วยควันโขมงและกลิ่นประหลาดที่ตามกันมาติดๆ
…
เช้าวันต่อมา ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทอแสงสีทองอบอุ่นลงสู่ผืนโลก ฟื้นคืนชีวิตให้กลับมาอุดมอีกครั้ง หญ้าสีเขียวขจีแทงหน่อขึ้นจากพื้นดินรอบนครหลวง หลังจากที่หลับใหลอยู่นานแสนนานในฤดูหนาว สัญญาณแห่งชีวิตอันสดใสก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมด้วยลมเย็นสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิ
ถนนหนทางในนครหลวงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างพากันตั้งร้านตะโกนร้องเรียกลูกค้าให้มาจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดปาก
ร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งอยู่ในตรอกเล็กของนครหลวง
ชายหนุ่มเจ้าของร้านยกกระดานปิดหน้าร้านออก แล้วก็ต้องรู้สึกเย็นกายสบายใจกับลมเย็นสดชื่นยามเช้าที่พัดเข้ามาในร้าน เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าปอด พลางยืดเส้นยืดสายรับอากาศอบอุ่น
“เจ้าดำ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว” ปู้ฟางเดินกลับเข้าครัวไป แล้วออกมาพร้อมซี่โครงเปรี้ยวหวานหนึ่งจาน ชายหนุ่มวางจานอาหารลงตรงหน้าสุนัขสีดำ
จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างประตู ทอดสายตามองหมู่เมฆบนท้องฟ้าด้วยความสบายใจ
ราวกับเวลาได้หยุดลงในชั่วขณะนั้น ปู้ฟางได้ยินเพียงเสียงเคี้ยวกร้วมๆ ของเจ้าดำจอมขี้เกียจที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินซี่โครงเปรี้ยวหวานของโปรด
แต่ห้วงเวลาอันแสนสงบนี้ก็อยู่ไม่นาน ทันทีที่ลูกค้าคนแรกก้าวเข้าร้านมา ร้านก็กลับมาสู่ความยุ่งวุ่นวายอีกครั้ง
ขนมจีบทองคำหอมกรุ่นควันฉุยถูกลำเลียงออกมา น้ำซอสชุ่มฉ่ำที่ไหลออกจากขนมจีบนั้นทำให้ใครที่ได้เห็นต้องพากันน้ำลายไหล
นอกจากนี้ปู้ฟางยังนำปลาดองเหล้าหอมสุราออกจากครัวมาวางบนโต๊ะด้วยเช่นกัน นี่เป็นอาหารจานที่ทำให้ทุกคนต้องท้องร้องดังโครก
ชื่อเสียงของร้านเล็กๆ ของฟางฟางขจรไกลไปทั่วนครหลวง หลายคนรู้จักร้านแสนลึกลับแห่งนี้ดี เนื่องจากไม่ได้มีเพียงอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศที่หากินได้ยากยิ่งขายเท่านั้น แต่ยังเป็นร้านที่แข็งแกร่งจนล้มไม่ลงด้วย
เสียงฝีเท้าร่าเริงดังขึ้นในตรอก ตึกๆๆ
วันนี้โอวหยางเสี่ยวอี้สวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีชมพู ทำให้นางดูราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศขณะวิ่ง ใบหน้าอ่อนหวานน่ารักเป็นสีชมพูระเรื่อ นางกะพริบตากลมโตคู่สวย ดูก็รู้ว่ากำลังตื่นเต้นเหลือประมาณ
ในอ้อมแขนของเด็กหญิงมีกล่องอาหารทำจากไม้แดงซึ่งนางประคองไว้เหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า ดวงตาของนางก้มลงมองกล่องอาหารในอ้อมอกเป็นครั้งคราวด้วยท่าทางน่ารักจับใจ
“นายท่านตัวเหม็น ข้ามาแล้ว!” โอวหยางเสี่ยวอี้ตะโกนเสียงดังลั่นทันทีที่ก้าวเข้าร้านมา
