ปุด ปุด!
ควันหนาลอยออกมาจากกระทะเหล็กพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปในอากาศ
ปู้ฟางยกฝาหม้อขึ้น ทำให้กลิ่นของน้ำแกงลอยล่องออกไป อาหารที่เขากำลังเตรียมยังเป็นซุปครีมเปรี้ยวหวานเช่นเดิม เขามีตัวเลือกอื่นอีกหรือไร แต่ปู้ฟางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่ต้องเตรียมอาหารจานเดิมซ้ำๆ เพราะเขาถูกสั่งให้มาประจำอยู่ที่ครัวของวัตถุดิบธรรมดา วัตถุดิบต่างๆ ที่ชายหนุ่มมีอยู่ในมือจึงจำกัดจำเขี่ยเหลือเกิน
ชิ้นมันฝรั่งนับไม่ถ้วนลอยฟ่องอยู่ในซุป พอๆ กับเห็ดที่เต้นเร่าไปมาขณะที่ซุปกำลังเดือดจนเป็นฟองปุด
แม้ซุปจะสุกทั่วดีแล้ว แต่ปู้ฟางก็ยังปล่อยให้ไฟในเตาติดอยู่เช่นนั้นราวกับว่าไม่มีความคิดจะดับไฟแต่อย่างใด ชายหนุ่มใช้กระบวยตักซุปให้ตัวเองหนึ่งชามแล้วเดินไปที่มุมหนึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็ตักซุปเข้าปากไปเต็มช้อน
ห่างออกไปพอประมาณ พ่อครัวประจำกองทัพคนอื่นๆ กำลังขะมักเขม้นทำอาหารของตนเองอยู่ สภาพจิตใจของแต่ละคนไม่ดีเท่าไรเพราะเพิ่งเสร็จสิ้นจากการเดินทางไกล ระหว่างทางพวกเขาพบเจอกับความกลัวและความกังวลใจไม่น้อย เส้นประสาทของทุกคนตึงเครียดตลอดการเดินทาง เพิ่งจะมาผ่อนคลายลงก็ตอนที่ถึงที่หมายนั่นเอง ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจจริงๆ จังๆ กันเสียที
พอปู้ฟางซดซุปครีมเปรี้ยวหวานจนหมดชาม เขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ค่ำคืนของที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเหน็บหนาวยิ่งนัก ความรู้สึกที่ว่าซุปอุ่นๆ ได้หลั่งไหลไปถึงท้องจึงทำให้สบายกายเป็นอย่างยิ่ง
หลงไฉลากร่างเหนื่อยล้าของตนตรงมาหาปู้ฟาง จมูกกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นหอมของซุปครีมเปรี้ยวหวานที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายขึ้นมาทันที
เขาตักซุปให้ตัวเองหนึ่งชาม แล้วเดินถือชามมานั่งข้างๆ ปู้ฟาง ก่อนจะสูดกลิ่นซุปเข้าจมูก แล้วเริ่มดื่มซุปลงคอ
หลังจากที่พ่อครัวประจำกองทัพตระเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็แจกจ่ายอาหารเหล่านั้นไปให้เหล่าทหารที่กำลังตั้งค่าย และเพราะวัตถุดิบที่พวกเขาใช้ทำอาหารล้วนเป็นวัตถุดิบพลังปราณ เหล่าทหารจึงมีกำลังกายเต็มเปี่ยมหลังจากกินอาหารเข้าไป
และนี่เองคือเหตุผลของการมีโรงครัวประจำกองทหาร
…
ดวงตาของจูเยวี่ยเบิกกว้างเมื่อเห็นทหารลาดตระเวนคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาพร้อมร่างที่อาบไปด้วยเลือด ก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินมาถึงเขาก็ล้มลงกับพื้นไปเสียก่อน หัวใจของจูเยวี่ยบีบแน่นไปชั่วขณะก่อนจะเงยหน้าขึ้น มองความมืดมิดที่โอบล้อมอยู่รอบตัว มันดูเหมือนปากของปีศาจร้ายไม่มีผิด
“ให้ตายเถิด! มีการซุ่มโจมตี!”
