หนี่หยันเบิกตาคู่สวย ริมฝีปากชุ่มฉ่ำสีแดงสดเผยอออกเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ปู้ฟางเพิ่งจะเดินออกมาจากกลุ่มคน เขาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจ ชายหนุ่มกะพริบตาปริบทันทีที่เห็นใบหน้างดงามที่คุ้นเคย
“อ้าว เจ้านี่เอง บังเอิญจริงๆ นะ” ปู้ฟางเอ่ย
ถังอิ่นปวดใจเล็กน้อยเมื่อผู้เป็นอาจารย์ลืมเขาไปเสียสนิททันทีที่เจอเถ้าแก่ปู้ ทำไมท่านถึงปฏิบัติกับคนสองคนได้แตกต่างกันถึงเพียงนี้เล่า
ด้านหลังหนี่หยันคือก่งเหยา เจ้าเมืองเมืองประจิมเร้นลับ ส่วนก่งเซวียน แม่ทัพใหญ่ประจำเมืองก็ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน
แต่สีหน้าของก่งเซวียนเวลานี้ไม่สู้ดีนัก เขาไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของหนี่หยันมาก่อน แม่ทัพใหญ่ไม่คาดคิดสักนิดว่าคนที่เย็นชาอย่างหนี่หยันจะโอภาปราศรัยกับบุรุษคนใดได้อย่างอบอุ่นเช่นนี้ พวกเขาสนิทกันมากหรือ
ดังนั้นสายตาของก่งเซวียนจึงหันไปจับจ้องปู้ฟาง พลางพยายามไขปริศนาว่าบุรุษตรงหน้าเป็นใครกันแน่!
ปู้ฟางที่กำลังพูดคุยกับหนี่หยันอยู่รู้สึกได้ถึงความเย็นวาบที่วิ่งไปทั่วร่าง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงงก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วก็พบสายตาข่มขู่ของก่งเซวียนที่มองมาจากที่ไกลๆ
ปู้ฟางเม้มปากพูดอะไรไม่ออก หมอนั่นมามองตาขวางใส่ข้าทำไมกัน
กองทหารลำดับสามของกองทัพแห่งเมืองประจิมเร้นลับเสียหายใช่น้อยในครานี้ ทำเอาก่งเหยามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
จูเยวี่ยเล่าถึงโชคร้ายต่างๆ นานาที่พวกเขาต้องเผชิญระหว่างทาง ทำให้ใบหน้าของเจ้าเมืองหม่นหมองหนักยิ่งกว่าเก่า
การเสียเมืองโม่หลัวไปไม่ใช่ข่าวดีแม้แต่น้อย สิ่งนี้แปลว่าภัยวิบัติกำลังจะมาเยือนเมืองประจิมเร้นลับในไม่ช้าแล้ว
ซ้ำร้ายจำนวนอสูรเวทที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ เมืองประจิมเร้นลับก็เพิ่มมากขึ้นทุกที เหตุการณ์คลื่นอสูรเวทที่เกิดขึ้นราวสามปีครั้งกำลังจะมาเยือนเมืองประจิมเร้นลับอีกครา นับเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่อีกอย่างที่เมืองต้องเผชิญ
กองกำลังของศัตรูผนวกกับการรุกรานของอสูรเวท เมืองประจิมเร้นลับในขณะนี้จะเรียกว่าหนีเสียปะจระเข้ก็คงไม่ผิดนัก
สิ่งที่เรียกว่า ‘คลื่นอสูรเวท’ นั้นเกิดขึ้นทุกๆ สามปี เมื่อเวลานั้นมาถึงฝูงอสูรเวทจากดินแดนแสนภูผาจะเข้าจู่โจมผู้คนอย่างดุร้าย ทุกครั้งที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทั้งเมืองเล็กๆ และหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้เมืองประจิมเร้นลับจะถูกอสูรเวทถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง
กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เมืองประจิมเร้นลับต้องเปิดประตูต้อนรับประชากรของสถานที่เคราะห์ร้ายเหล่านั้น
เมื่อเมืองประจิมเร้นลับจัดการกับการรุกรานของอสูรเวทเรียบร้อย ชาวบ้านในเมืองใกล้เคียงจึงกลับบ้านไปได้อย่างปลอดภัย
ทว่าคลื่นอสูรเวทครั้งนี้ดูจะมาในช่วงเวลาที่เลวร้ายเป็นพิเศษ!