บรรดาลูกค้าในร้านต่างคุ้นเคยกับเสี่ยวอี้เป็นอย่างดี และพากันทักทายนางด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ส่วนเด็กหญิงเองก็ยิ้มแฉ่งตอบกลับ เมื่อมีคนถามนางว่าถือกล่องอะไรมา นางก็ทำเพียงเชิดหน้าขึ้นแล้วโบกนิ้วชี้ไปมาอย่างลึกลับ
“ความลับเจ้าค่ะ”
ปู้ฟางเดินออกจากครัวมาเจอโอวหยางเสี่ยวอี้แล้วก็ต้องมองนางด้วยสีหน้างุนงง เมื่อเห็นกล่องอาหารในมืออีกฝ่าย ใบหน้าของชายหนุ่มก็แข็งทื่อไป
“เจ้าเด็กนี่คงไม่ได้กลับบ้านไปทำข้าวผัดไข่มาจริงๆ หรอกนะ…” ปู้ฟางดึงหน้านิ่งตายด้านตามสูตร แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงความสามารถในการทำอาหารของโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ระบบประเมินไว้ เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงเมฆฝนทะมึนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล
“นายท่านตัวเหม็น! ท่านบอกว่าหากข้าวผัดไข่ของข้าเอาชนะใจท่านได้ ท่านจะให้ข้าเป็นแม่ครัวฝึกหัดของร้าน!” โอวหยางเสี่ยวอี้หยีตาพลางหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
เดี๋ยวนะ ข้าขอลองคิดดูใหม่อีกรอบ…นี่คือสิ่งที่ปู้ฟางอยากบอกนาง แต่เขาก็โคลงศีรษะ คิดทบทวนในใจ แล้วทำเพียงหันไปพยักหน้าให้เด็กหญิงเท่านั้น
“ข้าวผัดไข่ของข้าอยู่ในกล่องนี่แล้ว! นายท่านตัวเหม็น อยากลองชิมดูหรือไม่เจ้าคะ” โอวหยางเสี่ยวอี้ตบกล่องอาหารไม้สีแดงในมือ พลางกระดกนิ้วเรียกปู้ฟางพร้อมรอยยิ้ม
บรรดาลูกค้ารอบข้างต่างพากันตื่นเต้น แม่เด็กโอวหยางคนนี้กำลังท้าเถ้าแก่ปู้เรื่องการทำอาหารเช่นนั้นรึ
“เถ้าแก่ปู้ ยังไม่ต้องทำอาหารของพวกข้าก็ได้ ลองชิมสิ่งที่เสี่ยวอี้ทำมาก่อนเถอะ” ใครบางคนในร้านพูดขึ้นมา
ปู้ฟางที่กำลังคิดหาข้ออ้างเพื่อให้ไม่ต้องชิมอาหารของโอวหยางเสี่ยวอี้ หันไปกลอกตาใส่ลูกค้าคนนั้นทันที
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องจำยอมทำตามคำขอของนาง
ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นประกาย นางวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะแล้วเปิดฝาออกท่ามกลางสายตาสนใจใคร่รู้มากมาย
ตอนนั้นเอง กลิ่นเหม็นรุนแรงก็โชยออกจากกล่อง
กลิ่นนั้นรุนแรงมากเสียจนแม้แต่กลิ่นอาหารหอมชั้นเลิศในร้านยังต้านทานไม่ได้ ช่างน่าหวาดกลัวถึงเพียงนั้นทีเดียว
ดวงตาของลูกค้าทั้งหลายพลันเบิกกว้างทันที นี่มันอะไรกัน ในโลกนี้มีสิ่งที่เหม็นได้ถึงเพียงนี้ด้วยหรือ
สีหน้าของหลายๆ คนมืดลง ทุกคนต่างพากันถอยหลังกรูดแล้วสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด
ใบหน้าของปู้ฟางแข็งทื่อ ทั้งยังดูบูดเบี้ยวบึ้งตึง
แต่โอวหยางเสี่ยวอี้ดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าคนรอบข้างทำสีหน้าอย่างไร นางยังกระวีกระวาดหยิบชามถ่านผัดไข่สูตรต้นตำรับออกมาจากกล่องอาหาร…
ปู้ฟางหรี่ตา หัวใจสั่นสะท้านไปหมด กลืนน้ำลายดังเอื๊อก
เด็กน้อย…ดูจากหน้าตาอาหารแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้เป็นดาวเด่นก็วันนี้ เรื่องการทำอาหารจากนรกนี่เห็นทีเจ้าต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน ใครก็ได้…ปลุกข้าให้ตื่นจากฝันร้ายทีเถอะ