จูเยวี่ยตะโกนออกมาด้วยความโกรธ เขาใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการตะโกน ดังนั้นทหารทั้งหมดที่กำลังกินอาหารซึ่งพ่อครัวประจำกองทหารตระเตรียมให้จึงได้ยินเสียงตะโกนนี้ เส้นประสาทของพวกเขาเขม็งเกลียวขึ้นมาทันที ต่างพากันกระโจนออกจากจุดที่นั่งอยู่ รีบเข้ามารวมตัวกันเพื่อเตรียมพร้อมสู้
แสงหนึ่งส่องสว่างขึ้น และแสงอีกแสงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นตามมา
อสูรเวทดวงตาแดงก่ำจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากความมืดมิด พวกมันพุ่งตรงเข้ามายังค่ายของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับอย่างรวดเร็ว แล้วกระโจนเข้าใส่เหล่าทหารอย่างบ้าคลั่ง
จูเยวี่ยพาทหารกลุ่มหนึ่งออกไปเผชิญหน้า พวกเขาต่างพากันสังหารอสูรเวทลงทีละตัว
“มีมาอีกฝูงแล้ว! ให้ตายเถิด! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” จูเยวี่ยโกรธจัดและบ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงกระบี่ออกไป ต้องได้ตัดหัวของอสูรเวทหนึ่งหัว ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสังหารอสูรเวทเหล่านี้เพราะระดับของพวกมันไม่ได้สูงนัก
สิ่งเดียวที่ทำให้อสูรเวทเหล่านี้น่ากลัวก็คือจำนวน
ตอนนั้นเองจูเยวี่ยก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสายธนูถูกขึงจนตึง ลูกธนูลูกหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาจากความมืดมิดด้วยความเร็วและพลังที่น่าเกรงขาม มันพุ่งผ่านอากาศเข้ามาราวกับต้องการฉีกแผ่นฟ้าให้เป็นสองส่วน ลูกธนูตรงลิ่วมายังศีรษะของจูเยวี่ย
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง จูเยวี่ยก็คำรามออกมาแล้วใช้กระบี่ปัดลูกธนูทิ้ง
ลูกธนูรึ… แปลว่าต้องมีทัพศัตรูอยู่ข้างหน้า
หัวใจของจูเยวี่ยบีบแน่นไปชั่วขณะ อึดใจถัดมาเขาก็ได้ยินเสียงคนจำนวนนับไม่ถ้วนตะโกนอื้ออึงอยู่ในความมืด เหล่าศัตรูกรูเข้ามาจู่โจมพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัวในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เอง
กองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับรีบพุ่งเข้าไปโรมรันกับทัพที่ดาหน้าเข้ามา
รังสีสังหารของจูเยวี่ยแรงกล้าขึ้น เขารู้ได้ทันทีว่าเหล่าคนที่เข้ามาโจมตีนั้นเป็นผู้ควบคุมฝูงอสูรเวท ชายหนุ่มอดกลั้นมาตลอด ตอนนี้มีโอกาสที่จะปลดปล่อยความโกรธและความคับข้องใจแล้ว แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่มือที่ใช้พรากชีวิตเหล่าศัตรูก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
การสู้รบรุนแรงขึ้นในพริบตา เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณในชั่วไม่กี่ลมหายใจ ปริมาณเลือดที่หลั่งไหลออกมานั้นมากมายเสียจนรวมตัวกันเป็นแม่น้ำได้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวลไปทั่วหุบเขา
ตอนที่การสู้รบปะทุขึ้นปู้ฟางกับหลงไฉยังนั่งดื่มซุปกันสบายใจอยู่ พวกเขารู้สึกเพียงว่าแผ่นดินที่อยู่ใต้เท้านั้นสั่นไหว การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เสียงกระบี่ปะทะกันดังกึงก้องจนมาเข้าหูคนทั้งสอง
