กลิ่นเหม็นรุนแรงกระจายไปทั่วครัว ทำให้ทุกคนต้องยกมือบีบจมูกด้วยความสะอิดสะเอียน กลิ่นนั้นช่างเลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะทนไหว
ปู้ฟางขมวดคิ้วก่อนยกมือขึ้นโบกบริเวณจมูก เขาก้าวช้าๆ ออกไปจากห้องครัวก่อนออกคำสั่งเสียงขรึม “ใครสักคนช่วยดูเขาไว้ด้วย พอพิษถูกขับออกมาหมด เขาน่าจะมีแรงขึ้น”
สมาชิกตระกูลเซียวจ้องหน้ากันอยู่ไปมาอย่างมึนงง สุดท้ายหลินฉินเอ๋อร์และเซียวอวี่ก็รอดูคนเจ็บ ส่วนคนที่เหลือต่างแยกย้ายกันออกไป
ด้านเซียวเยียนอวี่นั้นเดินตามปู้ฟางออกมาที่สวนของคฤหาสน์ตระกูลเซียว
ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆ ลับขอบฟ้า ส่งแสงสุดท้ายขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงอาทิตย์อัสดงทำให้เงาของทั้งคู่เป็นทางยาว สร้างบรรยากาศที่เกิดขึ้นได้เฉพาะในช่วงเวลานี้
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปทั้งดวง ความมืดก็เข้าปกคลุมา ดาวดวงน้อยกะพริบแสงอยู่รายรอบดวงจันทร์เสี้ยวสองดวง สุดท้ายปู้ฟางกับเซียวเยียนอวี่ก็เดินกลับเข้ามาในห้องโถงตระกูลเซียว
เซียวเคออวิ่นหายดีแล้ว เขาอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายจากพิษและกลิ่นเหม็นสาบเรียบร้อย ชายวัยกลางคนยังดูอ่อนแรงอยู่บ้างเพราะใบหน้ายังซีดเซียวริมฝีปากไร้สีเลือด เห็นได้ชัดว่ากระบวนการขจัดพิษนั้นช่างทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าใบหน้าของหลินฉินเอ๋อร์และเซียวอวี่กลับมีรอยยิ้มกว้าง อีกทั้งสีหน้าของสมาชิกตระกูลเซียวคนอื่นๆ ก็โล่งใจขึ้นมาก เมื่อเห็นว่าพิษในกายของเซียวเคออวิ่นถูกกำจัดไปหมดแล้ว
“ขอบคุณคุณชายปู้มากที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้” เซียวเคออวิ่นลุกขึ้นยืน ถึงแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ เขาก็ยังรวบรวมกำลังที่จะยกมือประสานคารวะปู้ฟางแล้วก้มศีรษะให้ ใบหน้าของชายวัยกลางคนอิ่มเอมไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณ
ปู้ฟางทำเพียงยกมือขึ้นโบกไปมา ดูเหมือนว่าเซียวเคออวิ่นจะหายดีแล้วจริงๆ
“ถึงแม้ร่างกายของท่านจะปราศจากพิษแล้ว แต่ท่านอาจจะยังรู้สึกว่าตนเองอ่อนแออยู่ นั่นเพราะอาการของท่านหนักหนานัก ตอนนี้แม้พิษจะหายไปแล้ว แต่ผลข้างเคียงของมันก็ยังอยู่ ระดับพลังปราณของท่านน่าจะถดถอยลงไป ด้วยเหตุนี้ร่างกายของท่านจึงอ่อนแรงอย่างช่วยไม่ได้” ปู้ฟางประกาศเสียงเรียบ
เซียวเคออวิ่นนิ่งงันไป เขาบรรลุระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการแล้ว แต่กระบวนการรักษาทำให้พลังปราณของเขาถดถอยมาอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ซึ่งจัดว่าอ่อนแอลงกว่าเดิมมาก ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเขายังเหนื่อยหนัก แปลว่าเขาต้องพักรักษาตัวอีกนานกว่าจะกลับมาแข็งแรงดีดังเดิม
อาจกล่าวได้ว่าเขาเสียอะไรไปมากมายในครั้งนี้ โดยไม่ได้สิ่งใดกลับคืนมาเลย
ปู้ฟางไม่อยู่พูดคุยกับสมาชิกตระกูลเซียวอีก เขารีบกลับไปยังห้องพักแขกที่ตระกูลเซียวจัดหาไว้ให้ ชายหนุ่มเหนื่อยมากจึงรีบอาบน้ำแล้วเข้านอนทันที
