มังกรอุทกดินแดนป่ารกชัฏตัวแข็งทื่อราวกับหิน ดวงตาใหญ่โตของมันจับจ้องสุนัขสีดำที่ยืนขวางสายตาอยู่ตรงจมูก ต่อหน้ามังกรขนาดมโหฬาร สุนัขสีดำตัวนี้นั้นไม่ต่างอะไรกับแมลงวันตัวจ้อยตัวหนึ่ง แม้แต่นัยน์ตาดำของเจ้ามังกรก็ยังใหญ่กว่ามันอยู่โข
โฮก!
มันพ่นไอขาวออกจากรูจมูก รังสีเย็นเยียบแผ่ออกมาขณะอ้าปากคำราม เผยให้เห็นฟังแหลมคมหน้าตาพิลึก มังกรอุทกสยายปีกที่เต็มไปด้วยเกล็ด แล้วเริ่มกระพือไปมาก่อเกิดเป็นพายุลมอีกระลอก มันเรียกพละกำลังจำนวนมหาศาลขึ้นมา พยายามดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แรงใจที่จะเข่นฆ่าเจ้าสุนัขตัวจ้อยมีอยู่เต็มเปี่ยม ทว่าไม่ว่ามันจะกระพือปีกรุนแรงเพียงใด ก็ไม่อาจเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้แม้เพียงเสี้ยว สุนัขสีดำยังยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่สะทกสะเทือนแม้แต่น้อย ดูราวกับเป็นยอดภูผาที่ตั้งตระหง่านกลางสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
“หนวกหู!”
สุนัขสีดำขมวดคิ้วหงุดหงิดเพราะเสียงร้องคำรามของเจ้ามังกรที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เสียงร้องโหยหวนไม่ขาดปากของไอ้จิ้งเหลนตรงหน้าทำเอาขี้หูในหูของสุนัขสีดำเต้นระบำไปหมด ไอ้เจ้านี่ไม่รู้ตัวหรอกหรือว่าเสียงของมันเสียดประสาทหูชาวบ้านชาวช่องเขาขนาดไหน
ตอนนั้นเองเจ้าสุนัขก็ตะปบอุ้งเท้าน่ารักใส่หน้ามังกรอุทก ทำให้ร่างมโหฬารสั่นสะท้านพลันผงะไปด้านหลัง ดวงตาของเจ้าดำหดแคบขณะที่อุ้งเท้าของมันค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนในที่สุดก็มีขนาดเท่าหัวของเจ้ามังกร
ทันใดนั้นพลังกดดันรุนแรงก็ระเบิดออกมาปกคลุมมังกรอุทกเอาไว้ พลังกดดันนี้ทำให้ร่างของมันสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สำหรับมังกรอุทกที่มีนิสัยดุร้ายอย่างมันแล้ว มันคิดมาตลอดว่าตนเองยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่มีใครคว่ำได้ ทว่าทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังกดดันดังกล่าว มันก็รู้สึกหวาดผวาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ตอนนั้นเองอุ้งเท้าใหญ่ยักษ์ที่ขนกำลังพลิ้วไหวไปตามสายลมก็ตบลงมาบนหัวของมังกรอย่างแรงจนลงไปกระแทกถนนสายยาวของนครหลวงจนเกิดเสียงดังกึกก้อง มังกรอุทกเจ็บปวดแสนสาหัส มันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากพื้น อิฐหินร่วงกราวลงมา
โฮก!
มังกรอุทกคำรามอย่างขุ่นเคืองออกมาอีกครั้ง
ตู้ม!
เจ้าดำใช้อุ้งเท้าข้างเดียวตอบโต้ มันตบหัวของมังกรส่งให้อีกฝ่ายลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง สุนัขสีดำทรงพลังก้าวอาดๆ อย่างสง่างามไปบนหัวของมังกรอุทกดินแดนป่ารกชัฏจากนั้นก็ส่งเสียงคำรามต่ำอยู่ในลำคอ
ฟึ่บ!
