ท่าทางสงบนิ่งของปู้ฟ่างทำให้ทุกคนในห้องล้วนประหลาดใจ อาเฉินหรี่ตา กล้ามเนื้อบนหน้าไหวกระตุก
ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชายตรงหน้าทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจ ทำหน้าเช่นนี้แปลว่าอะไรกัน ดูแคลนเหล่าผู้คุ้มกันของหอวสันต์สุคนธ์รึ พวกคนที่กล้าเข้ามาหาเรื่องกันถึงที่นี่ต่างก็กลัวหัวหดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ชายร่างหนาได้เผชิญหน้ากับมนุษย์หน้าตาย
ปู้ฟางดื่มชาเสร็จก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ สายตาจ้องไปที่อาเฉินอย่างเย็นชา ก่อนจะมองสำรวจเหล่าฝูงชนที่ออกันอยู่ในห้อง แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ
“ใครบอกให้เจ้ายืน นั่งลง!” เมื่อเห็นปู้ฟางกล้าลุกขึ้นมา ใบหน้าของอาเฉินก็มืดมนลงกว่าเดิม เขาหมุนท่อนฟืนติดไฟไปมาก่อนขว้างใส่ไหล่ของปู้ฟาง พยายามทำให้อีกฝ่ายนั่งลงตามเดิม
ปู้ฟางยกมือขึ้นช้าๆ พลางฉวยท่อนฟืนที่อาเฉินขว้างเอาไว้ สีหน้ายังสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
ตอนนี้พลังปราณของปู้ฟางอยู่ที่ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ แต่ในความเป็นจริงพลังการต่อสู้ของเขาไม่ได้แข็งแกร่งนัก เทียบได้กับขั้นราชันยุทธการห่วยๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับขั้นจักรพรรดิยุทธการทั่วไป ทว่าอาเฉินที่แม้จะมีสีหน้าท่าทางดุร้าย แต่พลังปราณกลับอยู่เพียงระดับสี่ขั้นจิตยุทธการเท่านั้น
ระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ… ปู้ฟางไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย
ปู้ฟางยืดตัวยืนตรงอย่างองอาจ ฟืนติดไฟทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มเหวี่ยงฟืนใส่อีกฝ่าย ทำเอาอาเฉินลงไปนั่งคุกเข่า เก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังหักกระจายลงกับพื้น
“ไอ้สารเลว!” อาเฉินเกรี้ยวกราด
ชายร่างหนาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือทั้งที่หัวเดียวกระเทียมลีบ นี่อยากโดนฆ่าตายมากนักหรืออย่างไร
ปู้ฟางควงฟืนในมือเล่น จู่ๆ ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา เลยขว้างฟืนในมือทิ้งมั่วๆ จนเกิดเสียงดังเมื่อมันหล่นกระทบพื้น
“ไอ้หนุ่ม เจ้าเป็นคนแรกเลยที่กล้าทำตัวโง่เขลาไร้สติปัญญาในหอวสันต์สุคนธ์แห่งนี้!” อาเฉินโกรธจนไฟแทบลุกท่วมศีรษะ พลังปราณเที่ยงแท้หลั่งไหลออกจากกาย ส่งให้เกิดกระแสลมรุนแรงพัดกระหน่ำอยู่ในห้อง
ปู้ฟางเลิกคิ้ว หมอนี่ไม่รู้ตัวหรอกรึว่าเมื่อไรควรหยุด
ตู้ม
พลังปราณรุนแรงระเบิดออกจากร่างของอาเฉิน พร้อมเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจที่อีกฝ่ายเปล่งออกมา ในหมู่ผู้คุ้มกันของหอวสันต์สุคนธ์ เขาเป็นคนที่มีขั้นปราณสูงสุด ด้วยเหตุนี้จึงได้ตำแหน่งหัวหน้าผู้คุ้มกันไปครอง ขั้นปราณคือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เขามีแล้ว