ปู้ฟางกลับมายังกระโจมของหน่วยโรงครัวประจำกองทัพ
หนี่หยันเดินตามเขามาที่กระโจมด้วย พอนางรู้ว่าปู้ฟางมาฝึกฝนทักษะการทำอาหารกับหน่วยโรงครัวประจำกองทัพ นางก็สนใจเป็นอย่างยิ่งพลางยืนกรานจะตามมาด้วยให้ได้
หนี่หยันเองก็เป็นแม่ครัวฝีมือดีไม่ใช่น้อย แต่นางก็ยังกระหายที่จะเรียนรู้อาหารจานใหม่ๆ อยู่เสมอ แน่นอนว่าการได้ชิมอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้นั้นจัดได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
แต่ช่วงไม่กี่วันต่อมาปู้ฟางกลับไม่ได้ทำอาหารมากเท่าแต่ก่อน เพราะหนี่หยันและถังอิ่นรู้ตัวตนของเขาดีชายหนุ่มจึงกลับมาทำตัวเย็นชานิ่งขรึมตามเดิม จำนวนอาหารที่ทำก็ลดน้อยลงไปด้วย
ตอนนี้เว่ยต้าฝูที่ได้เห็นฝีมือของปู้ฟางกับตาตัวเองเกรงอกเกรงใจชายหนุ่มเป็นอันมาก ถึงขั้นยอมให้ปู้ฟางเลือกวัตถุดิบพลังปราณไปปรุงอาหารได้ตามชอบใจด้วยซ้ำ
ปู้ฟางตั้งใจจะทำอาหารที่ระบบพอใจด้วยวัตถุดิบเหล่านี้ แต่กระนั้นความพยายามของเขาในช่วงหลังๆ กลับไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังสูญเสียความสามารถไป
เรื่องนี้ทำให้ปู้ฟางปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งเวลาผ่านไป บรรยากาศในเมืองประจิมเร้นลับก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นทุกขณะ เสียงอสูรเวทร้องคำรามดังแว่วมาจากนอกกำแพงเมืองอยู่บ่อยครั้ง
ขณะนี้ผู้คนถูกห้ามไม่ให้ออกจากเมืองประจิมเร้นลับโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยของประชากรและป้องกันไม่ให้ใครถูกทำร้ายนอกกำแพงเมือง เหล่าผู้มีอำนาจจึงตัดสินใจปิดตายเมืองเสีย
ฉ่า ฉ่า ฉ่า!!
กลิ่นหอมลอยออกจากกระโจมพร้อมไอร้อนระอุที่พุ่งขึ้นมาราวกับเป็นอสรพิษร้าย
ปู้ฟางเอียงหม้อ ก่อนจะเทสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาใส่ช้อน แล้วเทลงบนจานกระเบื้องเคลือบบนโต๊ะอีกทอดหนึ่ง
อาหารพลังปราณจานนี้มีสีสันสวยงามทั้งยังเป็นประกาย แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็เพียงพอที่จะยั่วน้ำลายได้แล้ว
หนี่หยันย่อตัวลงนั่งโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ นางจ้องมองอาหารของปู้ฟาง หยิบตะเกียบขึ้นมาคู่หนึ่ง ก่อนจะคีบอาหารเข้าปาก
หญิงสาวปลื้มปีติกับอาหารของปู้ฟางเป็นที่สุด ความสามารถของพ่อครัวหนุ่มในการรักษาพลังปราณในวัตถุดิบนั้นล้ำหน้าเกินจินตนาการไปมาก เป็นเรื่องที่ยากยิ่งมากในการเก็บรักษาพลังปราณในวัตถุดิบเอาไว้ขณะปรุงอาหาร
แม้แต่หนี่หยันเองก็ยังอยากบรรลุทักษะนี้
“อร่อยมาก!” หนี่หยันแลบลิ้นเลียริมฝีปากสีทับทิมก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
แต่ใบหน้าของปู้ฟางกลับไม่มีร่องรอยของความดีใจ กลับกันชายหนุ่มนั่งลงพลางขมวดคิ้วแน่น ถึงแม้ว่าอาหารจานนี้จะรสชาติพอใช้ แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับกิ้งก่าบุปผา
ปู้ฟางหงุดหงิดใจมากที่อาหารของเขาช่วงหลังๆ มานี้ไม่ผ่านการประเมินของระบบเลยสักจาน
…
ไกลออกไปจากเมืองประจิมเร้นลับร่วมพันลี้ มีทางแยกหนึ่งที่เชื่อมไปสู่ดินแดนแสนภูผา
ดินแดนแห่งนี้เป็นที่เลื่องลือเรื่องภูเขาที่สูงชัน มันอันตรายมากเสียจนกระทั่งผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการยังไม่กล้ามาเยือนสุ่มสี่สุ่มห้า
