ร่างหลายร่างกำลังยืนอย่างผ่าเผยอยู่บนกำแพงเมืองโม่หลัว
หูอี้เฟิงสวมชุดหรูหราสีขาว ทว่าผมกลับถูกรวมไว้ลวกๆ บนแผ่นหลัง ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ของกลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วก็ยืนอยู่ด้านหลังของเขาอีกที
“กลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วไม่เคยเผชิญกับความพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อน หากเราหนีหัวซุกหัวซุนอย่างคนขี้ขลาด เหล่าพี่น้องที่พลีชีพไปต้องผิดหวังมากแน่ๆ” ดวงตาของหูอี้เฟิงแดงก่ำ รังสีมุ่งร้ายสะพัดออกจากร่าง ตรงข้ามกับการแต่งกายอันหรูหราของเขาราวหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนนี้กลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วเหลือเพียงเจ็ดคนแล้ว อีกห้าคนสิ้นชีพไปในสนามรบที่สู้รบกับกองทัพของราชาอวี่
“ไอ้จอมยุทธ์ชุดดำที่คุมกองทัพราชาอวี่ผู้นั้น… ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะลากมันไปลงนรกด้วยกันให้จงได้”
เหล่าพี่น้องอีกหกคนที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าเศร้าโศกและกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเสียใจ ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดที่เสียแขนไปข้างหนึ่งมองเขม็งลงไปยังกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองโม่หลัว ประกายบ้าคลั่งสว่างวาบขึ้นมาในดวงตา
…..
ปู้ฟางไม่รู้ตัวว่าถังอิ่นเดินเข้ามาหาเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับกระทะขนาดใหญ่ทั้งสี่ใบ ชายหนุ่มดูนิ่งสงบขณะกำกระบวยไว้ในมือ พลางผสมวัตถุดิบในกระทะใบใหญ่ทั้งสี่เข้าด้วยกัน กลิ่นหอมหวานเข้มข้นลอยออกมาไม่หยุดหย่อน
“เถ้าแก่ปู้ ศิษย์พี่ปู้” สายตาของถังอิ่นดูงุนงงเล็กน้อย เขานึกว่าตนเห็นภาพหลอนไปเอง จู่ๆ เถ้าแก่ปู้จะมาปรากฏตัวในดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้อย่างไร
ชายหนุ่มพินิจท่าทางสงบนิ่งของปู้ฟาง พลางรู้สึกว่าท่วงท่าในการทำอาหารของอีกฝ่ายดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง จึงแน่ใจขึ้นมาว่าพ่อครัวที่อยู่ตรงหน้าคือปู้ฟางแน่นอน เพราะตลอดมาท่วงท่าการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นโด่ดเด่นไม่เหมือนใคร
แม่ทัพจูรู้สึกว่าสายตาของถังอิ่นแปลกไป เมื่อมองตามสายตาของอีกฝ่ายเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับอาหารในกระทะขนาดใหญ่ทั้งสี่ ก็แค่คนหนุ่มธรรมดาๆ เองมิใช่หรือ
“ท่านแม่ทัพขอรับ… พ่อหนุ่มนี่ชื่อว่าปู้ฟาง เป็นพ่อครัวใหม่ของโรงครัวประจำกองทหารเรา” เว่ยต้าฝูค้อมตัวเล็กน้อยพลางรีบพูดเสริมขึ้นมา “เจ้าเด็กใหม่นี่เย่อหยิ่งไม่ฟังใคร ข้าเลยให้เขาทำหน้าที่ปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบธรรมดาเพื่อเป็นการดัดนิสัย”
“เด็กใหม่หรือ เป็นธรรมดาที่เด็กใหม่จะเย่อหยิ่งมั่นใจในตนเอง แต่ดูเหมือนพ่อหนุ่มนี่จะมีคุณสมบัติที่จะเย่อหยิ่งได้ ทักษะการทำอาหารของเขา… เถียงไม่ได้เลยว่าไม่ดีงาม” จูเยวี่ยพยักหน้าพลางสูดกลิ่นหอมที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ใบหน้าแสดงความชื่นชมออกมา