หากบอกว่าพลังปราณในกายของปู้ฟางถูกสูบไปจนหมดสิ้นอาจฟังเกินจริงไปบ้าง แต่เขาก็เพิ่งสังหารอสูรเวทระดับเจ็ดและทำอาหารโอสถทิพย์ในวันเดียวกัน และทั้งสองสิ่งนี้ก็เป็นงานที่หนักหนาอยู่พอประมาณ
โดยเฉพาะการสังหารปลาอสูรมังกรพินาศที่เหนื่อยหนักไม่น้อย นี่คือเหตุผลที่ปู้ฟางไม่ชอบถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งรุนแรง เพราะมันน่าเหนื่อยหน่ายเกินไป
ตอนย่ำรุ่งของวันต่อมา แสงตะวันส่องทะลุผ่านหน้าต่างห้องเข้ามาบนพื้นไม้ ส่งความอบอุ่นมาพร้อมกัน
ปู้ฟางลืมตาตื่น เขาบิดขี้เกียจพลางหาวออกมา จากนั้นจึงลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกจากห้อง
บรรยากาศในสวนคฤหาสน์ตระกูลเซียวนั้นช่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอากาศที่แสนสดชื่น แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องผ่านแมกไม้ลงมา กระจายเป็นแสงระยิบระยับทั่วพื้น
ปู้ฟางเดินอ้อยอิ่งไปทั่วสวนตามทางที่ปูด้วยหิน เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายหนุ่มเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีอีกร่างหนึ่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามาใกล้
เซียวเยียนอวี่จ้องปู้ฟางผู้ซึ่งยังคงทำตัวเย็นชาเหินห่างเหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางแสงระยิบระยับของแดดเช้า สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เถ้าแก่ปู้ที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ให้ความรู้สึกพิเศษอย่างที่นางไม่เคยได้เห็นมาก่อน
ทว่านางมีธุระต้องคุยกับอีกฝ่าย จึงสลัดความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว
เซียวเยียนอวี่เดินนำปู้ฟางเข้ามายังโถงหลักของตระกูลเซียว มีคนไม่กี่คนอยู่ที่นี่ในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ ทว่าโถงนี้กลับอบอวลด้วยกลิ่นหอมที่ไม่ธรรมดา
เมื่อได้กลิ่นนี้นัยน์ตาของปู้ฟางก็ส่องประกาย เขาพบอาหารชั้นเลิศเข้าแล้ว!
“เถ้าแก่ปู้ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านช่วยชีวิตท่านอาสอง ท่านอาสะใภ้จึงเข้าครัวทำซาลาเปาทอดไส้หมูด้วยตนเองเพื่อท่าน…” เซียวเยียนอวี่อธิบาย
ปู้ฟางประหลาดใจไม่น้อย มุมปากยกขึ้น น่าสนใจดีนี่
ปู้ฟางก้าวอาดๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลง ไม่นานนักหลินฉินเอ๋อร์ก็เดินออกมาพร้อมจานใส่ซาลาเปาทอดไส้หมูหน้าตาสวยงาม
ใบหน้าของนางออกจะซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริกน้อยๆ
“คุณชายปู้ ข้ารู้ดีว่าซาลาเปาทอดไส้หมูนี้เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ท่านทำเพื่อช่วยชีวิตสามีข้า โปรดถือว่ามันเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากเรา ข้าหวังว่ารสมือของข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของหลินฉินเอ๋อร์เมื่อนางพูดจบ
ซาลาเปาทอดไส้หมูอย่างนั้นหรือ นัยน์ตาของปู้ฟางส่องประกายขณะพยักหน้ารับ