“พวกเขาเริ่มสู้กันแล้วหรือ” หลงไฉแตกตื่น รู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ปู้ฟางดื่มน้ำแกงเข้าไปอีกอึก ดวงตาฉายแสงประหลาด
ในการสู้รบครั้งแรกพวกเขากระฉับกระเฉงเต็มไปด้วยพลัง และอ่อนแรงลงเล็กน้อยในการสู้รบครั้งที่สอง ส่วนการสู้รบครั้งที่สามพวกเขาไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรง กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับต้องรับมือกับอสูรเวทที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่ได้หยุดพัก พละกำลังและสภาพร่างกายอยู่ในจุดที่ย่ำแย่ที่สุด ส่วนสภาพจิตใจก็ต่ำเตี้ยไม่แพ้กัน แล้วพวกเขาจะสู้รบกับศัตรูทั้งที่มีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ดูท่าว่าตอนนี้กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับกำลังอยู่ในจุดที่ล่อแหลมเสียแล้ว
โม่หลินกำหอกยาวไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้กองทหารนี้จะจัดได้ว่าอ่อนแอที่สุดในหมู่กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ แต่หากเขาบดขยี้อีกฝ่ายได้ อย่างไรเสียก็ยังได้รับความดีความชอบมากมาย
เขากวาดหอกไปมาแล้วผ่าร่างทหารคนหนึ่งออกเป็นสองส่วนได้ เมื่อเห็นเลือดอุ่นๆ ของทหารตรงหน้าสาดกระจายไปทั่ว โม่หลินก็รู้สึกตื้นเต้นจนถึงขีดสุด
ชายชราในชุดคลุมสีดำยืนอยู่ท่ามกลางกองหินมากมายบนหน้าผา ดวงตาเป็นประกายขณะที่ปากก็พึมพำไม่หยุด ตอนนั้นเองเขาก็เริ่มวาดวงแหวนปราณขึ้น วงแหวนปราณนี้ช่างแปลกประหลาดล้ำลึกจนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ แม้หน้าตาของมันจะดูซับซ้อน แต่ชายชรากลับใช้เวลาไม่นานในการวาด
เมื่อวงแหวนปราณเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ยันต์สีแดงห้าแผ่นก็ลอยออกมาจากกลางอากาศแล้วเข้าไปรวมร่างกับวงแหวนปราณ ทันใดนั้นเองแรงดูดมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากใจกลางวงแหวนปราณ ท่ามกลางเสียงตะโกนโห่ร้องไม่หยุดปากในหุบเขา กลุ่มควันสีเทาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ควันนี้ประกอบจากร่างเงาพร่ามัวนับไม่ถ้วน บางร่างโกรธเกรี้ยวและพยายามขัดขืน ขณะที่บางร่างคำรามลั่นไม่หยุด
ร่างเหล่านี้คือแก่นวิญญาณของเหล่าทหารที่ตายไป แก่นวิญญาณเหล่านี้มาพร้อมวิญญาณที่ไม่ได้สูญสลายไปเพราะความโกรธเกรี้ยวและไม่ยินยอมที่ยังติดค้างอยู่ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิต เมื่อดูจากร่างเงาพร่ามัวเหล่านี้ จะเห็นได้ชัดว่าความรู้สึกเคืองแค้นของพวกเขายังมีอยู่เต็มเปี่ยม
“ฮ่าๆๆ! เอาเลย ฆ่ากันให้สาแก่ใจ! ยิ่งมีคนตายมากเท่าไรก็ยิ่งดี!” ผู้อาวุโสชุดดำของลัทธิอสุราตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
ทว่าจู่ๆ เสียงหัวเราะของเขาก็หยุดไป เมื่อสายตามองไปยังจุดจุดหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป เขาเห็นกระบี่คมปลาบทอแสงวาบพุ่งเข้ามาใส่ มันพุ่งมาจากท้องฟ้าอีกฟากด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
“ไอ้ชั่วจากลัทธิอสุรา! ไปลงนรกเสีย!”