ทันทีที่ถังอิ่นได้ยินเว่ยต้าฝูพูด สีหน้าของเขาก็ยิ่งแปลกแปร่งเข้าไปใหญ่ เขาหันไปมองหัวหน้าพ่อครัวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เย่อหยิ่งไม่ฟังใคร ดัดนิสัยรึ”
“เป็นเช่นนั้น…จริงๆ ขอรับ” สายตาของถังอิ่นทำให้เว่ยต้าฝูหวาดกลัว เขาตอบกลับตะกุกตะกัก
มุมปากของถังอิ่นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา เขาปัดเสื้อผ้าตัวเองให้เป็นระเบียบก่อนจะเดินตรงไปหาปู้ฟาง
จูเยวี่ยกับเว่ยต้าฝูมองหน้ากันด้วยความงุนงง ลางร้ายพุ่งเข้ามาในใจของหัวหน้าพ่อครัว หรือศิษย์พี่ผู้นี้จะรู้จักมักจี่กับเจ้าหนุ่มนั่น หรือเจ้านั่นจะเป็นศิษย์น้องของคนผู้นี้กันนะ
หัวใจของเว่ยต้าฝูเต้นรัว ใบหน้าบิดเบี้ยวขมขื่น
อาหารที่อยู่ในกระทะทั้งสี่เดือดปุด ควันร้อนพวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย
จู่ๆ ปู้ฟางก็ยกกระบวยในมือออกจากกระทะ แล้วใช้ฝาไม้ปิดกระทะทั้งหมด กักกั้นกลิ่นหอมเข้มข้นเอาไว้ภายใน
เมื่อจัดการกับกระทะเสร็จ เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วเพิ่งได้เห็นคนสามคนที่เดินตรงเข้ามาหา
เขาจำเว่ยต้าฝูกับจูเยวี่ยได้ ส่วนคนที่เดินมาข้างหน้านั้น… เป็นสหายเก่าแก่ของเขาเอง
“ศิษย์พี่… บังเอิญจริงๆ”
ถังอิ่นเดินตรงไปหาปู้ฟางพลางประสานกำปั้นคำนับ พร้อมเอ่ยทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพนบน้อบ ถังอิ่นเคารพนับถือปู้ฟางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าเถ้าแก่ปู้เป็นคนลึกลับ ไม่มีใครเข้าใจคนผู้นี้ได้กระจ่างแม้แต่คนเดียว
ศะ…ศิษย์พี่หรือ
ทันทีที่เว่ยต้าฝูได้ยินถังอิ่นเรียกปู้ฟาง แข้งขาก็ของเขาก็อ่อนยวบหมดเรี่ยวแรง หัวหน้าพ่อครัวแทบลงไปกองอยู่กับพื้น ‘นรกบ้าอะไรกัน เหตุใดผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการถึงเรียกไอ้หนุ่มหน้าอ่อนว่าศิษย์พี่ได้ นี่ไม่ได้เรียนวิธีลำดับญาติสนิทมิตรสหายกันมาหรืออย่างไร’
ปากของจูเยวี่ยอ้าออกน้อยๆ เขาตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด หรือถังอิ่นจะจำเชายหนุ่มผู้นี้สลับกับคนอื่น อย่างไรเสียขั้นปราณของพ่อครัวหน้าใหม่ตรงหน้าก็ดูไม่ได้สูงส่งแต่อย่างใด
“บังเอิญจริงๆ เสียด้วย เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นี่มันค่ายทหารนะ” ปู้ฟางมองหน้าถังอิ่นพลางถามเสียงเรียบ
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย มุมปากของถังอิ่นก็ม้วนขึ้นเล็กน้อย “คำถามนี้ข้าต้องถามท่านต่างหาก เหตุใดพ่อครัวอย่างท่านจึงไม่ใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ในร้านของตนเองเพื่อทำอาหารที่ท่านถนัด ท่านมาทำอะไรในกองทัพกันแน่
“ข้ามาร่วมกองทัพเพราะได้รับคำสั่งที่ไม่อาจขัดได้ แต่เถ้าแก่ปู้ในกองทัพเนี่ยนะ แถมยังเป็นกองทัพของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับด้วย มันอยู่ห่างจากนครหลวงตั้งไม่รู้กี่พันลี้”
