เสียงคำรามดังกึกก้องในอากาศพร้อมด้วยเปลวเพลิงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงลูกธนูถูกยิงออกจากคันธนูดังมากเสียจนแทบทำให้หัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ เหล่าผู้คนที่ได้ยินล้วนขนลุกขนพองไปตามๆ กัน
โม่หลินนำกองทัพเข้าตีค่ายทหารข้าศึก ท่วงท่าที่เขากวัดแกว่งหอกยาวพุ่งเข้าแทงศัตรูจนเลือดไหลท่วมบริเวณดูไร้เทียมทานเป็นอันมาก
จูเยวี่ยพุ่งเข้าใส่ หมายต้านทานกำลังของโม่หลินไว้ สุดท้ายแม่ทัพของทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกันในศึกที่หมายห้ำหั่นถึงชีวิต ทั้งสองกล้าหาญและฮึกเหิมเป็นอันมาก ต่างพุ่งเข้าโรมรันกันด้วยดวงตาแดงก่ำ
บนท้องฟ้าผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีดำจากลัทธิอสุรากำลังลอยอยู่ในอากาศ ในมือของเขามียันต์ที่กำลังหมุนวนอยู่ห้าแผ่น ยันต์หยกเหล่านี้เรืองแสงประหลาด ขณะกำลังปล่อยพลังที่ไม่ธรรมดาออกมาดูดเอาแก่นวิญญาณจากซากศพของคนตายเบื้องล่าง
ร่างที่ไร้ซึ่งลมหายใจของเหล่าทหารบนสมรภูมิยังไม่ทันเย็น วิญญาณของพวกเขาก็ถูกกระชากออกจากร่างเข้าไปในยันต์วงแหวนปราณเสียแล้ว
ดวงตาของชายในชุดคลุมสีดำเต็มไปด้วยความปีติยินดี แม้แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้ายังเต้นด้วยความแช่มชื่น
ถังอิ่นกระโจนออกจากค่ายพร้อมประกายกระบี่ เขาพุ่งเป้าไปที่ผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุราซึ่งกำลังควบคุมวงแหวนปราณอยู่
ผู้ฝึกตนผู้นั้นร้องคำรามลั่น พลางเรียกพลังปราณสีดำสนิทออกมาฟาดใส่ถังอิ่น ฝ่ามือที่เกิดจากพลังปราณนั้นแข็งแกร่งเป็นอันมาก มันมาพร้อมพลังกดดันร้ายกาจน่ากลัวที่ฟาดใส่ศัตรู
สีหน้าของถังอิ่นจริงจังขึ้นมาทันที ร่างกายของเขายังคงอยู่ในช่วงฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ แต่ตอนนี้มันกลับต้องมารับมือพลังกดดันมหาศาลจากการโจมตีอีกครั้ง
การต่อสู้บนท้องฟ้าไม่ได้ทำให้การห้ำหั่นบนผืนดินดุเดือดน้อยลงแต่อย่างใด กองทัพทั้งสองยังคงฟาดฟันกันอย่างเต็มแรง เลือดไหลย้อมผืนปฐพีจนกลายเป็นสีแดงชาด
…
หลังจากกลับมาหายใจหายคอได้อีกครั้ง เว่ยต้าฝูก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างของตนเย็นเฉียบ เขาไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ เพราะเหล่าสมาชิกคนอื่นๆ ของหน่วยโรงครัวที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตัวสั่นงันงกเช่นกัน ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะส่งเสียงสักแอะเดียว
พื้นซึ่งเต็มไปด้วยซากศพของคนตายสะท้อนอยู่ในดวงตาของพวกเขาเหมือนฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน แม้ศพเหล่านี้จะเป็นศพของศัตรู แต่พวกเขาก็ลบภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกไปจากหัวไม่ได้เสียที
เจ้าก้อนเหล็กนั่น… แท้จริงแล้วแข็งแกร่งยิ่ง แข็งแกร่งมากเสียจนพวกเขาแทบไม่กล้าหายใจเลยทีเดียว
ทว่าแม้ทุกคนจะกำลังตกใจหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว ในใจก็ยังรู้สึกโล่งอก เนื่องจากพวกเขาปกป้องคลังเสบียงเอาไว้ได้
เว่ยต้าฝูและคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืน เตรียมพร้อมที่จะลำเลียงเสบียงที่เหลืออยู่
แต่ตอนที่พวกเขากำลังดันรถขนเสบียงกันอยู่ พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง เสียงกีบม้ากระแทกพื้นดังก้องลอยมาเข้าหู ชายฉกรรจ์อีกกลุ่มปรากฏสู่สายตา
“ข้าศึก!!”
