ฝ่ามือของปู้ฟางแข็งแรงมั่นคงเป็นอันมาก เขาจับคอเสื้อของเด็กหนุ่มเพื่อยกขึ้น ทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงก่ำเนื่องจากหายใจไม่ออก
“ศิษย์พี่ แค่มองดูปราดเดียวข้าก็รู้แล้วว่าท่านไม่ใช่ปุถุชนคนเดินดินธรรมดา หุ่นเชิดตัวนี้กินผลึกได้ ช่างน่าตื่นตาตื่นใจอะไรเช่นนี้ ขายให้ข้าในราคาห้าสิบผลึกได้หรือไม่ แค่นั้นก็เป็นเงินเก็บสิบปีของข้าแล้วนะ หากมีหุ่นเชิดนี้ รับรองต้องเป็นหมัดเด็ดที่เอาไปแหย่ให้ซาซาหัวเราะได้อย่างแน่นอน!” เซียวอวี่ที่ถูกปู้ฟางยกขึ้นด้วยมือเดียวโบกมือทั้งสองข้างไปมาพร้อมพึมพำกับตนเองอย่างไม่ยอมแพ้
“ใครคือซาซา” ปู้ฟางถาม
“บุตรสาวของเจ้าเมืองนครใต้… นางสวยมากเลยขอรับ! เราเคยชอบพอกันในวัยเด็ก ข้า…”
ปู้ฟางทำสีหน้าไร้อารมณ์ เขาเลิกฟังคำพูดของเด็กหนุ่มทันที หมัดเด็ดเช่นนั้นหรือ เจ้าเด็กนี่มันจะซื้อเจ้าขาวไปเพื่อจีบสาวเนี่ยนะ ทำไมไม่ทำอย่างชาวบ้านปกติที่มองข้ามหน้าตาไปรักกันที่จิตใจเล่า เจ้าขาวไม่ใช่หมัดเด็ดให้ใครต่อใครเอาไว้ใช้จีบสาวเสียหน่อย
“ราคาห้าสิบผลึกนั้นเท่าซี่โครงเปรี้ยวหวานจานเดียวเอง เจ้าคิดจะเอาเงินแค่นี้มาซื้อเจ้าขาวน่ะหรือ รู้หรือไม่ว่าวันวันหนึ่งเจ้าขาวได้กินซี่โครงเปรี้ยวหวานกี่จาน”
“เสี่ยวอวี่ เจ้าพูดบ้าบออะไรของเจ้าน่ะ!”
เซียวเยียนอวี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เหตุใดสองคนนี้ถึงมาเจอกันกลางสวนได้
ยิ่งไปกว่านั้นเซียวอวี่คนนี้ยังพูดออกมาอีกว่า…อยากซื้อเจ้าขาวที่ยืนอยู่ข้างหลังเถ้าแก่ปู้ด้วยเงินห้าสิบผลึก ช่างใจกล้าบ้าบิ่นเหลือเกินน้องชายข้า!
“อ้อ… เจ้ารู้จักเด็กนี่หรือ ช่างเป็นเด็กที่น่ารำคาญอะไรเช่นนี้” ปู้ฟางปล่อยเซียวอวี่ ทว่าตอนนั้นเองเด็กหนุ่มกลับตีลังกาครึ่งรอบเตรียมโจมตีปู้ฟางกลับ แต่ชายหนุ่มก็สกัดการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ได้ด้วยการเอามือดันศีรษะไว้
“ต้องให้ข้าบอกกี่รอบว่าเจ้าเลี้ยงเจ้าขาวไม่ไหวแน่ ยอมแพ้เสียเถิด เอาเงินไปซื้ออย่างอื่นจะเกิดประโยชน์กว่า” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบวาบ มันยกมือขึ้นลูบศีรษะตนเอง
“หยุดเล่นจำอวดได้แล้วเสี่ยวอวี่ เถ้าแก่ปู้พูดถูก เจ้าจ่ายไม่ไหวหรอก” เซียวเยียนอวี่ดึงแขนเสื้อของเซียวอวี่เอาไว้ “ที่เถ้าแก่ปู้พูดเป็นความจริงทุกประการ” นางเอ่ย
“พี่หญิงเยียนอวี่… เหตุใดจึงไม่เข้าข้างข้า ท่านต้องช่วยข้าโน้มน้าวศิษย์พี่ท่านนี้สิ หรือว่าท่านทั้งสองมีอะไรในกอไผ่กัน” เซียวอวี่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขณะมองชายหญิงทั้งสองด้วยสายตาเคลือบแคลง
เซียวเยียนอวี่เบิกตากว้าง แก้มของนางแดงปลั่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบศีรษะของเซียวอวี่ทันที
“เจ้าพูดบ้าอะไรกัน! ลองพูดอีกรอบซิ ข้าจะให้ท่านอาสะใภ้จับเจ้าคุกเข่าบนไม้ตะบองเขี้ยวหมาป่าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย!”