เจ้าขาวฟันใส่หลังของเซี่ยอวี่จนเลือดกระเซ็นไปทั่ว ส่งให้ชายร่างยักษ์กลายเป็นลูกปืนใหญ่ที่พุ่งตรงไปกระแทกกำแพงอย่างรุนแรงจนทลายลงมาเหลือเพียงเศษซาก ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบวาบขณะที่มันร่อนลงมายืนบนพื้นใกล้ๆ หินก้อนใหญ่
เซี่ยอวี่พยุงตัวออกมาจากซากหักพัง หายใจหอบรุนแรง เขาดูกระเสือกกระสนไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ชายร่างยักษ์รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงที่แล่นไปทั่วร่าง
เซี่ยอวี่เดินตรงไปยังทิศทางที่ลูกพี่อยู่ ดวงตาหดแคบขณะพยายามสูดเอาอากาศเย็นๆ เข้าปอด เขาคิดว่าลูกพี่ทำลายร้านนั่นจนราบเป็นหน้ากลองไปเรียบร้อยแล้ว เพราะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังรุนแรงที่กระจายมาจากทิศดังกล่าว
ทว่าตอนนั้นเอง เซี่ยอวี่ก็ได้เห็นกับตาตนเองว่าลูกพี่อสูรเวทระดับแปดที่ความแข็งแกร่งนั้นไม่ได้ต่างจากเขาแม้แต่น้อย ถูกอัดจนหมอบกระแตนอนนิ่งอยู่กับพื้น ไม่อาจขยับไปไหนได้แม้เพียงชุ่นเดียว
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?!” นัยน์ตาของเซี่ยอวี่หดแคบขณะร้องออกมาด้วยความตกใจ เหตุใดลูกพี่อสูรเวทของเขาผู้ที่ไม่เคยมีความเกรงกลัวใดๆ ยามที่เขาต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตทรงพลังอื่นๆ กลับอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ได้
ความรู้สึกตื่นกลัวที่เซี่ยอวี่ไม่คุ้นเคยเอ่อท้นในใจ ไหนใครๆ ต่างก็พูดกันไม่ใช่หรือว่าร้านนี้มีอสูรเวทขั้นเซียนเทพเพียงตัวเดียว แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขาตอนนี้มันคืออะไรกัน เขาต้องเค้นพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อต่อกรกับอสูรเวทขั้นเซียนเทพอย่างยากลำบาก… ทว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฝั่งลูกพี่กันแน่
ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบวาบขณะโบกมีดในมือแล้วชี้ไปยังเซี่ยอวี่ มันระเบิดพลังแล้วพุ่งไปบนผิวถนนอย่างรวดเร็ว
เซี่ยอวี่กัดฟันแน่นพลางนึกในใจ ‘สามารถเอาชนะลูกพี่ได้เช่นนี้ เจ้านี่ต้องเป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพที่มีพละกำลังไร้เทียมทานอีกตัวเป็นแน่ มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว เบื้องหลังร้านนี้คืออะไรกันแน่’
เซี่ยอวี่พุ่งหอกไปปัดป้องการโจมตีของเจ้าขาว เกราะพลังปราณเที่ยงแท้ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มตัวของชายร่างยักษ์เอาไว้ เขาจะโรมรันกับเจ้าขาวเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้อีก หอกที่พุ่งออกไปด้วยความเร็วกลายเป็นภาพติดตา มันส่งเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศราวกับเป็นพายุลูกใหญ่ บังคับให้เจ้าขาวถอยร่นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เซี่ยอวี่หยิบยันต์ขึ้นมาแล้วโบกไปทางทิศที่ลูกพี่นอนอยู่ เมื่อชายร่างยักษ์เห็นว่าลูกพี่ถูกโจมตีหนักหน่วงเสียจนจิตใจย่ำแย่ไร้ซึ่งกำลังใจ เขาก็รู้ทันทีว่าตนต้องรีบเก็บอีกฝ่ายเข้าไปในยันต์ผู้ปราบอสูรเวท ไม่เช่นนั้นลูกพี่อาจตายลงตรงนี้ได้ มังกรอุทกที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับแปดนั้นล้ำค่าเกินกว่าที่จะสูญเสียไป!