หน่วยโรงครัวตะโกนออกมาพร้อมกันพลางหยิบอาวุธมาถือไว้ในมือมั่น หลายคนหากระบี่ประจำตัวไม่เจอ จึงทำได้เพียงกำมีดทำครัวเอาไว้ แต่ก็ยังดูเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย
คราวนี้ข้าศึกมีเพียงสามคนเท่านั้น ทั้งสามสวมชุดสีดำพลางปล่อยพลังปราณน่ากลัวออกมา คนทั้งสามมุ่นคิ้วเมื่อเห็นกองซากศพบนพื้น
“ดูเหมือนจะมีผู้ฝึกตนฝีมือฉกาจคอยปกป้องกองเสบียงอยู่… ข้าก็สงสัยอยู่นานว่าเหตุใดกองกำลังพิเศษจึงใช้เวลานานนัก ดูเหมือนจะเจอคนที่ต่อกรด้วยไม่ได้เข้าแล้ว!”
ผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีดำเย้ยเสียงเย็น เขาปรายตามองซากศพบนพื้น ก่อนจะหันไปมองหน่วยโรงครัว จู่ๆ สีหน้าของเขาก็ถมึงทึงขึ้นมา
“แต่พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”
ชายในชุดดำเบิกตากว้าง เขาเอาปลายเท้าแตะพื้น กระโจนออกจากม้าพร้อมด้วยกรงเล็บที่เต็มไปด้วยพลังปราณสีดำ พลังปราณนั้นพุ่งเข้าใส่ทหารหลายนาย เจาะทะลุร่างของพวกเขาจนตายคาที่
ทั้งสามเป็นผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุราที่มีพลังปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ สำหรับพวกเขาแล้ว การสังหารหมู่หน่วยโรงครัวเป็นเรื่องง่ายดายไม่ต่างอะไรจากหมาป่าที่พุ่งเข้าโจมตีฝูงแกะ
หลงไฉหันหลังกลับด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เด็กหนุ่มไม่สามารถรวบรวมความกล้ามาต่อกรกับปีศาจร้ายทั้งสามได้ จึงเตรียมตัวจะวิ่งหนีเอาชีวิตรอด
เว่ยต้าฝูเองก็คิดเช่นเดียวกันขณะพยายามหนีเอาตัวรอด… หน้าที่หลักของเขาคือปกป้องคลังเสบียงของกองทัพ แต่คนทั้งสามนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะต่อกรด้วยได้ เรียกได้ว่าใจสู้แต่ร่างกายไม่นำพาอย่างแท้จริง
“คิดจะหนีเช่นนั้นรึ”
ชายในชุดคลุมสีดำยิ้มเหี้ยมพลางพุ่งเข้าใส่หลงไฉ กรงเล็บที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดหมายควักหัวใจของเด็กหนุ่มออกจากอก
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของหลงไฉเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างทั้งร่างแข็งทื่อเมื่อต้องเผชิญกับรังสีสังหารรุนแรงของอีกฝ่าย
ทว่าก่อนที่กรงเล็บเปื้อนเลือดจะกระซวกร่างของหลงไฉ น้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ดังขึ้นท่ามกลางสายลมที่กรีดร้อง
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”
เสียงนั้นราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ กระทะสีดำหมุนคว้างอยู่ในอากาศ พุ่งตรงเข้าใส่ชายในชุดคลุมสีดำทันที
“เวรอะไรกันนี่!” ชายผู้นั้นหยีตามองแต่กลับเห็นเพียงกระทะบิน ภาพตรงหน้าทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
ชายในชุดคลุมสีดำโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก เขาเอากรงเล็บฟาดใส่กระทะหมายทำลายมันให้แหลกเป็นผุยผง แต่ทันทีที่กรงเล็บปะทะกระทะ กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ถูกกระแทกถลาถอยหลังด้วยพลังร้ายกาจ