ใบหน้าของเซียวอวี่บึ้งตึง เขาไม่เปิดปากพูดอะไรอีก
“เถ้าแก่ปู้ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือว่าเสี่ยวหย่าดูแลท่านไม่ดี ข้ากำลังตามหาตัวท่านอยู่เชียว” เซียวเยียนอวี่ใบหน้าอ่อนลงขณะยิ้มให้ปู้ฟาง
ปู้ฟางยังคงรักษาสีหน้าสงบเอาไว้ได้เหมือนเดิม ดูแลไม่ดีหรือ… ต้องเรียกว่าดูแคลนข้าชนิดสุดลิ่มทิ่มประตูน่าจะเหมาะกว่า
“พี่หญิง หญิงรับใช้ของท่านพาศิษย์พี่ผู้นี้ไปที่ห้องรับรองต่ำศักดิ์ ไม่รู้นางใช้หัวแม่เท้าคิดหรืออย่างไรกัน ข้าสั่งให้คนของข้าจัดเตรียมห้องใหม่ให้สมฐานะของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น… ศิษย์พี่ท่านนี้กำลังตามหาตัวท่านอยู่ ข้าก็เลยพามา” เซียวอวี่พูดเสียงเบา
เซียวเยียนอวี่ชะงักทันที นางมุ่นคิ้ว เสี่ยวหย่านะเสี่ยวหย่า…
“เรื่องนั้นช่างมันเถิด เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่า หากข้าอยากกินซาลาเปาทอดไส้หมูสูตรต้นตำรับก็ต้องมาที่คฤหาสน์ตระกูลเซียว เช่นนั้นก็พาข้าไปหน่อยสิ” ปู้ฟางเอ่ย
เซียวเยียนอวี่เม้มปาก แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไร เซียวอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“อะไรนะ ศิษย์พี่ ท่านมาเพื่อกินซาลาเปาทอดไส้หมูหรือนี่ เห็นทีจะฝันสลายแล้วละ… แม่ข้าปลดประจำการไปนานแล้ว!”
ป้าบ! เซียวเยียนอวี่ตบศีรษะเซียวอวี่ชนิดไม่คิดออมแรง
“ปลดประจำการอะไรของเจ้า! เงียบไปเลยนะ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าพูดเสียหน่อย” ก่อนหน้านี้เซียวเยียนอวี่ก็อารมณ์ดีๆ อยู่ แต่พอได้ยินคำว่าปลดประจำการเข้าไป นางก็คันไม้คันมืออยากสั่งสอนเด็กหนุ่มทันที
“แม่นางหลินเป็นแม่ของเจ้าเด็กนี่หรือ” ปู้ฟางมองเซียวอวี่ด้วยสีหน้าตกใจ
“ใช่แล้ว เซียวอวี่เป็นบุตรชายของท่านอาสองของข้า เขามีนิสัยซุกซนเป็นตัวแสบประจำตระกูล ข้าต้องขออภัยด้วยหากเขาก่อเรื่องให้ท่าน” เซียวเยียนอวี่พูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย
“เขาไม่ได้ซุกซนหรือเป็นตัวแสบแม้แต่น้อย แค่พูดไม่รู้ภาษาคนและน่ารำคาญเท่านั้น” ปู้ฟางโบกมือพลางเอ่ยอย่างไม่ถือสา
ใบหน้าของเซียวอวี่เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันที เขามองปู้ฟางด้วยสายตาขุ่นเคืองและดื้อดึง เขาเพียงอยากขอซื้อเจ้าขาวเพื่อเอาไปจีบสาวเท่านั้น มันกลายเป็นพูดไม่รู้ภาษาคนไปได้อย่างไรกัน… ศิษย์พี่เป็นคนเช่นนี้เองหรอกหรือ
เซียวเยียนอวี่นำทางอยู่ข้างหน้า ทั้งสามเดินเรียงแถวกันไป
มารดาของเซียวอวี่นั้นมีสมญานามว่า “เทพธิดาซาลาเปา” หลังจากที่นางแต่งงานกับบิดาของเซียวอวี่ ก็ไม่ได้ทำซาลาเปาทอดไส้หมูมานานมากแล้ว นางจะทำเฉพาะช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากยิ่งที่คนทั่วไปจะได้ชิมรสมือนาง
“ท่านแม่ข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น หากท่านบอกจะไม่ทำ ท่านก็จะไม่ทำ ก่อนหน้านี้มีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากนครหลวงเพื่อขอซื้อซาลาเปาทอดไส้หมูด้วยผลึก ท่านแม่ข้ายังไม่ทำให้กินเลย” เซียวอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจในตัวมารดา
เซียวเยียนอวี่เหลือบตามองเด็กหนุ่มจากนั้นก็ยิ้มให้ปู้ฟางอย่างช่วยไม่ได้ ถือเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เซียวอวี่พูดเป็นเรื่องจริง