เจ้าดำเดินนวยนาดแล้วมาหยุดยืนอยู่บนหัวของมังกรอุทกดินแดนป่ารกชัฏ ตอนนั้นเองมันก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังประหลาดที่ปล่อยออกมาจากตัวของมังกร ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังดูดร่างของมังกรอยู่
“หือ!”
เจ้าดำปรายตามองเซี่ยอวี่ที่มียันต์อยู่ในมือ มันฮึมฮัมเสียงเย็น จากนั้นก็ยกขาหลังขึ้นแล้วกระทืบลงไปบนหัวของมังกรร้ายอย่างรุนแรง
ตู้ม
เสร็จข้าละ!
สีหน้าของเซี่ยอวี่ซีดเซียวลง ตอนนั้นเองความเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มก็พุ่งตรงเข้ามาในสมองของเขา จากนั้นเลือดก็หยดออกมาจากมุมปากของชายร่างยักษ์ ร่างของเขาซวนเซถอยหลังไปสองก้าว
เจ้าขาวพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ดวงตาสีม่วงของมันกะพริบถี่ขณะฟันมีดลงมาจนเกือบจะเฉือนร่างของเซี่ยอวี่ออกเป็นสองส่วน เลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณ เซี่ยอวี่คำรามก้องด้วยความเจ็บปวด ยันต์ที่อยู่ในมือค่อยๆ สลายหายไปทีละน้อย
สุดท้ายเซี่ยอวี่ก็ได้รับรู้ว่าความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจนั้นเป็นอย่างไร เขาเงยหน้ามองสุนัขสีดำที่กำลังเชิดหน้าวิ่งเหยาะๆ ไปทั่วร่างของมังกรอุทกด้วยท่วงท่าสง่างามไม่ต่างจากแมว ร่างของชายร่างยักษ์สั่นเทา ไอ้สุนัขเวรนั่นมันเป็นตัวอะไรกันแน่!
ตอนนี้หัวของมังกรนั้นไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งที่ถูกกระทืบจนบี้แบนติดพื้น เลือดหลั่งไหลออกมาจากปากของมัน แม้สมองจะไม่ระเบิด แต่พลังชีวิตก็เหือดแห้งไปเรียบร้อยแล้ว
แรงกระทืบของเจ้าดำฉีกกระชากยันต์ผู้ปราบอสูรเวทไปพร้อมๆ กับวงแหวนปราณที่ถูกฝังลึกอยู่ในสมองของมังกร ซึ่งตอนนี้แหลกเละจนไม่ต่างจากแอ่งโคลน หากไม่ใช่เพราะปู้ฟางขอไว้ เจ้าสุนัขสีดำผู้ดุร้ายคงทำลายร่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอสูรเวทผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว
ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ส่งเสียงขู่ในลำคอ มันไม่เคยสนใจเหล่าจิ้งเหลนที่ชอบอวดอ้างว่ามีสายเลือดมังกรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดปรานีไอ้จิ้งเหลนยักษ์ตรงหน้าที่ไม่เจียมกะลาหัวกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้ามัน
ร่างของเซี่ยอวี่สั่นเทิ้มไปทั้งตัวเมื่อความเจ็บปวดเข้าโจมตีจิตใจ เขาอาศัยความแข็งแกร่งของมังกรอุทกระดับแปดเพื่อรักษาอำนาจของตนในวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์มาตลอด หากครั้งนี้เขาต้องเสียมังกรอุทกตัวนี้ไปจริงๆ ตำแหน่งของเขาต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน
“แม่งเอ๊ย! แม่งเอ๊ย!” ร่างใหญ่ยักษ์ของเซี่ยอวี่สั่นสะท้าน นัยน์ตาเคลือบไปด้วยความเสียใจสุดแสน