กระทะเองก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน
ปู้ฟางเดินทองน่องมาแต่ไกลพร้อมเจ้าขาว
ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบแสงสีม่วงตามจังหวะการก้าวเดิน…
“เจ้านี่เองรึจอมยุทธ์ลึกลับ… ที่สังหารกองกำลังพิเศษเสียสิ้น! ช่างเหิมเกริมจริงนะ!” ชายในชุดคลุมสีดำยิ้มเยาะ คนทั้งสามมารวมตัวกันเพื่อประเมินปู้ฟาง
ปู้ฟางตบพุงอ้วนกลมของเจ้าขาวพลางคลี่ยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะพูดกับคนพวกนี้ให้เปลืองลมปากแต่อย่างใด
ปัง! ปัง! ปัง!
กระแสพลังปราณสามกระแสพุ่งกระจายออกมา พลังของคนทั้งสามนั้นอยู่ในระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งพอจะครองตำแหน่งแม่ทัพในกองทัพ
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เหตุใดหน่วยโรงครัวจึงไม่อาจต่อกรกับคนเหล่านี้ได้
แสงสีม่วงเรืองสว่างออกมาจนทำให้ทั้งสามต้องชะงัก จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกถึงลมเย็นที่พัดผ่านขณะที่ร่างร่างหนึ่งพุ่งเข้าใส่
เป็นหุ่นเชิดโลหะข้างกายไอ้หนุ่มคนนั้นนั่นเอง!
กล้าดีอย่างไรถึงส่งหุ่นเชิดมาต่อกรกับพวกเขา จะดูถูกกันเช่นนั้นหรือ
ปู้ฟางยืนเอามือไพล่หลังมองการต่อสู้ด้วยสีหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ เมื่อเจ้าขาวก้าวเข้ามาจัดการ ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะต้องเกรงกลัวอีก
ความโหดร้ายของสงครามนั้นเกินความคาดหมายของชายหนุ่มไปมาก ราวกับว่าชีวิตของผู้คนเหล่านี้ไม่มีค่าแม้แต่น้อยในสมรภูมิการห้ำหั่นประหัตประหารชีวิต
พ่อครัวที่เพิ่งพูดคุยเรื่องอาหารรสเลิศกับเขาอยู่ไม่กี่อึดใจก่อน บัดนี้กลายเป็นเพียงร่างไร้ชีวิตเย็นชืดเสียแล้ว เรื่องนี้ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโศกเศร้า
“สังหารให้หมด” ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ดวงตาอับแสงลง
ร่างของเจ้าขาวหยุดชะงักไปชั่วครู่จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้าเหมือนพายุร้ายกรรโชกแรง มันรัวหมัดออกไปด้วยพลังที่รุนแรงราวกับจะทำลายได้แม้กระทั่งขุนเขา ส่งหนึ่งในชายชุดดำกระเด็นขึ้นฟ้า พายุหมัดทำให้หน้าอกของชายคนดังกล่าวยุบลงไป ชายผู้นั้นรู้ตัวทันทีว่าไม่มีสิทธิ์ต่อกรได้สักนิด
อึก! ชายชุดดำกระอักเลือดออกมายกใหญ่ ก่อนจะร่วงลงมาอัดพื้น เขาทำไม่ได้แม้แต่จะรวบรวมกำลังเพื่อลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ
เจ้าขาวเปลี่ยนฝ่ามือเป็นมีดเล่มคมกริบ จากนั้นก็กระทืบเท้าลงบนพื้นแล้วกระโจนไปข้างหน้าอีกครั้งด้วยความเร็วแสง
คมมีดของเจ้าขาวร้ายกาจเกินกว่าจะรับมือได้ ทำให้สองคนที่เหลือหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว พวกเขาถูกซัดขึ้นฟ้าภายในพริบตา ที่ท้องเป็นแผลใหญ่ลึก เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าขาว แม้แต่ขั้นราชันยุทธการสามคนก็ไม่อาจป้องกันตนเองได้
ปัง!!