เมืองประจิมเร้นลับถูกปิดตายแน่นหนามาเป็นเวลาหลายวัน มีทหารเดินตรวจตราบนกำแพงเมืองอยู่ตลอด
ทหารนายหนึ่งบนกำแพงเมืองชำเลืองไปทางดินแดนแสนภูผา สิ่งที่เขาเห็นคือควันที่พวยพุ่งขึ้นไปปิดท้องฟ้า ราวกับเป็นคลื่นยักษ์จากทะเลที่ถาโถมเข้ามา
สิ่งนี้ทำเอาใบหน้าของทหารยามถอดสี เขารีบไปรายงานเจ้าเมืองทันที
ก่งเหยาก้าวขึ้นมาบนกำแพงเมืองแล้วมองควันที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าของเขากระตุกทั้งยังซีดขาวไร้สีเลือด
“คลื่นอสูรเวทจากดินแดนแสนภูผา…กำลังจะมาแล้ว!
“ส่งคำสั่งของข้าออกไป ปิดประตูเมืองทั้งหมดให้แน่นหนา!”
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ทุกคนภายในเมืองประจิมเร้นลับก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงของแผ่นดิน ซึ่งส่งความรู้สึกเย็บเยียบให้แล่นไปตามไขสันหลัง
ตึง ตึง ตึง!!
แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวมาพร้อมเสียงคำรามดุร้ายของเหล่าอสูรเวท
เหล่าทหารจำนวนมากที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างจ้องมองไปยังฝูงอสูรเวทเบื้องล่าง ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวราวกับผี ไม่มีร่องรอยของความมั่นใจหรือความกล้าหาญหลงเหลือให้เห็นแต่อย่างใด
ฝูงอสูรไหลบ่าเข้าปกคลุมพื้นที่ราวกับคลื่นในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ถึงแม้ว่าอสูรเวทฝูงนี้ส่วนมากจะเป็นเพียงอสูรเวทระดับสามและสี่ที่ไม่ค่อยแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีระดับห้าและหกปะปนมาบ้าง
“คลื่นอสูรเวทเริ่มมาจากดินแดนแสนภูผา ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น กระทั่งสำนักเจดีย์นภากระจ่างแห่งดินแดนแสนภูผาก็ยังต้องปิดตายและผนึกหอคอยทุกจุดเอาไว้ แปลว่าขนาดสำนักเจดีย์นภากระจ่างที่ทรงพลังยังหลีกเลี่ยงการปะทะกับฝูงอสูรเหล่านี้” หนี่หยันอธิบายขณะยืนอยู่บนกำแพงเมือง
ดวงตาของปู้ฟางและถังอิ่นเองก็จับจ้องไปยังฝูงอสูรเบื้องล่างเช่นกัน พ่อครัวหนุ่มไม่เคยเห็นอสูรเวทจำนวนมากขนาดนี้ในคราวเดียวมาก่อน ช่างเป็นประสบการณ์ที่เกินบรรยายยิ่งนัก
ปู้ฟางขมวดคิ้วแน่นก่อนจะครุ่นคิดอย่างหนักขณะมองไปยังฝูงอสูรเวท
ถังอิ่นที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจยาวเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกเศร้าหมองที่อัดแน่นอยู่ในใจ
ต่อหน้าคลื่นอสูรเวทจำนวนมหาศาลนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนแอไร้พลัง
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดอสูรเวทเหล่านี้จึงบุกออกมาจากดินแดนแสนภูผาพร้อมๆ กัน ทว่าดินแดนแสนภูผานั้นกินบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมีทิวเขาใหญ่น้อยสลับซับซ้อน การมีอสูรเวทจำนวนมากอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
อย่างไรเสียดินแดนแสนภูผาก็เป็นปราการหน้าด่านให้กับแคว้นทางใต้ ลือกันว่าดินแดนแสนภูผาเป็นอาณาเขตกว้างไกลที่ทั้งสวยงามและน่าหลงใหล แต่กลับแทบไม่เคยมีใครย่างกรายเข้าไป คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่าข่าวลือนั้นมีมูลเพียงใด
โฮก!!
