เหล่าทหารตั้งค่ายอยู่ท่ามกลางเศษอิฐเศษปูน เงาของกระโจมซ้อนทับกันไปมาขณะที่ควันจากกองไฟลองสูงขึ้นไปในอากาศ แสงของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาทำให้สถานที่แห่งนี้ดูเปลี่ยวร้างไม่น้อย
ถังอิ่นนั่งขัดสมาธิอยู่ในกระโจมหนึ่ง พลังปราณเที่ยงแท้ผันผวนอยู่รอบร่างเนื่องจากชายหนุ่มบังคับให้มันโคจรไปรอบๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายใน ถังอิ่นเพิ่งบรรลุขั้นนักพรตยุทธการได้ไม่นาน ระดับพลังปราณของเขาในตอนนี้ไม่อาจรับมือผู้เยี่ยมยุทธ์ของลัทธิอสุราได้
ผ่านไปพักใหญ่พลังปราณเที่ยงแท้ที่ไม่ค่อยเสถียรนักซึ่งกำลังหมุนวนอยู่รอบกายก็ค่อยๆ กลับเข้าไปในตัว ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
“ไม่คาดคิดเลยว่าขั้นปราณของคนในลัทธิอสุราจะทรงพลังถึงเพียงนี้…” ใบหน้าของถังอิ่นซีดขาวราวกระดาษ นัยน์ตาฉายแววกังวลเล็กน้อย หากเขาหยุดผู้เยี่ยมยุทธ์ของลัทธิอสุราผู้นี้ไม่ได้ เมืองโม่หลัวและแม้แต่เมืองประจิมเร้นลับอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่วพวกนั้นก็เป็นได้ แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง มันย่อมเป็นหายนะอย่างแน่นอน เลือดของผู้คนมากมายคงจะหลั่งไหลจนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ภายใต้ฤทธิ์เดชของลัทธิปีศาจแห่งนี้
ชายหนุ่มรู้เรื่องของลัทธิอสุราไม่มากนัก แต่หนี่หยันก็พอจะเล่าอะไรต่อมิอะไรของลัทธินี้ให้เขาฟังบ้าง เช่น เขารู้ว่าลัทธิอสุราเดินทางจากแคว้นอื่นมายังดินแดนทางใต้แล้วก่อตั้งสำนักขึ้นมาเป็นพันปีแล้ว การมาถึงของสำนักชั่วร้ายนี้ถือเป็นฝันร้ายที่แท้จริงของดินแดนแห่งนี้ ผู้ที่ต้องการฝึกวิชาของลัทธิอสุราจนถึงระดับสูงสุดต้องมีแก่นวิญญาณในมือจำนวนมาก และทางเดียวที่จะได้ครอบครองแก่นวิญญาณก็คือการเข่นฆ่าชีวิต
เจ้าสำนักลัทธิอสุราในอดีตแข็งแกร่งจนถึงขั้นน่าสะพรึงกลัว เขาสามารถกวาดล้างดินแดนทางใต้จนราบคาบได้ สำนักความลับแห่งสวรรค์แห่งเทือกเขาอู่เหลียง สำนักเจดีย์นภากระจ่างแห่งดินแดนแสนภูผา วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ สำนักตำหนักเมฆาขาวแห่งหนองน้ำปราณมายา และสำนักอื่นๆ ต้องร่วมมือกันถึงจะถอนรากถอนโคนลัทธิอสุราจากดินแดนทางใต้ไปได้ ใครจะไปคาดคิดว่าสำนักที่ทรงพลังเช่นนั้นจะปรากฏขึ้นมาอีกในยามนี้
หนำซ้ำจากการกระทำของคนพวกนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้จุดชนวนสงครามขึ้น ลัทธิอสุราจุดไฟการสู้รบขึ้นมาเพื่อที่จะรวบรวมแก่นวิญญาณจำนวนมากในการพัฒนาขั้นปราณ เพียงเพื่อบรรลุขั้นปราณพวกเขาเข่นฆ่าคนไปจำนวนมหาศาล ช่างโหดเหี้ยมชั่วร้ายเป็นที่สุด
“ตอนนี้ลัทธิอสุราเก็บตัวเงียบอยู่ พวกเขาทำเพียงก่อสงครามระหว่างแคว้นเท่านั้น เพราะสงครามเช่นนี้เข่นฆ่าผู้คนได้จำนวนมาก สำหรับสมาชิกของลัทธิอสุรา จำนวนแก่นวิญญาณที่พวกเขารวบรวมต้องสำคัญมากเป็นแน่”
“พวกเขาอาจตั้งใจซุ่มฟื้นฟูความแข็งแกร่งอยู่เงียบๆ แต่ก็ยังอาจหาญสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ใกล้จะบรรลุปราณขั้นเซียนเทพของดินแดนป่ารกชัฏ เช่นนั้นก็สมควรต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว พอลัทธิอสุราถูกเปิดโปง การสู้รบครั้งใหม่ต้องปะทุขึ้นแน่ ทั้งสองฝ่ายจะต้องบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย หวังว่าพวกเขาจะยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่สังหารผู้คนจนหมดทั้งเมือง” ถังอิ่นลืมตาขึ้นพลางถอนหายใจ