หลังจากที่ซัดหมัดใส่ทั้งสามคนไปคนละครั้ง ดวงตาของเจ้าขาวก็กลับมาเป็นสีแดงดังเดิม มันเดินกลับมายืนข้างกายปู้ฟาง
“แผนการฝึกตนเพื่อเป็นพ่อครัวประจำกองทัพอันน่ารื่นรมย์ของข้าถูกทำลายเสียย่อยยับ ช่างน่ารำคาญใจจริงๆ” ปู้ฟางเกาศีรษะ สูดลมหายใจเข้าลึกพลางพึมพำออกมา
จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายกร้าว ชายหนุ่มเดินจากไปพร้อมเจ้าขาวที่ตามไปติดๆ
เขามุ่งหน้าไปยังทิศที่เสียงของการสู้รบกำลังดังอึกทึก
หลงไฉและเว่ยต้าฝูเบิกตากว้าง ทั้งสองนั่งตัวสั่นอยู่ที่มุมหนึ่งพลางกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ผู้ฝึกตนที่น่าเกรงกลัวทั้งสามคนกลายเป็นเพียงเศษดินไร้ค่า… ต่อหน้าก้อนเหล็กนั่น ผู้ชนะที่แท้จริงของศึกนี้ถูกตัดสินภายในพริบตา ไอ้หุ่นเชิดโลหะตัวนั้นมันแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันนะ
หลงไฉตัวสั่นเทิ้ม ยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น คราวนี้เขารวบรวมความกล้าได้มากพอที่จะเดินตามปู้ฟางไป ร่างของเด็กหนุ่มหายไปในทิศเดียวกับปู้ฟาง
…
ถังอิ่นกระอักเลือดออกมาเต็มปาก สีหน้าดูซีดเซียวไร้เลือดฝาด…
ผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุรายืนจังก้าอยู่บนอากาศ พลางยื่นมือออกมาหนึ่งข้างเพื่อกดถังอิ่นเอาไว้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ใช่คู่ต่อกรของคนผู้นี้แม้แต่น้อย
นั่นเพราะถังอิ่นเพิ่งบรรลุปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ จึงไม่อาจเทียบชั้นกับผู้ฝึกตนที่บรรลุปราณระดับเจ็ดมานานกว่าได้
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือพลังปราณเที่ยงแท้สีดำสนิทของอีกฝ่ายที่มาพร้อมพลังกดดันซึ่งกัดกร่อนร่างกาย เคล็ดวิชานี้ทำให้ชายหนุ่มต้องเรียกเกราะพลังปราณออกมาปกป้องตนเองเอาไว้ มิเช่นนั้นเนื้อหนังของเขามีหวังถูกย่อยสลายไปนานแล้ว
ยิ่งเวลาเดินหน้าผ่านไป พลังกายของถังอิ่นก็ยิ่งลดน้อยถอยลงเท่านั้น
“ใครมันจะไปคิดว่าสำนักความลับแห่งสวรรค์จะส่งเศษขยะเช่นเจ้ามาต่อกรกับข้า… สำนักของเจ้าคงคิดว่าลัทธิของเราไม่มีคนมีฝีมือหลงเหลืออยู่แล้วละสิ” ผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีดำปัดกระบี่ของถังอิ่นทิ้งพร้อมหัวเราะออกมาอย่างเดียดฉันท์
จากนั้นเขาก็ควงฝ่ามือของตน เรียกกระบี่สีเลือดให้ก่อตัวขึ้นมา
คมกระบี่สีโลหิตพุ่งพรวดเข้าใส่ชายหนุ่ม หมายสังหารคู่ต่อสู้ให้สิ้นซาก
ผู้ฝึกตนของลัทธิอสุราผู้นี้ดีใจเป็นอันมากเนื่องจากถังอิ่นอยู่ในขั้นนักพรตยุทธการ แม้ชายหนุ่มจะเพิ่งบรรลุขั้นปราณได้ไม่นาน แต่แก่นวิญญาณก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป นั่นแปลว่าแก่นวิญญาณของคนผู้นี้เพียงคนเดียวเทียบเท่าได้กับทหารทั่วไปหลายสิบนาย