ปู้ฟางขมวดคิ้ว เทศกาลฤดูใบไม้ผลิเพิ่งจบไป แปลว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ชิมซาลาเปาทอดไส้หมูแล้วหรือ ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้
แต่เพราะเหตุนี้ ปู้ฟางจึงทวีความสงสัยในซาลาเปาทอดไส้หมูยิ่งขึ้นไปอีก
“ศิษย์พี่ ท่านขายเจ้าขาวให้ข้าสิ เดี๋ยวข้าจะไปโน้มน้าวท่านแม่ให้” เซียวอวี่ทำตาโตแล้วเริ่มปล่อยลูกล่อลูกชน
แต่ปู้ฟางกลับเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาไร้อารมณ์ “ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไรว่าเจ้าจ่ายไม่ไหวแน่นอน”
ใบหน้าของเซียวอวี่มืดลงเหมือนเทียนอับแสง
“เถ้าแก่ปู้ ให้ข้าพาท่านไปพบท่านอาสะใภ้เถิด ส่วนท่านจะโน้มน้าวใจนางสำเร็จหรือไม่นั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาก็แล้วกัน” เซียวเยียนอวี่เอ่ย
ปู้ฟางพยักหน้า ดูเหมือนว่าจะเหลือทางนี้ทางเดียวแล้ว
ทั้งสามเดินไปตามทางในสวนสวย ปู้ฟางเริ่มรู้สึกเหนื่อยจากการเดินแล้ว สวนอะไรกันกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คนที่อยู่ที่นี่ไม่หลงทางกันบ้างหรือ
หลังจากที่เดินอยู่ในสวนอยู่พักหนึ่ง ทั้งสามก็มาถึงลานกว้างใหญ่
เซียวอวี่เปิดประตูลานพลางตะโกนแจ้งข่าว “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วขอรับ”
เสียงขลุกขลักดังมาจากด้านใน ตามมาด้วยร่างงามที่เดินออกมาจากบ้าน คนผู้นี้เป็นสตรีวัยกลางคนหน้าตาสะสวย พรั่งพร้อมด้วยท่วงท่าสง่างามลุ่มลึกเหมือนน้ำนิ่ง นางมีทรวดทรงองเอวสวยงามและมีใบหน้าน่ารัก รอยยิ้มที่ส่งมาให้เป็นครั้งคราวทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
“เสี่ยวอวี่ กลับมาแล้วหรือ ท่านพ่อของเจ้าเพิ่งเข้าห้องไปเอง เข้ามาสิ อ้าว เยียนอวี่ก็มาด้วยหรือ เอ่อ… แล้วคนผู้นี้คือใครหรือจ๊ะ”
สตรีผู้สง่างามมองปู้ฟางด้วยสายตาสงสัยพลางหันไปถามเยียนอวี่ด้วยรอยยิ้ม
เซียวเยียนอวี่แนะนำปู้ฟางทันที แต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก
“ในเมื่อเป็นสหายของเยียนอวี่ เรามาต้อนรับเขาในฐานะแขกดีกว่าไหมจ๊ะ” สตรีผู้สง่างามผู้นี้มีนามว่าหลินฉินเอ๋อร์ หรืออีกชื่อคือแม่นางหลิน นางยิ้มสวยพลางเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่เร่งรีบ
เซียวอวี่คอตก การที่พ่อของเขาอยู่บ้านแปลว่าเขาจะกระโดกกระเดกไปมาไม่ได้นั่นเอง
ทันทีที่ปู้ฟางเดินเข้าตัวบ้านมา เขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์และชาหอมที่ลอยฟุ้งในอากาศ
บริเวณด้านในของบ้านกว้างขวางมาก ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น ด้านในมีโต๊ะและเก้าอี้ไม้ตั้งอยู่
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เขากำลังจิบชาพลางมองปู้ฟางที่เพิ่งเดินเข้าห้องมา
คนผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลา แม้ตอนนี้จะอยู่ในวัยกลางคน แต่ใบหน้าก็ยังสะท้อนถึงเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบเมื่อครั้งเยาว์วัย ใบหน้าของเขาให้ความรู้สึกเป็นวีรบุรุษเค้าเดียวกับเซียวเหมิงไม่มีผิด
ชายผู้นี้คือนายท่านลำดับสองของตระกูลเซียว เซียวเคออวิ่น
