ปู้ฟางนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในกระโจม เขาพักผ่อนเรียบร้อยและฟื้นคืนพลังปราณเที่ยงแท้กลับมาได้บางส่วนแล้ว ชายหนุ่มไม่สามารถใช้คลังเก็บของของระบบ จึงหยิบขนมปังหอยนางรมที่เก็บไว้มากินเพิ่มพลังไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังอยู่พอประมาณ
ถึงแม้จะไม่ได้กินขนมปังหอยนางรม แต่หลังจากได้พักผ่อนปู้ฟางก็สามารถฟื้นฟูพลังปราณเที่ยงแท้ส่วนใหญ่กลับมาได้ ชายหนุ่มไม่ได้ใช้ทักษะการฝึกปราณใดๆ อาศัยเพียงการหมุนวนของแก่นพลังปราณในกายที่เคลื่อนที่รวดเร็วราวพายุ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ต่างอะไรจากวิชาการฝึกปราณขั้นสูงเลย
เมื่อฟื้นคืนพลังปราณเที่ยงแท้เรียบร้อย ปู้ฟางก็เดินออกมานอกกระโจม ซากอสูรเวทระดับเจ็ดทั้งเก้าถูกนำมาวางไว้ด้านนอกกระโจมของเขาเรียบร้อยแล้ว
อสูรเวทระดับเจ็ดเหล่านี้คือตัวที่พวกเขาสังหารไป ซากศพของพวกมันยังคงแผ่รัศมีความน่าหวั่นเกรงออกมาปกคลุมไปทั่วค่าย ทำเอาหลายคนต้องเดินหนีไปจากบริเวณกระโจมของปู้ฟาง
ปู้ฟางล้างมือก่อนจะเดินตรงไปยังอสูรเวทที่อยู่ใกล้ที่สุด
ซากที่เขาเดินไปถึงก่อนคือสิงโตเพลิงที่ถูกหนี่หยันสังหาร หญิงสาวสังหารอสูรเวทตัวนี้ได้อย่างไรนั้นนับว่าเป็นปริศนา เพราะบนซากศพของมันไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย
ควันสีเขียวลอยออกมาปกคลุมข้อมือของปู้ฟาง ก่อนที่มีดทำครัวกระดูกมังกรทองจะปรากฏขึ้น ชายหนุ่มกำมีดไว้แน่นพลางเดินวนรอบสิงโตตัวใหญ่ สิ่งที่เขาต้องทำขณะนี้คือเตรียมวัตถุดิบ
ชายหนุ่มแสดงทักษะการใช้มีดฝนดาวตกออกมา มีดในมือของเขาหมุนวนและเคลื่อนที่ไปมาอย่างชำนาญรอบๆ ร่างของสิงโตเพลิง
เลือก เฉือน ตัด และหั่น
ทักษะการใช้มีดของปู้ฟางเอกอุยิ่ง ภายในเวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็เลาะหนังและกระดูกของสิงโตออกจนหมด
มีดของเขาขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าเนื้อสิงโตก็วางกองเต็มชาม เนื้อสิงโตเพลิงในชามดินเผาทำให้ชามนั้นร้อนฉ่า แม้ว่าสิงโตตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่เนื้อของมันก็ยังร้อนราวกับเป็นถ่านที่ไฟไหม้
เมื่อเตรียมเนื้อสิงโตเสร็จ ปู้ฟางก็ปัดมือไปมาแล้วเดินไปยังอสูรเวทตัวต่อไป
ขณะที่ปู้ฟางกำลังจัดการกับซากศพของอสูรเวท เขาก็สั่งให้หลงไฉไปหาผักพลังปราณจำนวนมากมาให้
ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการผักพลังปราณระดับสูง ขอแค่เป็นผักสดที่มีพลังปราณอยู่บ้างก็พอ
หลงไฉรับคำแล้วรีบออกเดินไปทั่วเมืองทันที
เด็กหนุ่มรอจนปู้ฟางเตรียมอสูรเวทระดับเจ็ดทั้งเก้าเสร็จ จึงเดินเข้ามาพร้อมคนจากหน่วยโรงครัวประจำกองทัพจำนวนหนึ่ง คนเหล่านี้ขนตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักพลังปราณมาด้วย
ปู้ฟางเตรียมเนื้ออสูรเวททั้งเก้าเสร็จสิ้นแล้ว บรรดาคนจากหน่วยโรงครัวที่มากับหลงไฉต่างพากันตกตะลึงเมื่อได้เห็นพวกเขามองโครงกระดูกหลายโครงเบื้องหลังปู้ฟาง โครงกระดูกทั้งหมดไม่เหลือเนื้ออยู่เลยแม้แต่น้อย เนื้อถูก
เลาะออกไปจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ
“นี่มัน…”
พวกเขานิ่งอึ้งพูดไม่ออก การเลาะเนื้อออกจากกระดูกเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับคนทั่วไป แต่ปู้ฟางก็จัดการได้เรียบร้อยดี ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังใช้เวลาน้อยมากในการแยกเนื้อของอสูรเวททั้งเก้าออกจากกระดูก
ทักษะการใช้มีดของศิษย์พี่ปู้ฟาง… ช่างเกินคนเสียจริงๆ!
