มณฑลต้าเหอ เมืองชุนฮุย
เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่อู้ฟู่ที่สุดในจักรวรรดิวายุแผ่ว เป็นที่เลื่องลือว่าเป็นเมืองที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากที่สุด ทั้งยังมีพลเมืองอาศัยอยู่อย่างแน่นหนา แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเมืองโบราณทั้งสามเมือง แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักดีในจักรวรรดิ
ทว่าบรรยากาศของเมืองใหญ่ที่มีชีวิตชีวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความรู้สึกวิตกกังวลปกคลุมไปทั่วเมือง คบไฟถูกจุดจนส่องสว่างไปทั่ว ส่วนชาวเมืองก็พากันซ่อนตัวอยู่ในบ้านของตน ต่างตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวและความกระวนกระวาย
กำแพงเมืองสูงตระหง่านปุปะไปด้วยรอยแตกร้าว กองทหารหน้าตาขึงขังยืนอยู่บนกำแพง แต่ละคนสภาพจิตใจเหนื่อยอ่อนหมดเรี่ยวแรง
ที่ด้านนอกเมือง ธงประจำกองทัพปลิวไสวตามสายลมอยู่บนเนินเขาและเทือกเขาสูง เสียงต่อสู้ดุเดือดและเสียงกรีดร้องก้องดังไปทั่ว เหล่านักรบต่างพากันพุ่งเข้าต่อสู้ในสมรภูมิ เสียงโลหะกระทบโลหะดังกึกก้อง ผู้คนกระทบผู้คน อารมณ์ของแต่ละคนเดือดพล่านจากการห้ำหั่นในสนามรบ
จีเฉิงอวี่นั่งอยู่บนม้าศึกเกล็ดมัจฉาเขาเดียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขาวาดกระบี่ยาวไปในอากาศแล้วกู่ร้องสุดเสียง
จากนั้นกองทัพด้านหลังชายหนุ่มก็พุ่งไปหากำแพงเมืองชุนฮุยที่ปุปะเป็นรอยร้าว กองทหารของจีเฉิงอวี่มีกำลังใจดีเยี่ยมและมีใจสู้สุดตัว พวกเขากระโจนใส่เป้าหมายเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมฉีกทำลายทุกสิ่งให้กลายเป็นชิ้นๆ ในห้วงเวลานั้นเมืองชุนฮุยกลายเป็นเหยื่อบาดเจ็บของเสือร้ายในคราบของกองทัพที่สู้เพื่อจีเฉิงอวี่
ประตูเมืองหนักอึ้งของเมืองชุนฮุยส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดอยู่เบื้องหน้า จากนั้นฝูงทหารหาญในชุดเกราะก็พากันพุ่งตัวออกมา ดูราวกับกระบี่คมกริบที่กำลังพุ่งใส่ใจกลางกองทัพของจีเฉิงอวี่ไม่มีผิด
ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ห่าฝนลูกธนูจากบนกำแพงเมืองพุ่งใส่ทหารที่ไร้ทางหลบหลีกด้านล่าง ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงโลหะปะทะโลหะก็ดังก้องไปทั่วสมรภูมิรบ ก่อนจะถูกเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม เสียงอาวุธพุ่งเข้าปะทะ เสียงร่างกระแทกพื้นจนล้มลุกคลุกคลานกลบไปหมด ต่างฝ่ายต่างตะลุมบอนชุลมุนแยกไม่ออกอีกต่อไปว่าใครเป็นใคร
รังสีสังหารรุนแรงพุ่งขึ้นราวกับหมายทำลายหมู่เมฆบนท้องฟ้าให้มลายหายไป
ทหารนายแล้วนายเล่าร่วงหล่นลงสู่กองเลือดบนพื้นด้านล่าง แต่ผู้รอดชีวิตที่กำลังเลือดขึ้นหน้ากลับไม่มีใครสนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ทุกคนยังคงกวัดแกว่งกระบี่คมกริบของตนเองต่อไปด้วยความมุ่งหมายที่จะคร่าชีวิต
นี่ละสงคราม…
ในท้องฟ้าเบื้องบนสูงหลายร้อยลี้…
ร่างในชุดคลุมยาวสีดำกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ลมเร็วกระโชกแรงหอบเอากลิ่นเลือดคละคลุ้งและรังสีสังหารขึ้นมาจากสมรภูมิเบื้องล่าง ทำให้ชุดคลุมยาวของเขาปลิวไสว ปรมาจารย์อาวุโสแห่งลัทธิอสุราเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย พลังปราณเที่ยงแท้ในกายของเขาแผ่กระจายไปในอากาศ ขณะที่เขากำลูกแก้วสีเทาเอาไว้ในมือ
ลูกแก้วปล่อยกระแสพลังปราณที่แทบจับไม่ได้ออกมา พร้อมด้วยแสงสว่างเจิดจ้าและวงแหวนปราณบนพื้นผิวที่เรืองแสงตอบรับ ราวกับว่าฟื้นฟูพลังของตนเองสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
