เมื่อเจอข้อเสนอแสนน่าขันของเด็กหนุ่มจอมโอหัง ปู้ฟางก็ไม่รู้จะไปต่ออย่างไรดี
มีคนอยากซื้อเจ้าขาว ช่างเป็นคนที่… รสนิยมแปลกดีแท้ ปู้ฟางหันกลับไปมองเจ้าขาวพลางสำรวจหุ่นเชิดคู่ใจตั้งแต่หัวจดเท้า แน่นอนว่าเจ้าขาวของเขาดูปกติเป็นที่สุด แถมยังอ้วนมากอีกด้วย เหตุใดจึงมีคนอยากได้มันกัน
ลูกค้าที่มากินอาหารที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางในนครหลวงเป็นประจำทุกวันเรียกได้ว่าอู้ฟู่กันทุกคน แต่กลับไม่เคยมีใครเสนอขอซื้อเจ้าขาวมาก่อน เจ้าเด็กนี่ช่างกล้าบ้าบิ่นเสียจริง
“เจ้าขาว ได้ยินหรือไม่ ดูเหมือนว่าในโลกนี้จะยังพอมีคนชอบเจ้าอยู่นะ” ปู้ฟางลูบพุงอ้วนกลมของเจ้าขาวด้วยสีหน้าจริงจังพลางพูดเสียงขรึม
ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบแสงสีแดง มันยกมือใหญ่เหมือนพัดขึ้นมาลูบศีรษะโล้นของตัวเอง… ใบหน้าดูตกใจไม่แพ้เจ้าของ
“ว่าอย่างไรเล่า บอกราคามาเลย” มุมปากของเด็กหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะมองปู้ฟาง
บรรดาเด็กๆ และข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มก็มองปู้ฟางด้วยสายตายั่วยุเช่นกัน
คิดว่าสิ่งที่ตระกูลเซียวแห่งนครใต้มีมากที่สุดคืออะไรกัน ก็ต้องเป็นเงินแน่นอนอยู่แล้ว! ตระกูลของพวกเขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองแห่งนี้ แม้ตอนนี้ตระกูลจะไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดทั้งในแง่ของอาณาเขตที่ครอบครองและสถานะ แต่ก็ยังทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำในเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเซียวเหมิงเองก็ยิ่งใหญ่พอที่จะยกสถานะของตระกูลเซียวได้ ความจริงที่ว่าเขามาจากตระกูลเซียวในเมืองนครใต้จัดได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากพอตัวเลยทีเดียว
“ไม่ละ มันแพงเกินกว่าที่เจ้าจะจ่ายไหว” ปู้ฟางทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเวทนาขณะมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาสงบนิ่ง
“แพงกว่าที่ข้าจะจ่ายไหวรึ อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปาก… ข้าเสนอพันเหรียญทองเลยเอ้า มอบหุ่นเชิดโลหะตัวนี้ให้ข้าเสียดีๆ” เด็กหนุ่มพ่นลมเยาะพลางปัดคำเกทับของปู้ฟางทิ้งไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
กับอีแค่หุ่นเชิดโลหะ มันวิเศษวิโสขนาดจะไปบุกดวงจันทร์หรือกินผลึกเป็นอาหารหรืออย่างไร