ชามดินเผาทั้งเก้าเต็มไปด้วยเนื้อของอสูรเวท และตอนนี้ตะกร้าผักพลังปราณก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว ปู้ฟางจึงออกคำสั่งให้หน่วยโรงครัวขนวัตถุดิบไปที่ลานกว้าง
กระทะขนาดใหญ่ยักษ์เก้าใบถูกวางไว้กลางลาน มีไฟจุดไว้ข้างใต้ทุกใบเรียบร้อย
เปลวไฟลามเลียก้นกระทะ ไอร้อนลอยปกคลุมไปในอากาศ
ทุกคนนั่งรอกันอย่างอดทน โดยเฉพาะหนี่หยัน นางทุ่มแรงกายไปมากในครั้งนี้ และหากอาหารของปู้ฟางไม่ถูกใจนาง นางย่อมโมโหโกรธาแน่นอน และโทสะของนางก็เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ถังอิ่นเม้มริมฝีปากพลางจ้องปู้ฟางที่เพิ่งเดินผ่านเขาไปด้วยอาการนิ่งเฉย ชายหนุ่มคิดในใจ… ‘ศิษย์พี่ปู้ช่างสงบนิ่งได้ตลอดเวลา’
ชามดินเผาหนักอึ้งทั้งเก้าที่ใส่เนื้ออสูรเวทถูกวางลงบนพื้น ก่อให้เกิดแรงสะเทือนดังลั่น
ฝูงชนจ้องมองไปที่ชามทั้งเก้าใบ ในไม่ช้าพลังปราณแข็งแกร่งก็แผ่ออกมาปกคลุมค่ายทหารเอาไว้ทั้งหมด ทำให้บรรดาผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ต่างพากันตกตะลึง
ชามดินเผาเหล่านี้มีเนื้ออสูรเวทระดับเจ็ดอยู่ถึงเก้าตัว! ช่างน่าพรั่นพรึงเหลือเกิน! การเลี้ยงฉลองคนทั้งกองทัพแปลว่าทหารทุกนายจะได้ลองลิ้มชิมรสอาหารจานเด็ด ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อในชามดินเผาทั้งเก้าก็มากพอจะให้ทหารทุกนายได้กินอย่างหนำใจ
ปู้ฟางล้างมืออีกครั้งด้วยน้ำสะอาด มือของเขาทั้งขาวผ่องและเรียวยาวราวกับมือของสตรี จากนั้นชายหนุ่มก็ยกชามดินเผาขึ้นด้วยมือเดียวก่อนจะกระโจนขึ้นไปด้านบน
เขาไปลงยืนอยู่ข้างกระทะใบหนึ่งที่มีไฟลุกท่วมอยู่ข้างใต้
สีหน้าของปู้ฟางจริงจังขณะสูดลมหายใจเข้าลึก นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้วที่จะทำอาหารให้ระบบพึงพอใจ หากเขาทำไม่ได้… ก็จะไม่เหลือโอกาสอีก
ชายหนุ่มตบฝ่ามือลงบนชามดินเผา แล้วส่งพลังปราณเที่ยงแท้ลงไป จนกระทั่งเนื้อสิงโตชิ้นหนึ่งที่ยังคงร้อนราวกับเป็นถ่านติดไฟกระเด็นออกมา
“นี่คือเนื้อของสิงโตเพลิงระดับเจ็ด ลวดลายบนเนื้องดงามราวกับเป็นงานศิลปะ ทั้งยังส่องประกายอยู่เป็นครั้งคราว เถ้าแก่ปู้จัดการเนื้อได้ดีเยี่ยม เนื้อสิงโตนี้ไร้ที่ติทั้งยังมีคุณภาพสูง!”