“ข้ามาเพื่อเรียนรู้การเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ และหาประสบการณ์ในการทำอาหารเพิ่ม เพื่อจะได้ใส่ความรู้สึกลงไปในอาหารที่ทำได้มากขึ้น” ปู้ฟางตอบลอยๆ
เหตุผลที่เขาบอกอีกฝ่ายไปนั้นไร้ซึ่งสาระใดๆ ความจริงที่เขามาที่นี่ก็เพราะจะทำภารกิจของระบบให้สำเร็จและรับรางวัลต่างหาก
แต่ถังอิ่นไม่รู้ความจริงข้อนี้ เมื่อชายหนุ่มได้ฟังคำตอบของปู้ฟาง ความเคารพที่มีต่ออีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปใหญ่ ความรู้สึกนี้ก่อกำเนิดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทักษะการทำอาหารของปู้ฟางจะมาถึงขั้นนี้ได้ นั่นเพราะชายตรงหน้าดูจะท้าทายตัวเองและหมั่นฝึกซ้อมไม่หยุดมือ ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มพูนทักษะการทำอาหารของตนนั่นเอง
การเป็นพ่อครัวในกองทัพที่ต้องเคลื่อนทัพตลอดเป็นงานที่ยากลำบากมาก เพื่อฝึกฝนทักษะการทำอาการ เถ้าแก้ปู้ไม่ได้ใส่ใจกับความยากลำบากที่ต้องเผชิญในกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับแม้แต่น้อย บุคคลที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงเช่นนี้ คนรุ่นเขาควรจะยึดถือเอาเป็นแบบอย่างอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะประกอบสัมมาอาชีพใด หากต้องการประสบความสำเร็จ ความมานะบากบั่นเป็นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้
ขณะที่คนทั้งคู่กำลังพูดจาทักทายอย่างเป็นกันเอง สีหน้าของจูเยวี่ยและเว่ยต้าฝูกลับเปลี่ยนไปจากเดิม
จูเยวี่ยนั้นแค่งุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า ทว่าสีหน้าของเว่ยต้าฝูนั้นขาวซีดราวคนตายไร้ซึ่งสีเลือดใดๆ เหตุใดพ่อครัวธรรมดาๆ คนหนึ่ง… ถึงได้สนิทสนมกับผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการผู้สูงส่งได้ ก็ถ้าเกิดเจ้าสนิทกับจอมยุทธ์ฝีมือเยี่ยมเช่นนี้จริงๆ แล้วจะมาเข้าร่วมกับกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับทำไม คิดจะล้อพวกข้าเล่นหรือ
“เถ้าแก่ปู้ แล้วนี่ท่านทำอาหารอะไรอยู่ กลิ่นหอมมากทีเดียว!” หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ถังอิ่นก็หันไปมองกระทะทั้งสี่ใบ แววความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในดวงตา
“ข้าไม่ได้ทำอะไรวิเศษวิโสหรอก แค่ใช้วัตถุดิบธรรมดาๆ เท่านั้น” ปู้ฟางกล่าวเสียงเรียบ “เป็นอาหารของพวกทหารน่ะ”
เมื่อพูดเรื่องอาหาร ปู้ฟางก็ยกฝาไม้ที่ปิดกระทะออก กลิ่นหอมหวนพวยพุ่งออกมาทันที
“วัตถุดิบธรรมดาหรือ” ถังอิ่นอึ้งไปครู่หนึ่ง เขารีบก้าวอาดๆ ไปตรงหน้ากระทะพลางก้มลงมองของที่อยู่ข้างใน
แม้วัตถุดิบมากมายหลายชนิดที่อยู่ในกระทะจะส่องประกายวาววับสวยงาม แต่แค่มองปราดเดียวทุกคนก็รู้ได้ว่าพวกมันเป็นแค่วัตถุดิบธรรมดาเท่านั้น
แม้โรงครัวประจำกองทหารจะมีวัตถุดิบธรรมดาก็จริง แต่พวกเขาก็แทบไม่ได้ใช้มันประกอบอาหารเลย เพราะวัตถุดิบธรรมดาไม่อาจทำให้เหล่าทหารอยู่ในสภาพที่พร้อมรบที่สุดได้ ดังนั้นพ่อครัวส่วนใหญ่จึงใช้วัตถุดิบพลังปราณทำอาหารให้เหล่าทหารกินเป็นหลัก