พันเหรียญทอง… ปู้ฟางปากกระตุก จากนั้นก็มองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเหมือนมองคนบ้าใบ้พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง อาหารที่เจ้าขาวทำลายทิ้งในแต่ละวันยังแพงกว่าพันเหรียญทองมากนัก เจ้าเด็กนี่มองเขาเป็นขอทานหรืออย่างไร
“พันเหรียญทอง… ฮ่าๆ ตลกดี” ปู้ฟางเอ่ยเย้ยเสียงเย็นแต่ใบหน้ายังคงนิ่งสนิท
ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบแสง มันมองปู้ฟางจากนั้นก็มองเด็กหนุ่ม
“ไอ้บ้านนอก อย่าโลภมากนักเลย แค่ข้าสนใจหุ่นเชิดนี่ก็นับเป็นบุญของเจ้านักหนาแล้ว!” เด็กหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แค่เขาเสนอจะซื้อหุ่นเชิดซอมซ่อนี่ด้วยราคาพันเหรียญทองยังไม่มากพออีกหรือ เดี๋ยวนี้พวกบ้านนอกหัดโลภมากตั้งแต่เมื่อไรกัน
ปู้ฟางมุ่นคิ้วเม้มปาก จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “หยุดไร้สาระเสียที ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าเจ้าไม่มีเงินพอจ่ายหรอก”
ไร้สาระบ้านบิดาเจ้าสิ! เด็กหนุ่มจ้องอีกฝ่ายตาเขียวพลางโบกมือเพื่อเรียกเหรียญทองถุงใหญ่ออกมา เขาโยนเหรียญทองลงบนพื้นดังปัง เหรียญข้างในไหลออกจากปากถุงที่เปิดออกทันที
“อะ เอาไปสองพันเหรียญทอง มากพอหรือยัง ท่านแม่ข้าบอกเสมอว่าอย่าริอ่านเป็นคนโลภมากไม่รู้จักพอ” เด็กหนุ่มเย้ย
ปู้ฟางผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ยื่นมือมาตบศีรษะเด็กหนุ่ม “เลิกเล่นขายของได้แล้ว หุ่นเชิดนี่ใช้เหรียญทองซื้อไม่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง จากนั้นก็จ้องมองฝ่ามือปู้ฟางที่อยู่บนศีรษะตัวเองเหมือนกำลังอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เขางงเป็นอันมาก… ว่าตนไปสนิทกับหมอนี่ตั้งแต่เมื่อไร
แต่ตอนนั้นเองเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เด็กหนุ่มมองชายตรงหน้าที่ดีดนิ้วเรียกผลึกประกายระยิบระยับออกมาวางในมือ
ปู้ฟางประกาศเสียงเรียบ “หากอยากซื้อก็ต้องใช้สิ่งนี้”
ผลึก… หลอกข้าเล่นหรืออย่างไรกัน ไอ้หุ่นเชิดนี่มันจะไปมีค่าเป็นหน่วยผลึกได้อย่างไรกัน
“เจ้าพูดบ้าอะไร…” เด็กหนุ่มถามอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย
แต่เขายังพูดไม่ทันจบ ปู้ฟางก็โยนผลึกในมือใส่เจ้าขาวทันที ผลึกนั้นหมุนวนเป็นวงกลมกลางอากาศ ก่อนจะตกลงไปในช่องท้องที่เปิดออกของเจ้าขาวพร้อมเสียงดังแคร้ง
“ครืด——”
ท้องของเจ้าขาวปิดลงอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงผลึกถูกบดเป็นผุยผง ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้ขนลุกซู่ขึ้นมารวมถึงเด็กหนุ่มแสนยโสผู้นี้ด้วย หุ่นเชิดโลหะนี่… กินผลึกเป็นอาหารเช่นนั้นรึ!