หนี่หยันประทับใจมากจึงกล่าวชมปู้ฟางออกมา ความรอบรู้เรื่องวัตถุดิบชั้นสูงของนางล้ำลึกไม่เป็นรองใคร นางจึงเริ่มอธิบายให้ฝูงชนได้ฟัง
เนื้อสิงโตเพลิงแต่ละชิ้นถูกวางลงไปจนดูคล้ายกลีบดอกไม้งดงามที่บานอยู่ก้นกระทะ ปิดคลุมเนื้อที่ของกระทะเอาไว้หมดสิ้น
เนื้อจำนวนมากถูกวางลงไปบนกระทะร้อนฉ่า เสียงน้ำมันแตกดังออกมาเป็นระยะ ขณะที่น้ำมันกระเด็นออกมา ควันหนาพร้อมกลิ่นหอมเข้มของเนื้อก็ลอยล่องปกคลุมบรรยากาศ
“ผัก”
ปู้ฟามองไปทางหลงไฉก่อนพูดออกมาเสียงเบา หลงไฉพยักหน้า หยิบตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักพลังปราณขึ้นมาแล้วโยนไปให้ปู้ฟาง
ปู้ฟางจับตะกร้า เขาเอาเท้าข้างหนึ่งยันกระทะยักษ์เอาไว้ก่อนจะกระโดดขึ้นสูง ชายหนุ่มสะบัดส่งผักจำนวนหนึ่งให้ลอยออกมาจากตะกร้าลงไปในกระทะ
ผักสีขาวเหล่านี้มีพลังปราณอยู่ประมาณหนึ่ง พวกมันเป็นผักที่ปลูกในเมืองประจิมเร้นลับแห่งนี้
“ที่เห็นอยู่นี้คือผักฟ้าคราม หนึ่งในผลิตผลพิเศษของเมืองประจิมเร้นลับ ข้าเชื่อว่าทุกคนในที่นี้คงรู้จักมันดีอยู่แล้ว รสสัมผัสของมันทั้งเหนียวหนึบและชุ่มฉ่ำ” หนี่หยันกล่าว
ตาของนางส่องประกายด้วยความตื่นใจ นางไม่อาจทำนายได้เลยว่าปู้ฟางจะทำอาหารประเภทใดออกมา ถึงแม้จะเห็นเขาใช้วัตถุดิบไปสองประเภทแล้วก็ตาม
หรือว่าเถ้าแก่ปู้จะปรุงอสูรเวทแต่ละตัวในแต่ละกระทะ
หากเป็นเช่นนั้นทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผล
แต่ขั้นตอนต่อไปของปู้ฟางก็ทำให้หญิงสาวงุนงงไป ทันทีที่เท้าของชายหนุ่มแตะพื้น เขาก็ขยับชามดินเผาอีกชามที่ใส่เนื้อกิ้งก่ายักษ์ขึ้นมา
บรรดาทหารส่วนใหญ่เคยได้ลิ้มลองกิ้งก่าบุปผามาแล้ว เนื้อของกิ้งก่านั้นทั้งชุ่มฉ่ำและมีรสชาติอร่อยล้ำ
ปู้ฟางค่อยๆ เรียงเนื้อกิ้งก่าฉ่ำวาวลงไปในกระทะด้านบนผักฟ้าคราม
พลังปราณของวัตถุดิบทั้งสามผสานเข้าด้วยกัน ก่อนจะส่งกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา
“ใช้วัตถุดิบไปสามชนิดแล้ว… เถ้าแก่ปู้จะทำอาหารประเภทใดกันแน่”
หนี่หยันอ้าปากค้าง ไม่ใช่แค่นางที่รู้สึกตกตะลึง คนอื่นๆ ต่างก็ลุ้นจนตัวโก่งเช่นเดียวกัน
นั่นเพราะหากอาหารจานหนึ่งมีเนื้ออสูรเวทระดับเจ็ดถึงสองชนิดผนวกกับผักพลังปราณหนึ่งอย่าง พลังปราณที่ผสานกันย่อมเข้มข้นมาก ส่งผลให้ยากที่จะปรุงออกมาได้ดี
เหล่าพ่อครัวแม่ครัวทุกคนล้วนเข้าใจหลักการนี้ดี ยิ่งมีพลังปราณมากเท่าใด อาหารก็ยิ่งปรุงยากขึ้นเท่านั้น
เนื้ออสูรเวทชนิดที่สามคือเนื้อช้างหนามที่ถูกเจ้าขาวชกจนตาย
เนื้อของช้างหนามนุ่มนวลราวกับเนย เมื่อเลาะเอาหนามและหนังหนาออกไป เนื้อที่อยู่ภายในนั้นจึงอ่อนนุ่มละมุนละไม ปู้ฟางหั่นเนื้อช้างเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ววางลงไป เนื้อแต่ละชิ้นดูนุ่มนิ่มราวกับเป็นเต้าหู้
ต่อจากนั้นเขาก็ทำอย่างเดิม ด้วยการใส่ผักพลังปราณสลับกับเนื้ออสูรเวท
กระทะยักษ์ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบหลากหลายชนิด!