แสงที่ล้อมรอบกระบี่อยู่กระจายตัวออกมาแล้วแปรเปลี่ยนเป็นห่ากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าแล้วพุ่งตรงเข้าใส่ชายชราในชุดดำ ตัดหัวทุกสรรพชีวิตที่ขวางทางเสียจนเหี้ยน
ถังอิ่นปรากฎตัวขึ้นกลางอากาศ ดวงตาที่อยู่ใต้คิ้วตรงราวกระบี่ทอแสงจ้า ชายหนุ่มเหาะเหินมาในอากาศพลางเข้าใกล้ชายชราในชุดดำขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกระบี่ที่หมุนวนอยู่ในมือ
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มบรรลุปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการแล้ว เพราะสามารถเหาะเหินกลางอากาศได้ตามใจชอบ นับว่าเป็นผู้ที่พัฒนาขั้นปราณได้รวดเร็วยิ่งนัก
ทันทีที่ถังอิ่นเข้าร่วมการสู้รบ ขวัญและกำลังใจของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับก็พุ่งสูงขึ้น พวกเขาเริ่มตอบโต้ศัตรูอย่างฮึกเหิมดุร้าย และเป็นฝ่ายพลิกสถานการณ์เข้าเข่นฆ่าอริแทน
โม่หลินมองถังอิ่นที่เหาะอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าขึงขัง ในอดีตการจะได้เจอผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการสักคนนั้นเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก ทว่าเมื่อสงครามอุบัติขึ้น ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการกลับโผล่หัวกันมาไม่หยุดหย่อน
“เวรเถอะ… หรือหมอนี่จะมาจากสำนักความลับแห่งสวรรค์อีกคนแล้ว หรือจะเป็นคนจากกลุ่มอำนาจอื่นของแคว้นทางใต้ เหตุใดคนพวกนี้ถึงคิดขัดขวางการกลับมาของลัทธิอสุราเสียจริง แต่คิดไปก็เท่านั้นละ! อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ต้องตายกันทั้งหมด!”
แสงสีแดงเข้มสว่างวาบขึ้นในนัยน์ตาของชายชราชุดดำ เขาพุ่งตัวขึ้นไปแล้วเหาะตรงไปหาถังอิ่น มือที่เป็นกรงเล็บของชายชราสะบัดใส่ถังอิ่นที่ลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงก่ำ แสงที่ดูน่าสะพรึงกลัวนี้พุ่งผ่านอากาศตรงไปยังถังอิ่นทันที
ถังอิ่นยกกระบี่ขึ้นกันโดยไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็เข้าโรมรันกับชายชราชุดดำทันที
การสู้รบครั้งนี้น่าสลดหดหู่เป็นอย่างมากเพราะทั้งหุบเขาถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ไม่ว่าใครที่ได้เห็นต่างก็ต้องเข่าอ่อนด้วยกันทั้งสิ้น
ปู้ฟางมองถังอิ่นด้วยสีหน้าสับสน ตอนที่ได้เห็นอีกฝ่ายจับกระบี่เข้ามาฟาดฟันกับชายชราชุดดำกลางอากาศ คิ้วของปู้ฟางก็เลิกขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าจะมาเจอสหายเก่าแก่ในสถานที่เช่นนี้
จากที่เห็นถังอิ่นไม่ใช่คู่ต่อกรของชายชราชุดดำแต่อย่างใด เพราะชายหนุ่มเพิ่งบรรลุปราณได้ไม่นานและยังไม่แข็งแกร่งพอ
การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาตั้งแต่ราตรีกาลยันรุ่งสาง สภาพของถังอิ่นย่ำแย่เมื่อต้องรับมือกับชายชราชุดดำไม่ได้พัก สุดท้ายเขาก็เหาะกลับมาที่พื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว จูเยวี่ยเองก็ตะโกนสั่งให้เหล่าทหารถอยทัพเช่นกันเมื่อประจักษ์แก่สายตาแล้วว่าพวกตนไม่อาจเอาชนะศัตรูได้ สุดท้ายแล้วกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับก็เลือกที่จะออกจากหุบเขาไป
เมื่อเหล่าทหารถอยทัพ โรงครัวประจำกองทหารก็ต้องถอยทัพเช่นกัน พวกเขาปกป้องอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ รวมถึงวัตถุดิบเป็นอย่างดีระหว่างที่ถอยร่นไป
บนท้องฟ้า ดวงตาของชายชราชุดดำเป็นประกายวาบด้วยความอำมหิต ก่อนจะตะโกนลั่น “ตามพวกมันไป! ฆ่าพวกมันให้หมด!”