จานใบหนึ่งถูกนำมาวางตรงหน้าชายหนุ่ม บนจานที่ไม่ได้ใหญ่โตนั้นมีซาลาเปาวางอยู่สี่ลูก แต่ละลูกทอดมาอย่างดีจนเป็นสีทองดูกรุบกรอบ ทั้งยังส่งกลิ่นหอมยั่วยวนออกมา
ไอร้อนพวยพุ่งออกจากซาลาเปาทอดไส้หมู สีทองอร่ามของมันดูงดงามดึงดูดสายตา น้ำซอสมันวาวหยดน้อยไหลลงมาจากซาลาเปา ก่อเกิดเป็นฟองเล็กๆ
ซาลาเปาทอดไส้หมูเป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองนครใต้ ปู้ฟางเคยกินมาแล้วครั้งหนึ่งและจำได้ว่ารสชาตินั้นไม่เลวเลย แป้งด้านนอกที่ถูกทอดจนกรอบมีรสสัมผัสดีเยี่ยม แต่อาหารจานนั้นสำหรับปู้ฟางจัดอยู่ในระดับพอกินได้เท่านั้น
ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าซาลาเปาทอดไส้หมูเลื่องชื่อทว่าเลิกทำไปนานแล้วของหลินฉินเอ๋อร์จะอร่อยสักเพียงใด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าตนจะไม่ต้องผิดหวัง
ร่างกายของหลินฉินเอ๋อร์สั่นเทาเล็กน้อย หลังจากวางจานลงบนโต๊ะนางก็ไปหาที่นั่ง หญิงสาวดูเหมือนว่าจะหายใจหอบถี่และอ่อนแรงไม่ใช่น้อย
ปู้ฟางชำเลืองมองหลินฉินเอ๋อร์ก่อนจะละสายตาออกมา เขาหยิบตะเกียบมาคู่หนึ่งแล้วคีบซาลาเปาขึ้น
หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่พอประมาณ ปู้ฟางก็เปิดปากกัดซาลาเปาเข้าไปคำใหญ่
น้ำซอสร้อนจัดรสชาติเข้มข้นไหลออกมาจากซาลาเปาเข้าไปในปากของปู้ฟาง ทำเอาร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน
รสชาตินั้นยอดเยี่ยมไร้ข้อกังขา ความหอมของเนื้อและผักกระจายตัวเข้าไปกระตุ้นต่อมรับรสในปากของปู้ฟาง ชายหนุ่มอดใจไม่ไหวถึงกับต้องหยีตาอย่างสุขใจ
ชัดเจนว่าซาลาเปาทอดไส้หมูตรงหน้าอร่อยกว่าของเจ้าอื่นในเมืองนครใต้ที่ชายหนุ่มเคยกินมา หนำซ้ำ… ยิ่งเคี้ยวและลิ้มรสชาติ เขาก็ค้นพบสิ่งที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก
นั่นคือซาลาเปาทอดไส้หมูของหลินฉินเอ๋อร์มีพลังปราณอยู่ภายใน ถึงแม้จะไม่เข้มข้น แต่ก็กักเก็บไว้ในวัตถุดิบทุกอย่างอย่างดี ซาลาเปาทอดไส้หมูตรงหน้าเขานี้ไม่ได้ใช้วัตถุดิบหายากอะไร จึงไม่ได้มีพลังปราณอยู่มากมายตั้งแต่ต้น สิ่งที่หลินฉินเอ๋อร์ทำคือรักษาพลังปราณเหล่านั้นเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
นี่คือสิ่งที่ทำให้ปู้ฟางประหลาดใจ เขาไม่อยากเชื่อว่ามีคนทำซาลาเปาทอดไส้หมูเช่นนี้ออกมาได้ด้วย
ไม่แปลกเลยที่หลินฉินเอ๋อร์จะมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยปานนั้น การจะรักษาพลังปราณทั้งหมดในวัตถุดิบเอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย หากดูจากสภาพของหลินฉินเอ๋อร์ในตอนนี้ นางคงต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ปริมาณมากในการทำอาหารจานนี้แน่ อีกทั้งนางก็ไม่ได้มีระดับปราณสูงส่งหรือร่างกายที่แข็งแรงแต่อย่างใด
การจะรักษาพลังปราณในอาหารเอาไว้ พ่อครัวแม่ครัวต้องเชื่อมพลังปราณของตนเข้ากับพลังปราณของวัตถุดิบ เรียกว่าการเชื่อมปราณ แปลว่าต้องรักษาระดับพลังปราณเอาไว้ให้ใกล้เคียงกับพลังปราณในวัตถุดิบ ต้องใช้พลังปราณและพลังกายจำนวนมาก