จูเยวี่ยยืนอยู่ด้านหลังถังอิ่น เมื่อได้ยินว่าวัตถุดิบที่ใช้นั้นเป็นวัตถุดิบธรรมดาจริงๆ เขาก็หรี่ตามองเว่ยต้าฝู แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ท่าทางดังกล่าวของเว่ยต้าฝูทำให้จูเยวี่ยเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร
“อาหารจานนี้มีชื่อว่าน้ำแกงสี่ขุมทรัพย์ และทำจากวัตถุดิบทุกอย่างที่ข้ามี ข้าตั้งชื่อมันว่าน้ำแกงสี่ขุมทรัพย์เพราะมันปรุงขึ้นในกระทะสี่ใบ และสารอาหารของวัตถุดิบทุกชนิดก็ถูกสกัดออกมาได้ทั้งหมด” ปู้ฟางเอ่ยแนะนำอาหารให้ถังอิ่นฟัง
เขาหยิบชามขึ้นมาแล้วตักน้ำแกงจากกระทะทั้งสี่ใบ เมื่อน้ำแกงหน้าตาแตกต่างกันในกระทะแต่ละใบมารวมกันอยู่ในชามชามเดียว พวกมันกลับแยกจากกันไม่ได้ผสมเป็นเนื้อเดียวแต่อย่างใด
“ลองชิมดูสิ” ปู้ฟางยื่นชามให้ถังอิ่น ควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากชาม กลิ่นของมันหอมหวนยั่วยวนใจเกินไปจนถั่งอิ่นยื่นมือไปรับชามมาโดยไม่รู้ตัว
ถังอิ่นใช้ช้อนตักน้ำแกงเข้าปาก
หลังได้ชิมรส ถังอิ่นก็จับจ้องไปที่ชามน้ำแกงตรงหน้า ดวงตากลมโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อน้ำซุปสัมผัสลิ้นรสชาติที่หลากหลายก็ไหลเข้าท่วมความนึกคิดของเขา น้ำแกงนี้ราวกับว่าผสานขึ้นมาจากรสชาติของวัตถุดิบนับไม่ถ้วน รสของมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในปากของเขา แถมยังให้รสสัมผัสกรุบกรอบเหลือใจด้วย
“อาหารจานนี้… ประหลาดเหลือเชื่อมาก! น้ำแกงชามนี้ทำมาจากวัตถุดิบธรรมดาจริงหรือ” ถังอิ่นไม่อาจเรียกสติตัวเองกลับมาได้ครู่ใหญ่ ยิ่งขั้นปราณสูงขึ้น ชายหนุ่มก็เข้าใจความโดดเด่นไม่เหมือนใครของวัตถุดิบพลังปราณได้มากขึ้น ยิ่งวัตถุดิบพลังปราณล้ำค่ามากเท่าไร มันก็ยิ่งเปี่ยมด้วยพลังปราณมากเท่านั้น เมื่อนำมาทำอาหาร กลิ่นและรสสัมผัสของอาหารจานนั้นจะหอมหวนและเข้มข้นเป็นที่สุด
ปู้ฟางใช้วัตถุดิบธรรมดาทำอาหารที่เทียบชั้นกับอาหารที่ทำจากวัตถุดิบพลังปราณได้ สมแล้วที่เป็นเจ้าของร้านอาหารใจไม้ไส้ระกำแห่งนครหลวง
เสียงเคร่งขรึมของระบบดังขึ้นในใจปู้ฟาง น้ำแกงสี่ขุมทรัพย์ผ่านเกณฑ์การตัดสินของระบบ และเป็นอาหารจานแรกในโรงครัวประจำกองทัพของชายหนุ่มที่ผ่านการพิจารณา
`ถึงตอนนี้เขาแค่ต้องทำอาหารอีกสองอย่างให้ผ่านเกณฑ์ของระบบก็จะทำภารกิจที่ได้รับสำเร็จ เหลืออีกแค่สองจานชายหนุ่มก็จะได้เสี้ยวหนึ่งของอุปกรณ์พ่อครัวเทพมาครองแล้ว
ปู้ฟางรู้สึกยินดีปรีดาขึ้นมาทันที
จูเยวี่ยกับเว่ยต้าฝูตักน้ำแกงขึ้นมาชิมบ้าง หลังจากน้ำแกงลงคอไป พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ จูเยวี่ยนั้นอึ้งไป ส่วนเว่ยต้าฝูเลือกที่จะปิดปากเงียบ
เว่ยต้าฝูรู้ตัวแล้วว่าตนเองพลาดไปมหันต์ ทักษะการทำอาหารของปู้ฟางนั้นล้ำหน้ากว่าที่เขาจินตนาการไว้ไปไกล ชายผู้นี้ถือเป็นบุคคลที่คนอย่างเว่ยต้าฝูได้แต่มองตามหลังเท่านั้น น้ำแกงสี่ขุมทรัพย์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นอาหารที่เค้นให้ตายอย่างไรเว่ยต้าฝูก็ไม่อาจปรุงขึ้นได้อย่างแน่นอน
แม้น้ำแกงสี่ขุมทรัพย์จะทำขึ้นจากวัตถุดิบธรรมดา หัวหน้าพ่อครัวก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตนดีขึ้นอย่างมากหลังจากได้ดื่มน้ำแกงนี้ เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาได้กินอาหารที่ทำจากวัตถุดิบพลังปราณ