หลังจากนั้นถังอิ่นก็หยุดโคจรพลังปราณ จูเยวี่ยที่ยืนอยู่นอกกระโจมเดินเข้ามาด้านใน สีหน้าท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรเสียถังอิ่นก็เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ
“ขอบคุณศิษย์พี่มากที่ช่วยเหลือพวกเรา”
ถังอิ่นโบกไม้โบกมือไม่ใส่ใจคำขอบคุณของจูเยวี่ย เขาเพียงทำตามคำสั่งของผู้อาวุโส ตอนนี้มีจอมยุทธ์มากมายจากหลายสำนักที่ถูกส่งตัวออกมาทำภารกิจ เขาก็แค่บังเอิญต้องมาช่วยเหลือเมืองโม่หลัวเท่านั้น
ส่วนหนี่หยันนั้นถูกส่งไปยังเมืองประจินเร้นลับ ทว่าเมืองประจินเร้นลับนั้นเป็นหนึ่งในเมืองโบราณของจักรวรรดิวายุแผ่ว ทั้งยังเคยเป็นนครหลวงของจักรวรรดิเก่าแก่มามากมาย ลัทธิอสุราย่อมไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม เพราะอิทธิพลของเมืองแห่งนั้นมีไม่น้อยเลย
“แม่ทัพจู เมืองโม่หลัวตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร” ถังอิ่นถาม เขากังวลกับสถานการณ์ในเมืองโม่หลัวไม่น้อย หากพวกนั้นยึดเมืองโม่หลัวไว้ได้ เมืองประจิมเร้นลับย่อมถูกโดดเดี่ยว สถานการณ์ของพวกเขาย่อมย่ำแย่อย่างแน่นอน
“ข้ายังไม่ได้รับข่าวจากทหารลาดตระเวนของเมืองโม่หลัวเลย… แต่เมืองโม่หลัวมีเขตแดนติดกับเมืองโม่จั่วของกลุ่มสิบสามกองโจร แม้คนพวกนั้นจะเป็นโจร แต่ถ้าราชาอวี่ยึดเมืองโม่หลัวได้ พวกเขาย่อมเสียดินแดนไปไม่น้อยแน่ และชีวิตก็จะไม่สุขสบายอีกต่อไป ดังนั้น… หากพวกเขาคิดช่วยเมืองโม่หลัว ก็น่าจะประวิงเวลาไปได้อีกสักพักหนึ่ง”
จูเยวี่ยวิเคราะห์สถานการณ์ให้อีกฝ่ายฟัง ทว่าเขาก็ทำได้เพียงเดากว้างๆ เท่านั้น ชายหนุ่มไม่อาจคาดเดาได้ว่ากลุ่มสิบสามกองโจรของเมืองโม่จั่วจะยื่นมือเข้ามาช่วยเมืองโม่หลัวจริงหรือไม่
“กลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วรึ” ถังอิ่นมีสีหน้าแปลกแปร่งเล็กน้อย
ชายหนุ่มได้เจอกลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วครั้งแรกที่ร้านของเถ้าแก่ปู้ ตอนนั้นขั้นปราณของคนเหล่านั้นอยู่เพียงระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการเท่านั้น แต่เขาก็ได้ข่าวมาว่าหลังออกจากร้านเถ้าแก่ปู้ไป เหล่าโจรหลายคนก็บรรลุขั้นปราณ ทำให้ตอนนี้กลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วจัดว่าเป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งของจักรวรรดิวายุแผ่ว
“ศิษย์พี่ ข้าส่งทหารไปขอกำลังเพิ่มจากเมืองประจิมเร้นลับแล้ว เมื่อกองทหารลำดับหนึ่งของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเดินทางมาถึง ศัตรูพวกนั้นก็ไม่นับว่าคณนามือเราแต่อย่างใด!”
ถังอิ่นพยักหน้ารับไปอย่างนั้น เขาดูราวไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่จูเยวี่ยพูดแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นกลิ่นหอมหวานก็ลอยมาเข้าจมูกของถังอิ่น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
จมูกของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “กลิ่นอะไรหอมชะมัด!”