คิดจะหนีรึ ข้าจะยอมปล่อยให้เนื้อฉ่ำๆ ที่เข้าปากมาแล้วหลุดลอยไปได้อย่างไรเล่า หากข้ากำจัดกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับกองนี้ได้ ก็เท่ากับว่าทำภารกิจที่ปรมาจารย์อาวุโสมอบหมายสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ด้วยความเร็วขนาดนี้ ข้าก็น่าจะรวบรวมแก่นวิญญาณได้ทั้งหมดหลังเข้าโจมตีเมืองโม่หลัว นับเป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟูลัทธิอสุราโดยแท้”
ด้วยเหตุนี้ชายชราชุดดำจึงไม่คิดจะปล่อยให้กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับกองนี้หลุดมือไปแต่อย่างใด ส่วนจอมยุทธ์จากสำนักความลับแห่งสวรรค์นั้น ชายชราชุดดำต่อสู้โรมรันกับอีกฝ่ายมาเป็นเวลานานจนไม่คิดเกรงกลัวแต่อย่างใด เพราะรู้แน่แก่ใจแล้วว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นก็ไม่อาจเอาชนะตนได้
ดวงตาของโม่หลินเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นขณะโบกอาวุธในมือ เขาคำรามก้องก่อนเริ่มติดตามกองทหารที่ถอยทัพไป ชายหนุ่มเองเองก็ไม่อยากให้โอกาสนี้หลุดมือไปง่ายๆ เช่นกัน
ถังอิ่นโมโหกับภาพที่เห็นมาก ถึงขนาดนี้แล้วลัทธิอสุรายังไม่สาแก่ใจอีกหรือ
กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับที่ถูกผลักให้เข้าตาจนต้องเริ่มรับมือกับศัตรูอีกครั้ง การพุ่งรบครั้งใหญ่บังเกิดขึ้นที่หุบเขาแห่งเดิมอีกครา ถังอิ่นต้องเข้าไปช่วยสู้รบจนบาดเจ็บหนัก เหล่ากองทหารลำดับสามของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับจึงสามารถถอยทัพไปได้อีกครั้ง
กองทหารลำดับสามของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับที่เพิ่งตั้งค่ายใหม่อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก เหล่าทหารเกือบครึ่งหนึ่งสูญหายกระจัดกระจายในการถอยทัพครั้งนี้
วัตถุดิบในตอนนี้ร่อยหลอเต็มที่ เว่ยต้าฝูเดินตรงมาหาปู้ฟางด้วยใบหน้ามืดมน ในเมื่อมีวัตถุดิบพลังปราณเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้วัตถุดิบธรรมดาปรุงอาหาร
ใบหน้าของเว่ยต้าฝูร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ทว่าปู้ฟางก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกย่ำแย่ไปใหญ่ เขาตกลงที่จะทำอาหารจากวัตถุดิบอะไรก็ได้ที่เหลืออยู่ทันที
หลงไฉถูกสั่งให้มาเป็นผู้ช่วยของปู้ฟาง
พอเว่ยต้าฝูออกไปแล้ว คนทั้งคู่ก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบ พวกเขาต้องทำอาหารจำนวนมากเนื่องจากต้องเลี้ยงปากท้องคนมากมาย
นี่เป็นครั้งแรกที่ปู้ฟางได้ทำอาหารด้วยกระทะใบใหญ่เบ้อเริ่ม