ผู้ฝึกตนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการจัดได้ว่าเป็นนักรบชั้นยอดในเมืองนี้ ด้วยเหตุที่นครใต้เป็นเมืองการค้า นักรบผู้แข็งแกร่งที่อาศัยอยู่ที่นี่จึงมีไม่มาก
ปู้ฟางชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งสงบ ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าชายร่างใหญ่ตรงหน้าไปเอาความมั่นหน้ามาจากไหน ไม่ต้องพูดถึงระดับสี่ขั้นจิตยุทธการเลย… กระทั่งระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเขาก็เคยเผชิญหน้ามาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชายหนุ่มจะไม่คิดใยดีกับอีแค่ระดับสี่กระจอกงอกง่อย
“เลิกกวนใจข้าเสียที”
เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาข้องเกี่ยวกับคนเหล่านี้
ปู้ฟางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่พลังปราณในแกนพลังเริ่มหมุนวน พลังปราณเที่ยงแท้ไหลทะลักออกมาจากตัว ก่อเกิดเป็นพลังกดดันรุนแรงน่าเกรงขาม
อาเฉินถูกพลังกดดันกระแทกล้มก่อนที่จะทันได้ปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ในกายออกมา ตอนนั้นเองชายร่างหนาก็แทบกระโดดลุกขึ้นด้วยความหวาดกลัว ไอ้หนุ่มขี้เท่อหน้าตาผิวพรรณสะอาดสะอ้านคนนี้ จู่ๆ ก็กลายมาเป็นภูเขาสูงใหญ่ที่แทบจะทับลงมาจนทำให้เขาขาดใจตาย
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้นี่ช่างน่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้
เพล้ง… ชั้นของพลังปราณเที่ยงแท้ที่โอบล้อมตัวอาเฉินอยู่สลายหายไปทันที ร่างของเขาซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะล้มจ้ำเบ้าลงกับพื้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นสะท้านส่วนริมฝีปากก็สั่นระริกไม่หยุด
เวรเถอะ ไอ้หน้าละอ่อนนี่จริงๆ แล้วเป็นผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการหรือนี่! พลังระดับนี้… เขาเคยรู้สึกได้จากท่านแม่ทัพใหญ่ของนครใต้เพียงคนเดียวเท่านั้น!
มาถึงตอนนี้ชายร่างหนาก็รู้สึกอยากตบหน้าแม่นางหลิวให้ตื่นรู้กับเขาบ้างเสียจริงๆ ไอ้คำพูดของนางที่ว่า “เต๊ะท่าใหญ่โต” กับ “เป็นแค่พ่อครัว” มันคืออะไรกันแน่ ไอ้หนุ่มตรงหน้าพวกเขานั้นเป็นถึงขั้นจักรพรรดิยุทธการต่างหากล่ะ!
หมอนี่บี้เขาให้แบนติดพื้นได้ด้วยนิ้วเดียวด้วยซ้ำ เต๊ะท่าหรือ ช่างน่าขำ แม้แต่เถ้าแก่ใหญ่ที่คุมหอวสันต์สุคนธ์อยู่ยังไม่กล้าแหยมกับขั้นจักรพรรดิยุทธการเลย ในนครใต้นี้ผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการจัดว่าใหญ่คับเมืองชนิดไม่ต้องมานั่งเต๊ะท่าแล้ว
พลังกดดันของปู้ฟางไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ากำลังคุกคาม มันออกจะสงบนิ่งและเยือกเย็นไม่ต่างจากบุคลิกของเจ้าตัว แต่อย่างไรก็ยังเป็นพลังของขั้นจักรพรรดิยุทธการอยู่ดี ดังนั้นทุกคนในที่แห่งนี้จึงล้วนรู้สึกหายใจหายคอไม่ออกเมื่อต้องเผชิญกับพลังกดดันดังกล่าว
ปู้ฟางมองไปรอบๆ พอได้เห็นเหล่าฝูงชนที่หวาดกลัว เขาก็เลิกคิ้วสูงทันใด รู้สึกเบื่อขึ้นมานิดๆ