“ข้าถึงบอกอย่างไรว่าเจ้าซื้อไม่ไหว ใครที่รู้จักข้าดีย่อมรู้ว่าเรื่องการเกทับนั้นข้าไม่ถนัดเป็นที่สุด” ปู้ฟางลูบท้องอ้วนกลมสีขาวของเจ้าขาวพลางพูดเสียงเรียบ
จากนั้นเขาก็เดินจากคณะนั้นมาพร้อมหุ่นเชิดคู่ใจ
ตอนที่ร่างของปู้ฟางเกือบจะลับสายตาไป เด็กหนุ่มก็เรียกสติกลับมาได้ในที่สุด ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นทันที
“เจ้านั่นเป็นใครกัน หุ่นเชิดที่กินผลึกเป็นอาหาร ช่างน่าตื่นตาตื่นใจอะไรเช่นนี้! หากเขามีผลึกติดตัว… ก็แปลว่าไม่ใช่คนจนน่ะสิ! หรือว่าจะเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดที่ท่านลุงใหญ่เชิญมาที่บ้าน”
“นายน้อยอวี่ ท่านผู้นี้เป็นสหายของแม่นางเยียนอวี่ขอรับ ทางเราจัดห้องลับตาให้เขาพักอาศัย…” ข้ารับใช้ที่รู้เรื่องราวทั้งหมดก้มลงเล่าเรื่องให้เด็กหนุ่มฟัง
“จะบ้ารึ! จัดห้องห่วยๆ นั่นให้คนเข้าไปนอนเนี่ยนะ หากเขาเป็นสหายของพี่หญิงเยียนอวี่ จะให้ไปนอนในห้องเน่าๆ เช่นนั้นได้อย่างไรกัน ไอ้โง่หน้าไหนเป็นคนตัดสินใจเนี่ย เจ้า ไปจัดเตรียมห้องที่ดีที่สุดให้พี่ชายคนนั้นเดี๋ยวนี้!” เซียวอวี่ไม่พอใจเป็นอันมากเมื่อได้ยิน เขาชักสีหน้าพลางดุข้ารับใช้คนนั้นทันที
ใบหน้าของข้ารับใช้พลันแข็งทื่อ เขารีบรุดออกไปปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เซียวอวี่หยิบถุงเหรียญทองขึ้นมาจากพื้น ดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็เดินต้อยๆ ตามปู้ฟางไปเหมือนสุนัขตัวน้อยติดตามเจ้าของ
“ศิษย์พี่ที่น่าเคารพ ราคานี้เรายังต่อรองกันได้หรือไม่ขอรับ… ท่านคิดว่าสิบผลึกเป็นอย่างไร หรือว่าจะยี่สิบผลึกดี”
…
ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเซียวอยู่ในตึกที่เก่าแก่กว่าใครเพื่อน ตึกนี้มีมาตั้งแต่ตระกูลเซียวย้ายถิ่นฐานมาที่เมืองนครใต้เป็นครั้งแรก สาแหรกตระกูลเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกิจการในเมืองนครใต้ก็แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปจนมั่งคั่งพอให้สร้างตึกใหม่ๆ ขึ้นมาอีกมากมาย มีเพียงตึกเก่าตึกนี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อชั่วอายุคนแรก
เซียวเยียนอวี่ผลักประตูซ่อมซ่อของห้องโถงพลางก้าวเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง
ในห้องนั้นจุดกำยาน ส่งกลิ่นหอมผ่อนคลายจิตใจ
นางก้าวเท้าไปเรื่อยๆ แล้วไปหยุดอยู่หน้าห้องเล็กห้องหนึ่ง จากนั้นก็ผลักบานประตู กลิ่นชาหอมฟุ้งพุ่งเข้าปะทะใบหน้า
“ท่านปู่เจ้าคะ” นางคำนับเล็กน้อย
ชายชราใบหน้าเหี่ยวย่นนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง เขามองเซียวเยียนอวี่ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักแล้วยิ้มออกมา “แม่หนูของปู่ มาแล้วรึ
“มาๆ มานั่งจิบชาด้วยกันก่อนสิ นี่เป็นชาสายธารอรุณเบิกที่ข้าให้ท่านอาของเจ้าสั่งมาจากมณฑลเจียนหนิง อร่อยมากเลยทีเดียวเชียว”
ชายชราส่งถ้วยชาให้เซียวเยียนอวี่ จากนั้นก็ยกกาชาขึ้นสูงกลางอากาศอย่างชำนาญ เพื่อเทน้ำชาสีเหลืองอ่อนออกจากพวยกาลงในจอก