พลังน่าดึงดูดใจไหลออกจากลูกแก้วเล็กน้อยชนิดแทบจับไม่ได้ แต่ก็ยังเดินหน้าดูดกลืนวิญญาณของนักรบที่สิ้นชีวิตในสนามรบด้านล่างอย่างต่อเนื่อง วิญญาณเหล่านี้มาพร้อมรังสีสังหารและความเกลียดชังเมื่อครั้งยังมีชีวิต ทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นผลผลิตที่น่าสยองพองขน ไหลเข้าไปรวมกันอยู่ในลูกแก้วสีเทาลูกนั้น
วิญญาณเหล่านั้นทำให้พลังของลูกโลกวิญญาณล่วงลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกลมหายใจที่ผ่านไปยิ่งทวีความแก่กล้าน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของปรมาจารย์อาวุโสทอแสงแรงกล้าด้วยความดีใจ ขณะมองไปที่แสงเรืองรองจากลูกแก้วที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ เขาเม้มปากแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเหี่ยวย่นของตนเอง
…
ท้ายที่สุดแล้วหัวหน้าหมู่หลิวก็จัดให้ปู้ฟางเข้ากองทัพไปจนได้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้วิเศษวิโสเหมือนที่เขาสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับชายหนุ่ม เนื่องจากกองทัพที่จัดให้ปู้ฟางเข้าไปนั้นไม่ได้เป็นกองทหารลำดับสูงของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่ขอรับ… นี่คือกองทหารลำดับสามที่ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยคนนี้สังกัดอยู่ ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าข้าน้อยผู้ต่ำต้อยคนนี้… จะมีปัญญาส่งท่านเข้าไปในกองทหารลำดับสูงได้อย่างไร” หัวหน้ากองทหารหลิวโค้งต่ำ ใบหน้าหวาดกลัวจับใจ
เขากลัวจริงๆ เหมือนที่แสดงออก เนื่องจากพ่อหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้านั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ฝึกตนที่มีขั้นปราณซึ่งคนอย่างเขาไม่มีวันจะต่อกรด้วยได้ พลังกดดันเมื่อครู่นั้น… แค่คิดก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญกระเจิงไปหมด
“กองทหารลำดับสามของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเช่นนั้นรึ เจ้าไม่ได้เพิ่งพูดหรือว่ากองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเป็นกองทัพเดี่ยว” ปู้ฟางถามพร้อมมองหัวหน้าหมู่หลิวด้วยสายตาเคลือบแคลง
“ใช่อย่างท่านว่าขอรับ กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับนั้นเป็นกองทัพเดี่ยว แต่ภายในแบ่งเป็นสามกองย่อยด้วยกัน กองทหารลำดับหนึ่งคือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด กองทหารลำดับสองคือกองหลัก… ส่วนกองทหารลำดับสามคือกองที่ข้าน้อยผู้นี้ประจำการอยู่ขอรับ…” หัวหน้าหลิวพูดจนจบประโยค ใบหน้าดูอับอายเล็กน้อย
ปู้ฟางขมวดคิ้ว แต่เขาก็พอเข้าใจอะไรๆ ได้รางๆ กองทหารลำดับสามน่าจะเป็นกองทหารที่อ่อนแอที่สุดในหมู่กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ
แต่ปู้ฟางก็ไม่ได้เสียดายแต่อย่างใด เนื่องจากเป้าหมายของเขาคือการเข้ากองทหารนี้ให้ได้ และฝึกทักษะการทำอาหารของตนให้สำเร็จ เพื่อทำภารกิจของระบบให้เสร็จสิ้นและรับรางวัล
ส่วนเขาจะสังกัดอยู่กองทหารใดนั้น ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ขอรับ ข้าน้อยคนนี้อาจประจำการอยู่เพียงกองทหารลำดับสามก็จริง… แต่ก็ยังถือเป็นหนึ่งในทหารของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ สำหรับผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณกล้าแกร่งอย่างศิษย์พี่… ยังมีความจำเป็นที่ต้องเข้ากองทัพจากทางประตูหลังอีกหรือขอรับ คนที่แข็งแกร่งอย่างศิษย์พี่นั้น แค่ไปหาท่านแม่ทัพของเรา… เรื่องก็น่าจะเรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ” หัวหน้าหมู่หลิวมองร่างสูงโปร่งของปู้ฟางแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา
คนที่มีพลังปราณแข็งแกร่งอย่างปู้ฟางแค่ต้องไปหาแม่ทัพใหญ่ก่งเซวียนเท่านั้น ก็จะได้รับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไปครองอย่างง่ายดาย เรื่องนี้เขามั่นใจว่าต้องเกิดขึ้นได้แน่นอน และที่ยิ่งไปกว่านั้น… ท่านผู้นี้ยังขอให้เขาพาเข้าหน่วยโรงครัวประจำกองทัพอีกด้วย แต่นั่นเป็นหน่วยสำหรับพ่อครัวมิใช่หรือ ผู้ฝึกตนฝีมือแก่กล้าเช่นนี้จะไปทำอะไรที่นั่นกัน เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ปู้ฟางหยิบตราประจำตัวมาจากหัวหน้าหมู่หลิวแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ก่อนเอ่ยตอบ
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้าเป็นเพียงพ่อครัวที่ต้องการมาฝึกวิชาการทำอาหารเท่านั้น ข้าอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเป็นพ่อครัวประจำกองทัพ หากข้าอยากเข้ากองทัพเพื่อรับใช้จักรวรรดิ ข้าไปหาจักรพรรดิแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ ข้าไม่ได้อยากจะสร้างเรื่องอะไร หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเป็นพ่อครัวประจำกองทัพเรียบร้อย และพัฒนาทักษะของตนเองให้ดีขึ้นได้สำเร็จ ข้าก็จะกลับ ไม่ได้จะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับแต่อย่างใด”
พอพูดจบปู้ฟางก็เดินจากไป ไม่สนใจหัวหน้าหมู่หลิวที่กำลังงุนงงอีก เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการเกณฑ์คนเข้ากองทหารลำดับสามของหัวหน้าหมู่หลิว
หัวหน้าหมู่หลิวมองตามปู้ฟางที่กำลังเดินจากไป กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกไปหมด เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินไปหาแม่ทัพของกองทหารลำดับสาม
แม้เขาจะไม่รู้ว่าปู้ฟางมีพลังปราณอยู่ในระดับใด แต่การที่มีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้มาร่วมทัพ… อย่างไรเสียเขาก็ต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชารู้ เนื่องจากเขาเป็นทหารของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ อย่างไรเสียก็ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของกองทัพเป็นสำคัญ
แต่ผิดคาด แม่ทัพประจำกองทหารลำดับสามกลับไม่ได้สนใจไยดีข่าวนี้แต่อย่างใด แม้หัวหน้าหมู่หลิวจะบรรยายพลังอันแข็งแกร่งของปู้ฟางชนิดลงลึกถึงรายละเอียด แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้าเสียดายเล็กน้อยเท่านั้น
“จากที่เจ้าอธิบายให้ฟัง ดูเหมือนว่าเด็กนั่นจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการ สำหรับผู้ฝึกตนเช่นนั้น การจัดการกับพวกเจ้าที่มีปราณขั้นขี้ปะติ๋วนั้นแค่กระดิกนิ้วก็เห็นทีจะสำเร็จอย่างง่ายดาย แต่จะให้ผู้ฝึกตนระดับสี่ไปเป็นพ่อครัวในกองครัวก็แอบน่าเสียดายอยู่สักหน่อย เจ้าจัดคนไปคอยดูเด็กนั่นเอาไว้ก็แล้วกัน”
“อีกไม่กี่วันกองทหารลำดับสามของเราจะต้องติดตามท่านแม่ทัพใหญ่ก่งเซวียนออกจากเมืองไปทำภารกิจทางการทหาร จำไว้ว่าจงเตรียมทหารในอาณัติของเจ้าให้พร้อม แล้วก็ให้พวกพ่อครัวเตรียมอาหารเอาไว้เลี้ยงพวกเด็กๆ มันด้วย” จูเยวี่ย แม่ทัพประจำกองทหารลำดับสามของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเอ่ย พอพูดจบก็โบกมือไล่หัวหน้าหมู่หลิวให้ออกไป
หัวหน้าหมู่หลิวชะงักทันที จิตยุทธการบ้าบออะไรกัน… พลังกดดันของเด็กนั่น แถมยังความแข็งแกร่งในการต่อสู้อีก… พวกจิตยุทธการเทียบไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว!