เขาหยิบผลึกขึ้นมาหนึ่งชิ้นจากกระเป๋าคลังเก็บแล้วโยนลงบนโต๊ะ
ผลึกแวววาวส่งเสียงดังแกร๊กเมื่อกระทบกับผิวโต๊ะ เสียงนั้นดังก้องอยู่ในโสตประสาทของแม่นางหลิวและชาวคณะ เปลี่ยนแข้งขาของทุกคนให้กลายเป็นวุ้นยวบยาบทันที
แม่นางหลิวรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นคนโง่เง่าไร้สมอง นางทำพลาดอีกครั้งแล้ว พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ใช่พ่อครัวสักหน่อย แต่เป็นผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการผู้แข็งแกร่งต่างหาก
แม่นางหลิวอยากร่ำไห้ออกมาด้วยความท้อแท้ เหตุใดพ่อหนุ่มนี่จึงต้องทรมานกันเช่นนี้ด้วย
ปู้ฟางเอามือไพล่หลังไล่สายตามองทุกคนในห้องอย่างเย็นชา สุดท้ายดวงตาของเขาก็ไปหยุดลงที่ร่างแม่นางหลิว เขายกริมฝีปากขึ้นพลางเอ่ยถาม “หนึ่งผลึก… พอค่าอาหารหรือไม่”
ขาของแม่นางหลิวสั่นเทิ้ม นางอยากร่ำไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้เช็ด หญิงสาวตอบพร้อมพยักหน้ารัว “พอ พอจ้ะ พอแน่นอน”
อย่าว่าแต่อาหารพวกนี้เลย ผลึกหนึ่งชิ้นมากพอให้ซื้อห้องนี้ทั้งห้องด้วยซ้ำ อาหารของหอนี้ทำมาจากวัตถุดิบดาษดื่นธรรมดาไม่ได้มีราคาค่างวดขนาดนั้น
“ดี เช่นนั้นข้ามีคำถามจะถามอีกข้อ ช่วยตอบตามตรงด้วย” ปู้ฟางเอ่ยเสียงเรียบ
หัวใจของแม่นางหลิวเหมือนถูกบีบ แต่นางก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับอาหารขึ้นชื่อของนครใต้ที ข้าจะไปหาของอร่อยของที่นี่กินได้ที่ไหนบ้าง” ปู้ฟางถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หือ
แม่นางหลิวอึ้งไป คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องก็ไม่ต่างกัน ไอ้หนุ่มนี่ถามเรื่องอาหารอีกแล้วหรือ
ไม่มีใครคาดคิดว่าปู้ฟางจะทิ้งทวนด้วยคำถามนี้ เอาเข้าจริงมันฟังดูน่าขันไม่น้อย
แม่นางหลิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่ปู้ฟางไม่ทำลายหอสวันต์สุคนธ์ทิ้งอย่างโกรธเกรี้ยว จะถามอะไรนางก็ไม่ว่าเลยจริงๆ
“นายท่าน ท่านเพิ่งกินของขึ้นชื่อของนครใต้ไปเอง นั่นคือซาลาเปาไส้หมูทอดซึ่งจัดได้ว่าเป็นอาหารจานเอกลำดับต้นๆ ของเมืองนี้ ซาลาเปาที่ท่านกินพ่อครัวของหอวสันต์สุคนธ์เป็นคนทำขึ้น จึงไม่แปลกที่ท่านจะไม่รู้สึกชื่นชอบ เพราะไม่ได้จัดว่าเป็นต้นตำรับ” แม่นางหลิวตอบ
ปู้ฟางผงะไป กลายเป็นว่าซาลาเปาไส้หมูทอดคือของกินขึ้นชื่อของนครใต้หรือนี่ มิน่ารสชาติถึงได้ล้ำเลิศกว่าจานอื่นๆ ที่เขาได้ลิ้มรส
“เช่นนั้นข้าจะไปหาซาลาเปาไส้หมูต้นตำรับได้จากที่ไหน”
“นายท่านหาไม่ได้อีกแล้ว คนเดียวที่ทำซาลาเปาไส้หมูทอดซึ่งจัดได้ว่าเป็นต้นตำรับที่สุดก็คือแม่นางหลินของร้านซาลาเปานึ่งตระกูลหลิน นางไม่เพียงสืบทอดทักษะการทำอาหารมาจากปู่นาง แต่ยังมีรูปโฉมงดงามอีกด้วย ความจริงนางได้รับสมญาว่าเป็น “เทพธิดาซาลาเปา” น่าเสียดายที่นางแต่งเข้าตระกูลเซียวไปและไม่ทำซาลาเปาอีก เดี๋ยวนี้การจะได้ลิ้มรสซาลาเปาฝีมือแม่นางหลินนับว่าเป็นเรื่องยากมากๆ” แม่นางหลิวถอนหายใจ