เซียวเยียนอวี่เปิดผ้าคลุมหน้าออกพลางเอ่ยขอบคุณผู้เป็นปู่ จากนั้นก็ยกจอกชาขึ้นจดริมฝีปากแล้วจิบเล็กน้อย
กลิ่นชาหอมกระจายไปทั่วปาก เมื่อรสชาติขมจางหายไปก็ทิ้งเพียงความหวานจางๆ ไว้ที่ปลายลิ้น พลังปราณภายในน้ำชาไหลสู่ร่างกายของเซียวเยียนอวี่ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตนเองกำลังอาบแสงแดดอบอุ่นอยู่
“ฮ่าๆ หนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ค่อยจะได้มานั่งจิบชากันเลย แต่พ่อของเจ้าบอกข้าว่าเจ้าชำนาญเรื่องการชงชาไม่น้อย ไว้เจ้าว่างเมื่อไรก็หาเวลามาชงชาให้คนแก่อย่างข้าชิมบ้างสิ” ชายชราหัวเราะในลำคอ
ชาสายธารอรุณเบิกจากมณฑลเจียนหนิงเป็นชาชื่อดังในจักรวรรดิวายุแผ่ว แน่นอนว่าราคาย่อมแพงหูฉี่ตามคุณภาพ
“ท่านปู่ อย่าแหย่ข้าเลยเจ้าค่ะ เยียนอวี่นั้นยินดีชงชาให้ท่านปู่ชิมเสมออยู่แล้ว” เซียวเยียนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ชายชราลูบหนวดยาวของตัวเองแล้วหัวเราะอย่างพึงพอใจ หลังจากที่พูดคุยกันเล็กน้อย เขาก็เข้าเรื่องหลักของการหารือ
“หลานปู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าปู่เรียกเจ้ามาจากนครหลวงด้วยเหตุอะไร” ชายชราถอนหายใจยาว จากนั้นก็จิบชาก่อนเอ่ยถาม
เซียวเยียนอวี่ไม่ได้ตอบ แต่รอเงียบๆ ให้คนเป็นปู่พูดต่อ
“หากเจ้าหรือเสี่ยวหลงไม่กลับมาที่นี่ ตระกูลเซียวที่เมืองนครใต้ของเรา… คงตกอยู่ในอันตรายมหันต์” ชายชราอธิบาย
เซียวเยียนอวี่หรี่ตาทันที ใบหน้าของนางเคร่งขรึมจริงจัง นางเลิกคิ้วขึ้นพลางถามด้วยน้ำเสียงงุนงง “หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ชายชรามองเซียวเยียนอวี่ด้วยสายตามีความหมาย จากนั้นก็หยิบขวดหยกสีดำออกมาจากกระเป๋า
“นี่เป็นโอสถทิพย์ที่ท่านอาสองของเจ้าซื้อมาจากพ่อค้าลึกลับเมื่อเดือนก่อน”
เซียวเยียนอวี่หยิบขวดหยกขึ้นมาดูพลางเทยาเม็ดสีดำออกมาหนึ่งเม็ด กลิ่นเหม็นรุนแรงพุ่งเข้าใส่โพรงจมูกของหญิงสาวทันที ทำให้นางต้องนิ่วหน้า
“กลิ่นอะไรกันนี่…”
“ข้าไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของโอสถทิพย์ที่ท่านอาสองของเจ้าซื้อมา แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มพลังปราณเที่ยงแท้ในกายได้ ท่านอาสองของเจ้าบรรลุปราณระดับหกทันทีที่กินยานี่เข้าไป” ชายชราพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ทั้งดีใจและเสียใจ
เซียวเยียนอวี่เลิกคิ้ว พลังปราณระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการเช่นนั้นหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การฉลองหรืออย่างไร หรือว่าโอสถทิพย์นี้จะมีปัญหาตามมาด้วย
“ใช่แล้ว… เป็นไปตามที่เจ้าคิดนั่นละ ยานี้มีผลข้างเคียงที่ร้ายกาจ ร้ายกาจมากจนประเมินไม่ได้เลยทีเดียว” ใบหน้าของชายชราดูขมขื่น
“แม้ท่านอาสองของเจ้าจะบรรลุปราณระดับหกได้สำเร็จ แต่ทุกครั้งที่เขาโคจรกระแสพลังปราณในร่างกายตอนฝึกปราณในเวลากลางคืน เขาจะรู้สึกเจ็บปวดไปหมดทั้งตัว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังทำให้ผิวหนังของเขาเริ่มเน่าอีกด้วย”