ปู้ฟางศึกษาการควบคุมพลังปราณมาจนเจนจบ แถมพลังปราณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากจนการควบคุมพลังปราณในวัตถุดิบไม่ถือเป็นงานยากเท่าไรนัก แต่สำหรับหลินฉินเอ๋อร์… มันคงเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสทีเดียว
อาจเพราะเหตุนี้เซียวเคออวิ่นจึงไม่ต้องการให้หลินฉินเอ๋อร์ทำซาลาเปาทอดไส้หมูอีก
“ไม่เลว” ปู้ฟางทำตัวแปลกไปกว่าที่เคย เขาไม่ได้วิพากย์วิจารณ์อาหารจานนี้ แค่แสดงความคิดเห็นออกมาคำเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่มีระดับปราณเท่าหลินฉินเอ๋อร์ที่จะทำอาหารจานนี้ขึ้นมาได้ ลึกๆ แล้วปู้ฟางรู้สึกนับถือนางจากใจจริง เพราะนางคงต้องฝึกซ้อมมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่รวมถึงช่วงลองผิดลองถูก กว่าจะได้อาหารเลิศรสจานนี้มา
ฟึ่บ เสียงพลิกเปลี่ยนหน้ากระดาษดังขึ้นในใจปู้ฟาง ดวงตาของเขาหรี่ลงเมื่อรับรู้ได้ว่าสูตรอาหารอีกสูตรถูกเพิ่มเข้ามาในสมุดแล้ว มันคือวิธีการทำซาลาเปาทอดไส้หมูอย่างละเอียดนั่นเอง
มุมปากของปู้ฟางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะกินซาลาเปาที่เหลือ หลังจากกินหมดจานแล้ว ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาอย่างสุขใจ
หลินฉินเอ๋อร์ยิ้มไม่หุบ หัวใจของนางพองโตด้วยความพึงใจ การได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่กินอาหารของนางเป็นหนึ่งในความสุขสูงสุดที่นางจะขอได้
ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองนครใต้สงบสุขดีแล้ว และเขาก็ได้ลิ้มรสซาลาเปาทอดไส้หมูแล้วด้วย ปู้ฟางรู้ดีว่าได้เวลาเดินทางกลับแล้ว กามาเยือนเมืองนครใต้ของเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
แม้จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นบ้าง ทั้งยังมีเรื่องบุรุษลึกลับชุดดำที่มาพร้อมโอสถพิษซึ่งดูคุ้นเคยอย่างประหลาด… แต่ปู้ฟางก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หากเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้วจะได้อะไรขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องของเขาแม้แต่น้อย
ดังนั้นปู้ฟางจึงไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเซียวนานนัก เขารีบเอ่ยลาเซียวเยียนอวี่และคนอื่นๆ ก่อนจะจากมาพร้อมเจ้าขาว พวกเขาทั้งคู่พร้อมแล้วที่จะไปจากเมืองนครใต้
ที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำมังกร ปู้ฟางเดินเอามือไพล่หลัง ส่วนเจ้าขาวก็เดินตามชายหนุ่มไปทุกย่างก้าว
เซียวเยียนอวี่มองร่างของปู้ฟางลับตาไป นางรู้สึกเศร้าใจอยู่ลึกๆ แต่กระนั้นก็รีบซุกซ่อนความหงอยเหงาไว้ภายใต้สีหน้าที่ดูเย็นชา นางไม่อาจทิ้งเมืองนครใต้ไปในตอนนี้เพราะธุระหลายอย่างในตระกูลยังไม่เรียบร้อย… รวมถึงเหตุผลที่มีกลุ่มชายลึกลับเรียกตัวนางมาที่นี่ด้วย
ณ ศาลาหมื่นลี้ของเมืองนครใต้ แสงดาวส่องประกาย สายลมพัดหวีดหวิว
เส้นผมของปู้ฟางเต้นไหวไปในกระแสลม เขาก้าวเท้าเข้าไปในวงแหวนของพายุก่อนจะหายวับไปในพริบตา