เสียงคำรามไม่พอใจดังก้องไปทั่ว เซี่ยอวี่ไม่คิดออมแรงอีกต่อไป เขาปล่อยพลังทั้งหมดไปที่กำปั้นพลางเหวี่ยงมันออกไป เจ้าขาวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกแรงปะทะส่งให้กระเด็นไปไกล
ชายร่างยักษ์ปรายตามองไปยังร่างไร้วิญญาณของสหายสนิท เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยขณะหมุนตัวแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เซี่ยอวี่คิดจะหนี! เขารู้ชัดแล้วว่าตนเองประเมินความแข็งแกร่งและพลังป้องกันของร้านเล็กๆ นี่ต่ำไป พลังไร้เทียมทานที่ไม่อาจวัดได้และความไร้ปรานีของไอ้สุนัขพันทางตรงหน้าทำให้ความมั่นใจของเซี่ยอวี่ต้องแตกสลายกลายเป็นผุยผง ส่วนไอ้หุ่นเชิดกระป๋องนั่นก็ทำให้เขาอับจนหนทาง เพราะเขาเรียนรู้แล้วว่าการจู่โจมใดก็ไม่อาจทำอะไรมันได้ เขาหมดทางสู้แล้วจริงๆ
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
มีดบินสองเล่มพุ่งเข้ามาอีกครั้งแล้วสร้างรอยแผลไว้ที่หลังของเซี่ยอวี่ ชายร่างยักษ์ที่กำลังพุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้ากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะฉวยมีดบินทั้งสองเล่มไว้ได้แล้วหักทิ้งเป็นสองท่อน เลือดอุ่นๆ ไหลออกมาจากบาดแผลบนหลัง
เขาขว้างมีดบินทั้งสองออกไปพร้อมหอกเหล็ก พลางสั่งการด้วยจิต ตอนนั้นเองหอกเหล็กก็แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟ พุ่งตรงไปยังเจ้าขาวอย่างรวดเร็วจนดูราวเป็นธนูเพลิงพร้อมเสียงแหวกอากาศไปตามทาง
ตู้ม!
พื้นดินระเบิดเป็นหลุมกว้างเมื่อกระแสพลังขนาดใหญ่พุ่งเข้าปะทะ
เจ้าดำปรายตามองเซี่ยอวี่ที่กำลังวางแผนจะหนีกลางอากาศด้วยสายตาเกียจคร้าน ทว่าก็ไม่ได้มีความคิดจะจู่โจมแต่อย่างใด หมอนั่นเป็นแค่มดปลวกไร้ค่า จะหนีก็หนีไปเถอะ ตราบใดที่เนื้อมังกรยังอยู่ดีอยู่กับข้า เจ้าจะไปไหนก็เชิญเลย
ทว่าตอนที่เจ้าดำกำลังหมุนหัวของมันแก้เมื่อย เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเซี่ยอวี่ก็ดังก้องไปทั่วฟ้า
จากนั้นยันต์หยกใสที่ส่องประกายล้อแสงอาทิตย์ ก็สะบัดพลิ้วตามสายลมตรงลงมายังทิศที่ร้านของปู้ฟางตั้งอยู่
กระแสพลังประหลาดระเบิดออกมาจากยันต์หยกพร้อมเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นวงแหวนปราณขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า พลังทำลายล้างน่าเกรงขามลอยวนอยู่ในวงแหวนปราณ พลังดังกล่าวพุ่งตรงมายังร้านด้วยความเร็วสูง
เลือดอาบทั่วร่างของเซี่ยอวี่ เขาจ้องยันต์หยกที่กำลังระเบิดและซากของมังกรอุทก ดวงตาเต็มไปด้วยความปวดร้าว
“ในเมื่อข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะระเบิดพวกเจ้าให้ตายตกตามกันไปทุกคน! นี่คือ…ยันต์วงแหวนปราณแห่งวิหารราชันมังกรซ่อนเร้นที่ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพวาดขึ้น ให้ตายเถอะ! เจ้าสังหารน้องชายข้าได้ เข่นฆ่ามังกรของข้าได้ ดังนั้นเจ้าก็ต้องตายด้วยเหตุนี้เช่นกัน!”