เซียวเยียนอวี่อุทานด้วยความตกใจจากนั้นก็โยนเม็ดยากลับเข้าขวดทันที ผิวหนังเน่านั้นไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยแม้แต่น้อยโดยเฉพาะกับหญิงสาว
“อืม… ตอนแรกที่พวกข้าตรวจสอบยานี้ มันดูไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อตระกูลเซียวเริ่มขายยาตัวนี้ ปัญหาก็ตามมามากมาย ทว่าพ่อค้าลึกลับก็กลับมาอีกครั้งเพื่อเสนอโอสถทิพย์อีกชนิด เป็นยาแก้พิษของยาชนิดแรก”
เซียวเยียนอวี่หรี่ตา รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้
“ข้อเสนอของพวกเขาไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร แค่ขอให้เจ้าหรือเสี่ยวหลงกลับมาที่เมืองนครใต้เท่านั้น… แต่ไม่ต้องกลัวไป พวกเขาต้องการเพียงให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ ไม่ได้จะทำอันตรายใดๆ มิเช่นนั้นข้าคงปฏิเสธไปแล้ว!” ชายชราสูดหายใจเข้าลึกพลางเอ่ยย้ำ
เซียวเยียนอวี่รักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ผิดความคาดหมายของผู้เป็นปู่อย่างมาก
“ท่านปู่ทราบหรือไม่ว่าคนลึกลับกลุ่มนี้เป็นใครเจ้าคะ” เซียวเยียนอวี่เอ่ยถาม คนพวกนี้ต้องการให้นางมาที่เมืองนครใต้… โดยไม่คิดทำอันตรายกับนาง แต่จู่ๆ กลับมีอสูรเวทระดับเจ็ดโผล่มานอกกำแพงเมืองเสียอย่างนั้น
คนพวกนี้เป็นใครกัน และพวกเขาต้องการอะไร!
ชายชรากลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปากลงไป ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “ข้าเดาได้เพียงว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการขัดขวางบิดาของเจ้า บางทีอาจจะ… เกี่ยวพันกับราชาอวี่ก็เป็นได้”
ราชาอวี่รึ! เป็นไปไม่ได้! หากกลุ่มอำนาจที่หนุนหลังราชาอวี่สามารถเรียกอสูรเวทระดับเจ็ดมาได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งอื่นแล้ว เพราะแม้แต่บิดาของนางก็อาจสยบอสูรเวทระดับนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“ข้าบอกได้เพียงว่า… หากข้าไม่เรียกเจ้ากลับมา ท่านอาสองของเจ้าอาจจะร่างกายเน่าเปื่อยจนเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นกิจการของตระกูลเซียวคงถูกโอสถทิพย์นั่นทำลายจนย่อยยับ ซึ่งนับเป็นความเสียหายที่เราจ่ายไม่ไหวอย่างแน่นอน”
เซียวเยียนอวี่ไม่ได้พูดอะไรอีก นางออกจากห้องโถงมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ขณะที่กำลังเดินอยู่ในสวนของตระกูลเซียว ดวงตาของนางก็มืดลง ใครกันนะที่สามารถเรียกอสูรเวทระดับเจ็ดออกมาได้ แต่กลับเรียกมาเพียงเพื่อขัดขวางบิดาของนางเท่านั้น… จุดประสงค์ที่แท้จริงของคนพวกนี้คืออะไรกันแน่
ตอนนั้นเองเซียวเยียนอวี่ก็งุนงงไปทันทีเมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ไกลออกไป นางชะงักค้างทำอะไรไม่ถูก
เถ้าแก่ปู้… ท่านกำลังทำอะไรอยู่น่ะ!
นางเห็นเถ้าแก่ปู้กำลังหิ้วคอเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้พลางเดินไปรอบสวนตระกูลเซียวด้วยสีหน้าตายด้าน พร้อมด้วยเจ้าขาวตัวอ้วนที่เดินตามหลังมาติดๆ