เว่ยต้าฝูรู้สึกขมขื่นใจไม่น้อย
“เยี่ยมไปเลย! เว่ยต้าฝูเอ๋ยเว่ยต้าฝู ทั้งที่ทักษะการทำอาหารของพ่อหนุ่มคนนี้ยอดเยี่ยมดีงาม แต่เจ้ากลับคิดจะฝังกลบพรสวรรค์ของเขาเสียได้ ดูเหมือนว่าสายตาของเจ้าจะย่ำแย่เต็มที ในเมื่อเจ้าชอบฝังกลบคนอื่นนัก จากนี้ไปข้าจะให้เจ้าสลับตำแหน่งกับเจ้าหนุ่มนี่เสีย ต่อไปนี้เขาจะเป็นหัวหน้าพ่อครัวของโรงครัวประจำกองทหาร”
สีหน้าของจูเยวี่ยเคร่งเครียดจริงจังขณะหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
ร่างของเว่ยต้าฝูสั่นเทิ้มใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขมขื่น
ถังอิ่นหรี่ตาพลางตักน้ำแกงที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจเข้าปากเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บภายในค่อยๆ ดีขึ้นทีละน้อย ชายหนุ่มจดจ่ออยู่กับชามน้ำแกงตรงหน้า ไม่ได้หันไปมองจูเยวี่ยที่กำลังลงโทษเว่ยต้าฝูแต่อย่างใด
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้สนใจจะเป็นหัวหน้าคน ขอแค่เจ้าเตรียมวัตถุดิบพลังปราณมาให้ข้าก็พอ” ปู้ฟางพูดขัดจูเยวี่ยเพราะไม่ได้ต้องการเป็นหัวหน้าพ่อครัวของโรงครัวประจำกองทหารแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือทำอาหารจานใหม่ไปเรื่อยๆ จะได้ผ่านการพิจารณาของระบบได้เร็วๆ
แต่ไม่ว่าปู้ฟางจะพูดอย่างไร จูเยวี่ยก็ยังยืนกรานคำสั่งของตัวเอง ตอนนี้เว่ยต้าฝูจึงต้องไปประจำอยู่ที่ครัวของวัตถุดิบธรรมดาแทน
พ่อครัวหลายคนของโรงครัวประจำกองทหารเดินเข้ามายกกระทะทั้งสี่ใบออกไปยังกระโจมของเหล่าทหาร แล้วแจกจ่ายน้ำแกงสี่ขุมทรัพย์ให้ทุกคนกินอย่างรวดเร็ว
……
โม่หลินดึงสายบังเหียนของอสูรเวทที่นั่งอยู่ ด้านหลังเขาเป็นกองทัพทหารจำนวนมาก สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปยังทิศที่ค่ายของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับตั้งอยู่ รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นช้าๆ
ร่างที่กำลังถือยันต์ลอยอยู่กลางอากาศ วงแหวนปราณที่เกิดจากยันต์หมุนวนอยู่รอบมือของคนผู้นั้น
“กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับอยู่ที่นั่น มุ่งหน้าไปถอนรากถอนโคนพวกมันเร็วเข้า ตอนนี้ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการที่เข้ามาช่วยเหลือคนพวกนั้นกำลังบาดเจ็บอยู่ นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการทำลายล้างพวกมันแล้ว จากนั้นค่อยเดินทางไปยังเมืองโม่หลัวต่อ แล้วพอครองเมืองโม่หลัวได้ ค่อยเริ่มจู่โจมเมืองประจิมเร้นลับ”
แขนเสื้อสีดำของชายชราที่ลอยอยู่กลางอากาศโบกสะบัดตามแรงลม เขาเอ่ยคำสั่งน้ำเสียงเคร่งขรึมให้โม่หลินนำทัพไปโจมตีกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ
ดวงตาของโม่หลินเจิดจ้าขึ้นมาทันที ชายหนุ่มโบกหอกยาวในมือ ก่อนจะตะโกนก้องสั่งการให้ทัพทหารที่อยู่ด้านหลังบุกจู่โจมค่ายของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