เมืองชายแดน จักรวรรดิวายุแผ่ว
ไกลห่างจากใจกลางจักรวรรดิวายุแผ่วไปนับพันลี้ยังมีเมืองใหญ่โตอยู่เมืองหนึ่ง มันมีขนาดมโหฬารกินพื้นที่ของดินแดนมหาศาล กำแพงเมืองสูงเสียดฟ้าจนแทบจะบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดส่องเข้ามา
เมืองชายแดนเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และจัดเป็นปราการด่านแรกของจักรวรรดิวายุแผ่ว ประวัติศาสตร์ของมันลึกซึ้งยาวนาน เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองโบราณทั้งสามร่วมกับนครหลวงและเมืองประจิมเร้นลับ
หากมองจากที่ไกลๆ เมืองชายแดนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรูปปั้นของเทพสงครามขนาดมโหฬารที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความขลัง มันตั้งอยู่ตรงชายขอบของจักรวรรดิวายุแผ่วคอยปกป้องทั้งจักรวรรดิไว้
บนที่ราบกว้างใหญ่ภายนอกเมืองชายแดน มีกลุ่มนักท่องเที่ยวมากมายเดินทางกันขวักไขว่ ในหมู่คนเหล่านี้มีเหล่าขุนศึกเทียมม้าเขาเดียวซึ่งกำลังลากรถม้าอย่างกระตือรือร้นรวมอยู่ด้วย คนเหล่านี้ล้วนมุ่งหน้าไปยังเมืองชายแดนทั้งสิ้น
เสียงแตรขึงขังดังออกมาจากภายในเมือง สะท้อนก้องไปทั่วอย่างรวดเร็ว
ประตูเมืองชายแดนเปิดกว้าง เหล่าทหารสวมเกราะเต็มตัวเดินเรียงหน้ากันออกมา พวกเขายกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อทักทายเหล่าขุนศึก
จีเฉิงอวี่ดูพอใจไม่น้อยแต่ก็ยังพยายามปั้นหน้านิ่งขณะนั่งอยู่บนม้าวิญญาณเขาเดียว ชายหนุ่มแอบยิ้มหยันพลางเหลือบมองเหล่าทหารที่ออกมาต้อนรับตน
บรรยากาศในเมืองชายแดนขณะนี้แตกต่างจากที่ทุกคนคุ้นเคย บนถนนหนทางเต็มไปด้วยเหล่าทหาร จีเฉิงอวี่ขี่ม้าเข้ามาในเมืองแล้วมาหยุดอยู่กลางวงล้อมของทหารทั้งหลาย
ม่านของรถม้าเปิดออก ร่างชราในชุดดำร่างหนึ่งก้าวลงมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น หายใจไม่เป็นจังหวะ เขาตบมือเรียกความสนใจขณะสอดส่ายสายตาไปยังฝูงชนที่อยู่รายรอบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
ในหมู่ทหาร มีบางนายสวมชุดคลุมสีดำเช่นเดียวกัน พวกเขาก้มหัวให้ชายชราด้วยความเคารพ
“คารวะปรมาจารย์อาวุโสแห่งลัทธิอสุรา”
เหล่านักรบในชุดดำต่างพากันโค้งคำนับให้ชายชราตรงหน้า
ลัทธิอสุราไม่ได้จัดอยู่ในสิบสำนักชั้นนำ แต่ก็ถือเป็นสำนักที่เก่าแก่มากสำนักหนึ่ง พักหลังพวกเขามีการปฏิรูปตัวเองขนานใหญ่เพื่อรอคอยเวลาที่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง และจักรวรรดิวายุแผ่วก็เป็นบันไดขั้นแรกที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ
รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชายชราสั่นไหว เขาโบกมือให้ฝูงชนพร้อมเอ่ยขึ้น “ท่านมหาพรตส่งข้ามาที่นี่ในวันนี้ โดยมีภารกิจแรกคือการช่วยเหลือราชาอวี่ให้ขึ้นครองบัลลังก์ ภารกิจที่สองคือฟื้นฟูลัทธิอสุรา ลัทธิของเราเก็บตัวเงียบมานานเกินไป ผู้คนทั้งหลายในโลกล้วนหลงลืมไปแล้วว่าลัทธิอสุราของเรานั้นเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน เหล่ากลุ่มอำนาจต่างๆ ในดินแดนแสนภูผา ดินแดนป่ารกชัฏ รวมถึงหนองน้ำปราณมายาอาจจะลืมเราไปแล้ว แต่ไม่นานความรู้สึกหวาดกลัวของการตกเป็นรองจะเข้าครอบงำจิตใจของพวกเขาอีกครั้ง”
คนของลัทธิอสุราต่างพากันตื่นเต้นดีใจ ดวงตาเผยให้เห็นความกระตือรือร้น