นางนึกถึงยุครุ่งเรืองของร้านซาลาเปานึ่งตระกูลหลิวที่ทุกวันต้องมีผู้คนหลั่งไหลกันมาต่อแถวซื้อจนเลยไปหลายช่วงถนน น่าเสียดายที่บรรยากาศเช่นนั้นจะไม่กลับมาอีก และนางก็จะไม่ได้กินซาลาเปาไส้หมูทอดแสนอร่อยอีกแล้วเช่นกัน
“เหตุใดนางถึงเลิกทำซาลาเปาเล่า เหตุใดจึงปล่อยให้สูตรอาหารอร่อยต้องสูญเปล่าไป” ปู้ฟางขมวดคิ้วพลางถามอย่างงุนงง
แม่นางหลิวหรี่ตามองปู้ฟางอย่างระแวดระวังก่อนเอ่ยตอบ “เป็นเพราะคุณชายสองของบ้านสกุลเซียวไม่อยากให้แม่นางหลินอวดความงามให้ใครต่อใครดูทั้งวัน จึงห้ามนางทำซาลาเปาอีก ด้วยเหตุนี้ร้านซาลาเปานึ่งตระกูลหลินจึงต้องปิดตัวลง”
ตระกูลเซียวที่มั่งคั่งและมีอิทธิพลของนครใต้รึ
ในเมื่อมีของอร่อยต้นตำรับอยู่ในมือแท้ๆ คนพวกนั้นกลับปล่อยให้หายไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
ปู้ฟางเศร้าใจเล็กน้อย เขาตั้งใจมาที่นครใต้เพื่อเสาะหาอาหารอร่อยต้นตำรับ จะให้กลับบ้านมือเปล่าได้อย่างไร
“เข้าใจแล้ว ขอบใจที่ให้ข้อมูลข้า” ปู้ฟางสูดหายใจลึก ปรายตามองฝูงชนที่ยังคงประหม่าอีกรอบ แล้วก็ถอนพลังกดดันกลับมา จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบแสงสีแดงวาบก่อนเดินตามหลังปู้ฟางไป
ไม่นานทั้งสองก็ออกจากหอวสันต์สุคนธ์
ทุกคนในห้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต่างหมดเรี่ยวแรงจนลงไปกองอยู่กับพื้น พลังกดดันของขั้นจักรพรรดิยุทธการทำให้พวกเขาหายใจหายคอแทบไม่ออกจนเกือบจะตายไปจริงๆ โชคยังดีที่คุณชายท่านนี้ไม่คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไร
ปู้ฟางไม่ได้มีเจตนาจะมาหาเรื่องแต่อย่างใด เขาแค่ต้องการลิ้มรสของอร่อยเท่านั้น แต่อาหารของหอวสันต์สุคนธ์นั้นแย่เกินจะกลืนลงคอจริงๆ
เมื่อออกมายืนบนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนอีกครั้ง ปู้ฟางก็ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย เขารู้สึกหัวโล่งและผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อไม่ต้องอยู่ท่ามกลางกลิ่นแป้งแต่งหน้าให้รำคาญใจ
“เถ้าแก่ปู้”
ขณะที่ปู้ฟางกำลังยกแขนเหยียดตัวอยู่นั้น เสียงอ่อนโยนรื่นหูของสตรีก็ดังขึ้นด้านหลังเขา
ดวงตาของปู้ฟางหรี่ลง ใบหน้าแข็งค้าง แขนที่เหยียดอยู่ก็ค้างอยู่อย่างนั้น
ผีบ้าอะไรนี่ ในนครใต้แห่งนี้…เหตุใดจึงมีคนเรียกข้าว่าเถ้าแก่ปู้ได้! หัวใจของปู้ฟางเต้นรัว เขาค่อยๆ หมุนคอไปมอง แล้วก็ได้เห็นสาวงามสะดุดตาตรงหน้า หญิงสาวผู้นี้สวมผ้าคลุมหน้า แต่ดวงตากลับระยิบระยับน่าหลงใหลราวกับทะเลสาบในฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่ปาน
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาระยับราวสายน้ำของเซียวเยียนอวี่ นางปรายตามองหอวสันต์สุคนธ์ที่อยู่ด้านข้าง แล้วย้ายสายตามามองปู้ฟางที่กำลังมึนงงอยู่ จากนั้นก็ทำหน้าราวกับเพิ่งค้นพบเรื่องน่ากลัว
“ไม่คิดเลยว่า… เถ้าแก้ปู้จะเป็นคนเช่นนี้” เซียวเยียนอวี่ตกตะลึงขณะพึมพำออกมา