จูเยวี่ยเองก็ประหลาดใจกับกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาปะทะจมูกเช่นกัน ถังอิ่นเดินออกไปนอกกระโจมพลางมองซ้ายมองขวาเพื่อหาต้นตอของกลิ่นหอม เขาหรี่ตาเอียงคอน้อยๆ ทำหน้าทำตาราวกับว่าอยากฝังตัวลงไปในกลิ่นหอมหวนอย่างไรอย่างนั้น
“แม่ทัพจู ข้าไม่คาดคิดเลยว่าทักษะการทำอาหารของโรงครัวประจำกองทหารลำดับสามจะน่าประทับใจถึงเพียงนี้ ข้าเคยได้กลิ่นอาหารหอมเตะจมูกขนาดนี้ก็ตอนที่อยู่ในนครหลวงเท่านั้น!” ถังอิ่นยิ้มพลางกล่าวกับจูเยวี่ย อาหารของเถ้าแก่ปู้หอมหวนชวนกินที่สุดแล้ว เขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าจะได้กลิ่นอาหารใดที่ชวนกินพอๆ กับอาหารของเถ้าแก่ปู้ในกองทัพเช่นนี้
ถังอิ่นท้องร้องขึ้นมาทันทีเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร
จูเยวี่ยหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นพลางเชิญถังอิ่นให้ไปกินอาหารด้วยกัน
…
หลงไฉยืนอึ้งสีหน้ามึนงงอยู่ด้านข้าง กลิ่นหอมของอาหารที่อบอวลไปทั่วในขณะนี้ดูเหมือนจะเข้ากุมใจของเขาได้อยู่หมัด
เขาเคยได้กลิ่นหอมหวนชวนกินเช่นนี้มาก่อนครั้งหนึ่ง และกลิ่นนั้น…ก็เปิดทุกรูขุมขนของเขาได้จริงๆ
ปู้ฟางยืนอยู่ไกลออกไป ในมือถือกระบวยอยู่ตรงหน้ากระทะขนาดใหญ่สี่ใบ ใต้กระทะแต่ละใบมีกองไฟร้อนจัดที่กำลังให้ความร้อนกับสิ่งที่อยู่ภายใน ไฟในกองไฟเผาไหม้รุนแรงเดาได้ไม่ยากว่าอุณหภูมิตรงนั้นต้องร้อนจัดเพียงใด
ปู้ฟางยกกระบวยขึ้นมาตักสิ่งที่อยู่ในกระทะแต่ละใบมาผสมกัน พลังปราณเที่ยงแท้ของเขาหลั่งไหลออกมาปกคลุมกระบวยเอาไว้ดูราวกับได้ผสานเป็นเนื้อเดียวกับกระบวย ทุกครั้งที่ผสมวัตถุดิบที่อยู่ในกระทะ ชายหนุ่มจึงสามารถควบคุมรสชาติของมันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ในเมื่อวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารเป็นเพียงวัตถุดิบธรรมดา ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงควบคุมรสชาติของมันให้ดีที่สุด เพื่อเพิ่มความอร่อยให้อาหารที่ทำ
รอบตัวเขามีกระทะอยู่สี่ใบที่ใส่อาหารไม่ซ้ำกัน อาหารในกระทะแต่ละใบทำจากวัตถุดิบแตกต่างกันไปที่ชายหนุ่มมี
เขาผสมวัตถุดิบหลายชนิดเข้าด้วยกัน ทว่ารสชาติของพวกมันไม่ได้ตีกันแต่อย่างใด แต่กลับทำให้กลิ่นหอมหวานของอาหารเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นทักษะพิเศษในการทำอาหารของปู้ฟาง การใช้พลังปราณเที่ยงแท้ทำอาหารทำให้เขาควบคุมพลังปราณเที่ยงแท้ภายในวัตถุดิบได้ ส่วนวัตถุดิบที่ไม่มีพลังปราณเที่ยงแท้นั้น เขาก็สามารถใช้พลังปราณเที่ยงแท้ควบคุมรสชาติและกลิ่นของพวกมันได้ รสชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิดจะออกมาโดดเด่นและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ กลิ่นหอมที่แตกต่างกันนั้นผสานรวมกันในอากาศก่อเกิดเป็นกลิ่นที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิมและสะกดทุกคนได้อยู่หมัด
จะใช้คำว่า ‘หอมสิบลี้’ อธิบายกลิ่นของอาหารนี้ก็ไม่ผิดนัก กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากกระทะทั้งสี่แพร่กระจายไปกับสายลม พุ่งเข้าปะทะจมูกของทุกคนที่อยู่ในค่าย
ไม่เพียงถังอิ่นเท่านั้น ทหารทั้งหมดในค่ายเองต่างก็ได้กลิ่นนี้และตะลึงงันไปเช่นกัน
เว่ยต้าฝูยืนนิ่งราววิญญาณออกจากร่างขณะในมือกำกระบวยแน่น กลิ่นที่พัดมาเข้าจมูกของเขาช่างหอมหวนเกินจะทำใจให้เชื่อได้
“หัวหน้าเว่ย ทำอะไรให้พวกเรากินน่ะ กลิ่นสุดยอดดีจริงๆ!”