เมื่อครู่คือเสียงคำรามของจระเข้ช้างยักษ์ ร่างของมันปกคลุมด้วยเกล็ดที่เป็นหนามแหลม มันกัดกรามที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมก่อนจะเลื้อยไปบนพื้นอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ
หมาป่าที่มีขนสีขาวโพลนห้อตะบึงไปบนทุ่งกว้างด้วยความเร็วไม่ต่างจากกระแสลมแรง ทิ้งฝุ่นตลบอบอวลไว้เบื้องหลัง ยังมีสิงโตยักษ์สีแดงเพลิง ช้างที่ปกคลุมไปด้วยหนาม เต่าภูเขา และอสูรเวทหน้าตาประหลาดที่ทรงพลังอีกมากมาย
ขณะที่พวกมันบุกเข้ามา มันไม่ได้ถูกห้อมล้อมด้วยอสูรเวทตัวอื่นๆ แต่ละตัวต่างก็มีอาณาเขตของตนเองขณะกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้เมืองประจิมเร้นลับ
ทุกคนบนกำแพงเมืองล้วนมีสีหน้าไม่สู้ดี ขณะที่หัวใจก็เต้นโครมครามด้วยความกลัว
ทว่าปู้ฟางกลับเดินย่ำไปมาอยู่บนกำแพง สีหน้าของเขาต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มเพ่งมองลงไปยังอสูรจำนวนมหาศาลเบื้องล่างด้วยสายตาทอประกาย
ปู้ฟางกำลังกังวลกับการปรุงอาหารจานที่สามเพื่อให้ระบบพอใจ หากทำอาหารออกมาให้ดีและจบภารกิจไม่ได้เขาก็จะไม่ได้รางวัล
ชายหนุ่มได้บทสรุปว่าวัตถุดิบในหน่วยโรงครัวนั้นคุณภาพต่ำเกินไป
หากมีวัตถุดิบที่ดีกว่านี้ เขาคิดว่าน่าจะทำอาหารจานที่ระบบพอใจได้ไม่ยาก
ส่วนเรื่องที่ว่าจะหาวัตถุดิบดีๆ ได้อย่างไรนั้น สายตาของปู้ฟางไปบรรจบอยู่ที่ฝูงอสูรเวทจำนวนมหาศาลด้านล่าง ในขณะที่คนอื่นมองเห็นเป็นหายนะ ปู้ฟางมองเห็นเป็นคลังวัตถุดิบ
ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจ สมองของปู้ฟางก็ตื่นเพริด กระทั่งลมหายใจยังถี่รัวขึ้น
หนี่หยันและถังอิ่นลอบมองปู้ฟางด้วยสายตางุนงงเมื่อเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในแววตาของพ่อครัวหนุ่ม
พวกเขานิ่งงันไป ทั้งสองมองไปทางฝูงอสูรเวทเบื้องล่าง ก่อนจะหันกลับมามองสีหน้าแปลกประหลาดของปู้ฟางอีกครา…
“อาจารย์ ท่านคิดว่าเถ้าแก่ปู้จะวิ่งลงไปบู๊ข้างล่างหรือไม่ขอรับ”
ถังอิ่นถามหนี่หยันเบาๆ
หนี่หยันอึ้งไป “เจ้านี่มันช่างพูดจาเหลวไหลจริงๆ สายตาของเถ้าแก่ปู้ในตอนนี้… ก็แค่สายตาปกติที่เขาใช้มองวัตถุดิบเท่านั้นแหละ”
สายตาปกติที่ใช้มองวัตถุดิบเช่นนั้นหรือ…
ถังอิ่นยู่หน้าขณะเริ่มสวดภาวนาขอความเมตตาต่อสวรรค์อยู่ในใจ
เถ้าแก่ปู้… ได้โปรดอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าสุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่จะตกเป็นวัตถุดิบ…
………………..