หากเขาสามารถเก็บเกี่ยวแก่นวิญญาณจากคนผู้นี้ได้ ภารกิจในการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ก็ถือว่าสำเร็จเสร็จสิ้น อันที่จริงผลลัพธ์ที่ได้จะเกินความคาดหมายจากที่ท่านมหาพรตสั่งไว้ด้วยซ้ำ
คมกระบี่ฟาดลงมา จากนั้นเลือดก็สาดกระจายไปทั่ว
รูม่านตาของถังอิ่นหดแคบ เขาลอยคว้างลงสู่พื้นดินที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่ข้างใต้ร่าง
แค่ก แค่ก...
ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เขายันตัวลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าซีดเผือดจนน่าตกใจ รู้สึกว่าตนเองกำลังจะได้ไปเฝ้าเหล่าเซียนบนสวรรค์ก็คราวนี้… ตัวเขาในตอนนี้เทียบชั้นกับอสูรร้ายจากลัทธิอสุราตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าน่ะหรือคือผู้สมคบคิดหลักที่มาทำลายแผนการฝึกตนในกองทัพของข้า”
เสียงนิ่งเรียบดังขึ้น จากนั้นร่างสองร่างก็เดินฝ่าสมรภูมิเลือดมาแต่ไกล
ถังอิ่นงุนงงจนต้องหันกลับไปมอง จากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดแคบลง
“ศิษย์พี่… ศิษย์พี่ปู้!” ใบหน้าของถังอิ่นเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาลืมไปได้อย่างไรว่าในที่แห่งนี้ยังมีศิษย์พี่ปู้ผู้แสนแข็งแกร่งคนนี้อยู่
ชายหนุ่มรู้เรื่องราวการต่อสู้ในนครหลวงทั้งหมด เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ร้านของปู้ฟางโด่งดังขึ้นมาชนิดฉุดไม่อยู่ การต่อสู้ในครั้งนั้นได้เข่นฆ่าผู้ฝึกตนมากมายจนกลายเป็นเพียงเศษดินในตรอก!
ผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุราใช้มือหนึ่งหมุนยันต์หยกทั้งห้า เขาหันมามองปู้ฟางและเจ้าขาวจากนั้นก็หรี่ตาลง
“เจ้าเป็นใครกัน ไอ้โง่อีกตัวที่แส่มาหาที่ตายหรือ เป็นเพียงขั้นจักรพรรดิยุทธการกระจอกงอกง่อย… แต่กลับทำตัวเหิมเกริมยิ่งนัก”
ด้วยความที่เป็นผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเขาจึงมีดวงตาที่แหลมคม แม้ระดับพลังปราณที่ปู้ฟางปล่อยออกมาจะไม่ชัดเจน แต่ชายชุดดำก็ยังรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าขั้นปราณของชายหนุ่มอยู่ที่ระดับใด
ส่วนไอ้หุ่นเหล็กนั้นไม่มีพลังปราณเที่ยงแท้อยู่เลยแม้แต่กระผีกเดียว เขาจึงไม่คิดแยแสมันสักนิด
นอกจากขั้นนักพรตยุทธการแล้วยังมีขั้นจักรพรรดิยุทธการด้วยหรือ
ผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุรายกยิ้มมุมปาก “มีคนเอาแก่นวิญญาณใส่พานมาให้ข้าถึงที่เช่นนี้ ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะกำไรเสียยิ่งกว่ากำไร!”