จีเฉิงอวี่หรี่ตามองภาพตรงหน้า หัวใจเต้นแรงอยู่ในอก ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ลัทธิอสุรา…เป็นกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเกาะมหายาน คอยหนุนหลังเจ้ามู่เฉิงอยู่ และมาตอนนี้…พวกเขาก็จะเป็นกำลังหลักให้จีเฉิงอวี่ชิงบัลลังก์ที่ควรเป็นของเขาคืนมา
ทว่าชายหนุ่มก็รู้อยู่เต็มอกว่าลัทธิอสุรานั้นไม่ต่างอะไรจากดาบสองคม และเป็นดาบที่คมกริบมากเสียด้วย หากเขาไม่รู้จักวิธีใช้ดาบเล่มนี้ดีพอ… คงไม่จบแค่ได้แผลฉกรรจ์กลับมาเป็นแน่
…
เทือกเขาอู่เหลียงตั้งตระหง่านแข่งกับท้องฟ้า ดูไม่ต่างจากกระบี่ยักษ์ที่แท่งทะลุเหล่าเมฆขึ้นไปยังสรวงสวรรค์
ภายในสำนักความลับแห่งสวรรค์ ชายชราผมขาวเคราขาวนั่งอยู่ในกระท่อมไม้รกร้างสองชั้น มือเหี่ยวย่นถือยันต์สีเหลืองสองสามชิ้นเอาไว้ ทันใดนั้นชายชราก็ลืมตาขึ้น แววตาฉายแสงวาบอยู่วูบหนึ่ง
ยันต์สีเหลืองในมือลอยขึ้นไปในอากาศแล้วห้อยตัวลงมา ก่อเกิดเป็นรูปร่างแปลกตา
ชายชรามีสีหน้าจริงจังขณะสูดหายใจเข้าลึก เขาบีบตราหน้าตาพิลึกในมือ จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ยันต์
โลหิตประหลาดไหลออกมาจากยันต์ กลิ่นเลือดฉุนจัดตลบอบอวลไปทั่วกระท่อมไม้สองชั้น ชายชราตื่นตกใจ ดวงตาหรี่เล็กลง
“ลัทธิอสุราจอมชั่วร้าย…ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เหตุใดไอ้ลัทธินี่ถึงได้ดื้อด้านนัก ดูเหมือนว่าแคว้นทางใต้จะต้องพบเจอปรากฏการณ์นองเลือดอีกครั้งแล้ว” ชายชราพึมพำพลางถอนหายใจ
เขาพลิกฝ่ามือ จากนั้นรอยเลือดบนยันต์ก็หายไป ชายชราหลับตา ความคิดล่องลอยอยู่ในภวังค์
“จักรวรรดิวายุแผ่วอีกแล้วหรือ เหตุใดเรื่องเลวร้ายทั้งหลายถึงไปบังเกิดที่จักรวรรดิวายุแผ่วหมด” ตัวของเขาสั่นเล็กน้อย ความรู้สึกพิกลพวยพุ่งขึ้นในใจ
“แต่ครั้งนี้…เห็นทีจักรวรรดิวายุแผ่วคงย่ำแย่หนักแน่”
…..
แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในห้อง ขับไล่ความหนาวเย็นของค่ำคืนให้สลายหายไป
ปู้ฟางลืมตา หาวออกมาอย่างผ่อนคลายพลางบิดขี้เกียจ เตียงของเขาหลับสบายดีมาก ชายหนุ่มลุกออกจากเตียง ล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินเข้าครัวมา
อวี่ฝูยังไม่ตื่น ส่วนเซียวเสี่ยวหลงก็ยังไม่มาเช่นกัน
ปู้ฟางยืนอยู่หน้าเตา ควงมีดในมือ จากนั้นก็เริ่มฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลัก หลังจากไม่ได้ฝึกมืออยู่หลายวัน เขาก็เริ่มคิดถึงความรู้สึกนี้ขึ้นมา
ปู้ฟางฝึกทักษะของตนอยู่พักหนึ่งอวี่ฝูถึงได้เดินลงบันไดมา หลังกล่าวทักทายชายหนุ่มแล้ว ต่างคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาฝึกทักษะของตนเอง
“เซียวเสี่ยวหลงยังไม่มาอีกหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ฝึกไปก่อนเถอะ ไว้เขามาแล้วข้าค่อยทดสอบพวกเจ้า” ปู้ฟางพูดพลางขมวดคิ้ว
อวี่ฝูพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในมือถือวัตถุดิบ ก่อนเริ่มฝึกฝนอย่างขันแข็ง
ปู้ฟางวางมีดเล่มใหญ่ที่ใช้ฝึกลง จากนั้นก็เริ่มทำซี่โครงเปรี้ยวหวาน ไม่นานกลิ่นหอมของซี่โครงก็อบอวลไปทั่ว กลิ่นนี้ปลุกเร้าใจของอวี่ฝูไม่น้อย ฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้ก้าวล้ำนำหน้านางไปไกล และสามารถตัดสินได้ง่ายๆ จากกลิ่นหอมของอาหาร นางยังต้องฝึกฝนให้หนักอีกมาก
ปู้ฟางยกไม้กระดานปิดทางเข้าร้านขึ้น แล้วเดินออกไปพร้อมจานใส่ซี่โครงเปรี้ยวหวาน