หลังจากโยนวงแหวนปราณลงไปแล้ว เซี่ยอวี่ก็ไม่คิดลังเลใจอีก เขาไม่กล้าหันไปมองแต่อย่างใด ทำได้เพียงระเบิดพลังที่เหลืออยู่เพื่อออกไปจากนครหลวงให้เร็วที่สุดเท่านั้น ชายร่างยักษ์รู้ดีว่าอีกไม่กี่ลมหายใจ นครหลวงครึ่งหนึ่งจะต้องถูกระเบิดทำลายเหลือเพียงซากปรักหักพัง เพราะยันต์วงแหวนปราณที่วาดโดยขั้นเซียนเทพนั้นทรงพลังไม่ต่างอะไรจากฝันร้าย
…
บนพื้นที่โล่งกว้างนอกนครหลวง กลุ่มอสูรเวทเขาเดียวที่ร่างทั้งร่างปกคลุมด้วยเกล็ดมันวาวห้อตะบึงผ่านไป ความเร็วของพวกมันไม่ต่างอะไรจากสายฟ้าจนมองเห็นเป็นเส้นสีเหลืองตัดผ่านทุ่งกว้างใหญ่ หากสังเกตดูใกล้ๆ จะพบว่าเส้นสีเหลืองดังกล่าวคือกลุ่มฝุ่นที่พวกมันตะกุยขึ้นมานั่นเอง
รถม้าด้านหลังเหล่าอสูรเวทเขาเดียวลากโลงศพมาด้วย คนที่ขี่อยู่บนอสูรเวทเขาเดียวต่างเป็นจอมยุทธ์มากฝีมือในชุดดำทั้งสิ้น เป้าหมายของพวกเขาคือนครหลวงซึ่งตั้งอยู่ ณ ใจกลางพื้นที่โล่งกว้างแห่งนี้
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบน นกอัคคีจรัสที่ร่างอาบไล้ไปด้วยเปลวไฟโผบินผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมส่งเสียงแหลมเสียดหูไปทั่วทิศ ชายชราร่างท้วมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังนกผงะไปเล็กน้อย เขาก้มลงมองสำรวจรถม้าสีดำสนิทน่าเกรงขามและเหล่าอสูรเวทเขาเดียวที่อยู่เบื้องล่าง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจนต้องขมวดคิ้วแน่น
จู่ๆ ขบวนของเหล่าอสูรเวทที่ห้อตะบึงอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆ ลดความเร็วแล้วหยุดลง ม่านของรถม้าเปิดออก ร่างของชายชราคนหนึ่งเดินลงจากรถ เขายืนตระหง่านอยู่บนรถม้าพลางเงยหน้าขึ้นมองนกอัคคีจรัส ชายชราร่างอวบประหลาดใจ ความสงสัยเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม
“ผู้อาวุโสขอรับ เราจะเดินทางไปถึงนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วภายในครึ่งวันขอรับ” ชายชุดดำคนหนึ่งกล่าวกับชายชราด้วยน้ำเสียงเคารพ
ชายชราพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่นกอัคคีจรัส “จอมยุทธ์แห่งสำนักเจดีย์นภากระจ่างของดินแดนแสนภูผา… ไม่คิดเลยว่าจะเจอพวกเขาเร็วขนาดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าแผนการของลัทธิอสุราถูกเปิดโปงเสียแล้ว ไม่สิ… เรื่องนั้นไม่น่าเป็นไปได้ นี่น่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”
“เดินทางต่อกันเถิด ตามคำสั่งของราชาอวี่ หลังจากที่เราส่งโลงศพของขันทีผู้นี้ที่นครหลวงเรียบร้อยแล้ว ยังต้องตรงไปยังวังหลวงเพื่อเอาสมบัติบางชิ้นด้วย”