ใบหน้าของหัวหน้าหมู่หลิวแดงก่ำ เขาไม่คาดคิดสักนิดว่ารายงานของตนจะถูกปัดทิ้งง่ายๆ เช่นนี้
…
“เจ้าอยากเข้าหน่วยโรงครัวประจำกองทหารลำดับสามเช่นนั้นหรือ”
ชายแก่คนหนึ่งหยิบตราในมือปู้ฟางมาพิจารณาดู จากนั้นก็มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าสงสัย
การที่คนเหล่านี้อยู่ในหน่วยโรงครัวประจำกองทหาร ไม่ได้แปลว่าชีวิตของพวกเขาจะสบายกว่าทหารที่ออกรบแต่อย่างใด ความจริงแล้วชีวิตของพวกเขายากลำบากเสียยิ่งกว่า ระหว่างออกเดินทาง พวกเขาต้องแบกกระทะเหล็กขนาดใหญ่แถมหนักอึ้ง พร้อมกับเครื่องครัวมากมายไปด้วย ทั้งยังต้องเฝ้าเสบียงทั้งหมดของกองทัพอีก และเมื่อถูกข้าศึกโจมตี พวกเขาก็ต้องลงมือสู้รบเองด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเพียงหยิบมือที่อยากมาเข้าร่วมกับหน่วยโรงครัว
ยิ่งเป็นคนแบบปู้ฟางยิ่งแล้วใหญ่ ชายหนุ่มอายุน้อย… ผิวขาวสะอาดรูปร่างบอบบาง มองปราดเดียวก็รู้ว่าหมอนี่เป็นนายน้อยจากตระกูลร่ำรวย
กระนั้นปู้ฟางก็พยักหน้าอย่างจริงจัง ชายชราจึงต้องรับตราขอเข้าร่วมหน่วยมาอย่างเสียมิได้เนื่องจากตรานั้นเป็นของจริง แม้เขาจะสงสัยว่าคนอย่างปู้ฟางจะมาเข้าหน่วยโรงครัวทำไม แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก หน่วยโรงครัวอยากได้พ่อครัวมากกว่านี้มาร่วมงานด้วย โดยเฉพาะกับกองทหารลำดับสาม
ปู้ฟางเดินตามชายชราเข้าไปในค่ายทหาร ค่ายนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร หากเทียบกับค่ายทหารที่เขาเคยเห็นมาก่อน มันจัดได้ว่าเล็กและซอมซ่อพอตัวเลยทีเดียว
แก๊ง แก๊ง แก๊ง!
ทันทีที่ชายชราเดินเข้ามาในค่าย เขาก็หยิบกระทะขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วเอาตะหลิวตีเสียงดังลั่น
บรรดาทหารในชุดเครื่องแบบผ้าลินินและผ้ากันเปื้อนต่างพุ่งออกมาจากค่ายทันที กลุ่มคนเหล่านี้ประกอบไปด้วยพวกที่ทั้งเด็กมากและแก่มาก แต่กลับไม่มีชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ร่างกายกำยำแข็งแรงแม้แต่คนเดียว
เมื่อลองนับดูเร็วๆ ปู้ฟางก็พบว่าทั้งหน่วยมีอยู่หลายร้อยคน แม้จะดูเหมือนเยอะ แต่ความจริงแล้วเป็นจำนวนที่ปกติมาก เนื่องจากพวกเขาต้องทำอาหารเลี้ยงทหารหลายหมื่นชีวิต
“ตาเฒ่าจาง จะเคาะกระทะหาพระแสงอะไรกัน แหกปากพูดบ้างไม่ได้หรือ มาเคาะอยู่ได้ทุกวี่วัน อีกไม่นานกระทะเวรนั่นคงได้แตกคามือ!”
เสียงดังลอยมาจากทางเข้าค่าย จากนั้นหลายร่างก็เดินตามออกมา
“สวัสดีท่านหัวหน้า ไม่เห็นหรือว่าหน่วยเรามีสมาชิกใหม่ จะไม่ต้อนรับขับสู้เขาหน่อยรึ” ตาเฒ่าจางเลิกตีกระทะแล้วยิ้มออกมา
ชายวัยกลางคนที่ดูอายุมากพอสมควรหรี่ตามองปู้ฟางซึ่งยืนอยู่ข้างหลังตาเฒ่าจาง จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าเป็นหน้าใหม่ที่จะมาร่วมกับหน่วยโรงครัวของเรารึ แล้วเจ้ารู้กฎของเราหรือไม่” ชายวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มขณะที่กำลังประเมินปู้ฟาง
บรรดาผู้คนรอบตัวยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง แต่ยิ้มออกมาบางๆ
ปู้ฟางมองชายวัยกลางคนผู้นั้นด้วยสีหน้าเมินเฉยพลางส่ายศีรษะ
“กฎก็คือเจ้าจะต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ หากทักษะการทำอาหารของเจ้าผ่านเกณฑ์ ข้าจะให้กระทะกับเจ้า และถือว่าเจ้าได้รับอนุญาตให้ทำอาหารได้ แต่หากไม่ผ่าน… จึ๊ๆ เจ้าก็ต้องตัดไม้มาทำฟืนไปอีกสองสามเดือนทีเดียวเชียว!” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมหรี่ตาแล้วเลียริมฝีปาก