อากาศตอนเช้าของฤดูใบไม้ผลิยังเย็นอยู่ สายลมอ่อนพัดพาให้กลิ่นของซี่โครงเปรี้ยวหวานกระจายไปทั่ว มันหอมหวนชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าดำ ได้เวลากินอาหารแล้ว”
ปู้ฟางผิวปาก วางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานตรงหน้าเจ้าดำที่นอนสบายใจอยู่หน้าประตู
เจ้าดำลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน พลางปรายตามองซี่โครงเปรี้ยวหวานตรงหน้า เจ้าสุนัขเหยียดยิ้ม ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับอาหารจานอร่อยเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
สีหน้าท่าทางที่เหมือนมนุษย์ของเจ้าสุนัขตัวอ้วนทำเอาปู้ฟางตกใจไม่น้อย เกิดอะไรขึ้นกัน
ทว่าเมื่อเจ้าดำสูดกลิ่นซี่โครงเปรี้ยวหวานตรงหน้า ดวงตาของมันก็เป็นประกายวาววับ เจ้าสุนัขปรายตามองปู้ฟางด้วยความขุ่นเคือง พลางอ้าปากเขมือบอาหารในจานอย่างตะกละตะกราม ราวกับว่าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว
ปู้ฟางเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นลูบขนนุ่มของเจ้าดำ จากนั้นก็ยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวเดินกลับเข้าร้าน
เมื่อมาถึงหน้าทางเข้า ชายหนุ่มก็เห็นเซียวเสี่ยวหลงกำลังเดินเอ้อระเหยเข้าตรอกมา
“ทำไมเจ้าถึงมาสายนัก ไม่คิดจะฝึกทักษะการใช้มีดกับการแกะสลักหรืออย่างไร” ปู้ฟางจ้องเซียวเสี่ยวหลงเขม็งพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เซียวเสี่ยวหลงตัวสั่นเทา พลางนึกขึ้นได้ว่าปู้ฟางกลับมาแล้ว ชายหนุ่มทำตัวเกียจคร้านไม่น้อยช่วงที่ปู้ฟางไม่อยู่ร้าน
“เข้าไปในครัวเร็ว ข้าจะทดสอบทักษะการใช้มีดและการแกะสลักของเจ้าเสียหน่อย หากไม่ผ่านเจ้าต้องใช้มีดเล่มใหญ่หนักอึ้งฝึกหั่นและแกะสลักไปตลอดทั้งวัน”
ดูเหมือนว่าปู้ฟางจะเดาสิ่งที่เกิดขึ้นออก เขาถอนหายใจ สะบัดปลายแขนเสื้อก่อนจะเดินกลับเข้าครัวไป ใบหน้าของเซียวเสี่ยวหลงตอนนี้มืดครึ้มยิ่งกว่าถ่านเสียอีก
เซียวเสี่ยวหลงเดินเข้าครัวมาพร้อมความรู้สึกผิด และเมื่อได้เห็นอวี่ฝูที่กำลังฝึกอย่างขันแข็ง ชายหนุ่มก็รู้สึกสยองขวัญเข้าไปใหญ่
ปู้ฟางดึงเก้าอี้ออกมานั่ง พลางมองอวี่ฝูกับเซียวเสี่ยวหลงด้วยสีหน้าตายด้าน ดวงตาเคร่งขรึมจริงจัง พร้อมที่จะวิจารณ์คนทั้งคู่ทุกเมื่อ
“ในฐานะลูกศิษย์ของข้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะฝึกหนักไม่ทำตัวขี้เกียจ คนเป็นพ่อครัวแม่ครัวนั้นต้องฝึกปรือฝีมือทั้งวันทั้งคืนกว่าที่จะประสบความสำเร็จ ข้าอยากให้พวกเจ้าจำหลักการข้อนี้ไว้และฝึกฝนทักษะของตัวเองอย่างขันแข็ง ตอนนี้ข้าจะทดสอบทักษะการใช้มีดและการแกะสลักของพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องแข่งกัน ใครที่ทำได้มากสุดในครึ่งชั่วยาม… จะไม่ถูกทำโทษ”
ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเป็นศิษย์ และตระหนักถึงความสำคัญของการฝึกฝนเป็นอย่างดี
อวี่ฝูและเซียวเสี่ยวหลงพยักหน้ารับรู้
มีแคร์รอตหัวใหญ่อยู่บนเตาข้างๆ คนทั้งคู่ ปู้ฟางต้องการให้พวกเขาซอยแคร์รอตทั้งหัวเป็นเส้นบางภายในครึ่งชั่วยาม
อวี่ฝูดูสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ตื่นตระหนก
ทว่าเซียวเสี่ยวหลงนั้นตรงข้าม ใบหน้าของเขามืดครึ้มเหมือนถูกมนต์ดำ ดวงตาหลุกหลิกไปมา ความกังวลพวยพุ่งโจมตีจิตใจ