เว่ยต้าฝูกำลังตกอยู่ในภวังค์ตอนที่จูเยวี่ยพาถังอิ่นเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง จูเยวี่ยพึงพอใจในฝีมือการทำอาหารของเว่ยต้าฝูไม่น้อย ดูเหมือนครั้งนี้หัวหน้าพ่อครัวจะงัดสูตรเด็ดออกมาทำ เขาคงรู้ว่าตอนนี้เหล่าทหารกำลังขวัญเสียขนาดไหน จึงใช้อาหารอร่อยมายกขวัญกำลังใจรวมทั้งกำลังกายของทุกคน… เป็นความคิดที่ดีเยี่ยม ช่างเป็นคนที่พึ่งพาได้จริงๆ!
แม่ทัพจูมาที่นี่ทำไมกันนะ เว่ยต้าฝูตื่นตระหนกเมื่อเห็นจูเยวี่ยเดินตรงมาหาตน ใบหน้าของหัวหน้าพ่อครัวดูกระอักกระอ่วนพลางรีบโยนสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งไป แล้วเดินตรงไปหาผู้เป็นแม่ทัพทันที
“ต้นตอของกลิ่นไม่ได้มาจากที่นี่” ถังอิ่นปรายตามองเว่ยต้าฝูแว่บหนึ่งแล้วก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายอีก เขาทำจมูกฟุดฟิด จากนั้นก็ออกเดินตามหาต้นตอของกลิ่นต่อ
นัยน์ตาของจูเยวี่ยฉายแววเก้อเขินอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดในใจขณะเดินตามหลังถังอิ่นไป ‘ไม่ใช่อาหารของเว่ยต้าฝูหรอกรึ ในโรงครัวประจำกองทหารมีคนฝีมือดีกว่าเขาด้วยหรือนี่’
ความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยต้าฝูชั่วขณะ ต้องเป็นเจ้าเด็กนั่นอีกแล้วแน่ๆ
ถังอิ่นเอามือไพล่หลังพลางเป็นฝ่ายเดินนำ จูเยวี่ยกับเว่ยต้าฝูเดินตามพร้อมสอดส่ายสายตาหาต้นตอของกลิ่น
หลังจากเดินผ่านกระโจมหลังแล้วหลังเล่า ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้น ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาก็หาต้นตอกลิ่นหอมหวนที่อบอวลไปทั่วค่ายพบแล้ว
กระทะใบใหญ่สีใบพร้อมกองไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่ด้านล่างดึงดูดสายตาของคนทั้งสาม จมูกจดจ่ออยู่กับกลิ่นที่หลั่งไหลออกจากหม้อ แล้วก็ตระหนักได้ว่าเจอต้นตอกลิ่นอาหารอร่อยในที่สุด
“เขาใช้กระทะสี่ใบพร้อมกันในการทำอาหาร หัวหน้าเว่ย มีพ่อครัวฝีมือเยี่ยมอยู่ในกองทหารของเราด้วยหรือ” จูเยวี่ยอุทานด้วยความชื่นชม คนผู้นี้ทำอาหารด้วยกระทะสี่ใบ กลิ่นของอาหารในกระทะแต่ละใบเข้มข้นจับใจยิ่ง ทักษะของคนผู้นี้…ยอดเยี่ยมเกินบรรยายไปแล้ว
“ศิษย์พี่ เรามาชิมกันเถอะ กลิ่นของอาหารตรงหน้าชวนน้ำลายสอเกินไปแล้ว”
จูเยวี่ยเงยหน้าขึ้นพลางมองหน้าถังอิ่น ทว่านัยน์ตาดำของแม่ทัพกลับหดแคบลงทันทีที่ได้เห็นสีหน้าแปลกแปร่งของอีกฝ่าย
ถังอิ่นไม่ได้มองไปยังกระทะทั้งสี่แต่อย่างใด และดูราวกับไม่ได้ใส่ใจกลิ่นหอมหวนของอาหารอีกต่อไป แต่สายตาของจอมยุทธ์หนุ่มกลับจับจ้องไปยังชายร่างโปร่งในมือถือกระบวยที่กำลังเดินไปเดินมาระหว่างกระทะทั้งสี่ใบด้วยท่วงท่าแสนสบายใจ