ปู้ฟางกระโดดกลับลงมาบนพื้น ชายหนุ่มหยิบหัวไชเท้าออกมานับสิบหัว ก่อนจะใช้ทักษะการแกะสลักตกแต่งพวกมัน
ไม่นานนักชายหนุ่มก็แกะสลักหัวไชเท้าเป็นรูปสิงโตเพลิงดูดุร้าย ปู้ฟางวางรูปสลักนี้เอาไว้ตรงกลางวัตถุดิบอื่นๆ สิงโตเพลิงที่แกะจากหัวไชเท้าดูสมจริงอย่างยิ่ง
“ทักษะการใช้มีดไม่เลวเลย!!”
การใช้ทักษะอันน่าตื่นใจชนะใจคนดูจำนวนไม่น้อย ถึงแม้จะยังเดาไม่ออกว่าอาหารที่ปู้ฟางกำลังทำคืออะไร แต่ทุกคนก็ชื่นชมทักษะการใช้มีดของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มทำเช่นเดิมกับกระทะยักษ์ที่เหลืออีกแปดใบ ความแตกต่างเดียวในแต่ละกระทะคือเนื้ออสูรเวทที่ใส่ลง
ไป มีทั้งเนื้อช้างหนาม เต่าภูเขาโบราณ และอื่นๆ…
บนกระทะแต่ละใบมีรูปสลักของอสูรเวทแตกต่างกัน และแต่ละตัวแกะสลักออกมาหรูหราและงดงามพอๆ กัน
ปู้ฟางเทน้ำสะอาดลงไปในกระทะแต่ละใบ แล้วทรุดตัวลงนั่งตรงกลางวงล้อมของกระทะทั้งเก้าเพื่อฟื้นฟูพลังปราณเที่ยงแท้ในกาย พลางจับตาดูความเปลี่ยนแปลงในกระทะแต่ละใบไปพร้อมๆ กัน
การจัดวางวัตถุดิบและการควบคุมการไหลเวียนของพลังปราณนั้นส่งผลต่อรสชาติของอาหารเป็นอย่างมาก
ฝูงชนจับจ้องไปยังกระทะทั้งเก้าใบพลางกลั้นหายใจ พวกเขาทั้งกังวลและตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน ไม่มีใครเคยเห็นความตระการตาเช่นนี้มาก่อน กระทั่งหนี่หยันเองก็ไม่เคย แต่นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดพวกเขาจึงสนใจใคร่รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะออกมานัก
เวลาคืบคลานไปอย่างเชื่องช้า ค่ายทหารตอนนี้เงียบสงบเหลือเพียงเสียงแตกเปรียะของถ่าน
จู่ๆ ปู้ฟางก็เปิดตาขึ้น นัยน์ตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นแต่ก็มีความตื่นเต้นผสานอยู่ ขั้นตอนต่อไปคือส่วนสำคัญที่สุดในการทำกระทะเทพแห่งโชคชะตาจานนี้
ชายหนุ่มต้องควบคุมการกระจายตัวของพลังปราณ หาไม่แล้วหากพลังปราณของอสูรเวทจำนวนมากเกิดปะทุขึ้นมาพร้อมกัน อาจเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ก็เป็นได้