ปู้ฟางมองชายตรงหน้าแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ชายผู้นี้ดูมีพลังเต็มเปี่ยม แต่กลับเป็นแค่ภายนอกเท่านั้น ใต้ม่านพลังปราณแสนแข็งแกร่งมีร่องรอยความอ่อนแอซ่อนเร้นอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของชายวัยกลางคนยังมีเงามืดพาดผ่านเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่เงามืดปรากฏขึ้น พลังชีวิตของเขาจะถูกดูดกลืนไปเรื่อยๆ
ชายผู้นี้… มีอะไรแปลกๆ อยู่ภายในกาย
ขณะที่ปู้ฟางกำลังประเมินเซียวเคออวิ่นอยู่นั้น อีกฝ่ายก็กำลังพิจารณาเขาอยู่เช่นกัน รูม่านตาของชายวัยกลางคนหดแคบเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณกล้าแกร่งภายในกายของชายหนุ่มตรงหน้า
หัวใจของเซียวเคออวิ่นสั่นไหว เขาเปิดปากถามทันที
“พ่อหนุ่มคนนี้คือ”
“นี่คือเถ้าแก่ปู้ สหายของเยียนอวี่จากนครหลวงเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะพบกันโดยบังเอิญที่เมืองนครใต้แห่งนี้ เยียนอวี่จึงชวนเขามาพักในฐานะแขกของบ้านเรา” หลินฉินเอ๋อร์อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ… ความจริงข้ามาที่คฤหาสน์ตระกูลเซียวเพื่อขอชิมซาลาเปาทอดไส้หมูฝีมือท่าน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากขอร้องให้ท่านทำให้ข้าชิมสักจานหนึ่งได้หรือไม่” ปู้ฟางผสานมือคารวะพลางพูดกับหลินฉินเอ๋อร์อย่างอ่อนน้อม
“ท่านอาสอง เถ้าแก่ปู้อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไกลจากนครหลวงมายังเมืองนครใต้แห่งนี้เพื่อชิมรสมือของท่านอาสะใภ้ ไม่ทราบว่า…” เซียวเยียนอวี่มองเซียวเคออวิ่นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ ก็พลันถูกท่าทีเย็นชาของเซียวเคออวิ่นขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ได้ ฉินเอ๋อร์ไม่ทำซาลาเปาแล้ว ขอพ่อหนุ่มจงกลับไปเถิด” ใบหน้าของเซียวเคออวิ่นเคร่งขรึมขึ้นทันที เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวไล่แขกอย่างตรงไปตรงมา
ใบหน้าของเซียวเยียนอวี่พลันแข็งทื่อ นางหันไปมองหน้าปู้ฟางอย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไร
หลินฉินเอ๋อร์มองหน้าปู้ฟางแล้วยิ้มอย่างขออภัย อันเป็นการบอกอย่างชัดเจนว่านางไม่ประสงค์ทำตามคำขอของเขา
“ท่านแม่… แต่ศิษย์พี่เดินทางไกลมาจากนครหลวงเชียวนะขอรับ จะไม่ทำสักจานหรือ ข้าเองก็ไม่ได้ชิมอาหารฝีมือท่านแม่นานแล้ว” เซียวอวี่เองก็ผสมโรงขอร้องไปด้วย
“เจ้าไม่ต้องพูด ผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่ เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรแทรก” เซียวเคออวิ่นหันไปมองบุตรชายพลางพูดอย่างไม่ยี่หระ
เซียวอวี่เงียบปากทันที เขาคอตกอีกครั้ง ใช่สิ ยินดีด้วยนะที่อยู่มานานกว่า…
“เถ้าแก่ปู้ใช่หรือไม่ ข้าขอโทษด้วยจริงๆ แต่เพราะร่างกายของนางอ่อนแอนัก นานแล้วที่ภรรยาที่รักของข้าไม่ได้เข้าครัวทำซาลาเปาทอดไส้หมู ข้าขอโทษจริงๆ แต่ขอให้ท่านกลับไปเถิด ในเมืองนครใต้แห่งนี้ยังมีอาหารเลิศรสอีกมาก ไม่ได้มีเพียงซาลาเปาทอดไส้หมูเท่านั้น ท่านจงไปลองชิมอาหารรายการอื่นในเมืองของเราเถิด”
เซียวเคออวิ่นพูดเชิญให้แขกกลับไปอีกครั้ง
ปู้ฟางขมวดคิ้วแล้วเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ ในเมื่อนางไม่ทำก็ไม่เป็นไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงลุกขึ้นยืน ตั้งใจว่าจะเดินไปที่ทางออก แต่ทันใดนั้นเสียงอสูรร้องคำรามก็ดังก้องไปทั่วนครใต้อีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมเสียงกระแทกกำแพงเมือง