ปู้ฟางชะงัก เขาบิดตัวให้หลุดจากแรงมือของหนี่หยันอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
“รอก่อน” ปู้ฟางกล่าว
ปู้ฟางกระโจนไปยืนอยู่ข้างๆ กระทะยักษ์พร้อมชามกระเบื้องเคลือบในมือ ชายหนุ่มตักน้ำแกงขึ้นมาเต็มชามพร้อมเนื้อจำนวนหนึ่ง
มีเนื้อของอสูรเวทระดับเจ็ดถึงเก้าตัวอยู่ในกระทะใบนี้ ปู้ฟางเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเนื้อที่เขาตักขึ้นมาให้หนี่หยันนั้นเป็นเนื้อของอสูรเวทตัวใดกันแน่
หนี่หยันเลียริมฝีปากขณะรับชามกระเบื้องเคลือบมาจากอีกฝ่าย นางยกชามขึ้นจดจมูกแล้วสูดกลิ่นเข้าไปเต็มที่ รูจมูกของนางถูกจู่โจมด้วยกลิ่นหอมแรงของเนื้อ สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นหลงไหลต้องมนต์ขึ้นมาทันที
“กลิ่นหอมแรงที่ไม่กระจายหายไป ช่างหอมจริงๆ กลิ่นนี้ถูกกักไว้ภายในเนื้อของอสูรเวทระหว่างการปรุง ก่อให้เกิดเป็นกลิ่นหอมอันน่าอัศจรรย์ ตอนนี้เมื่อเนื้อของอสูรเวทระดับเจ็ดทั้งเก้าตัวถูกนำมารวมกัน น้ำแกงที่ไหลซึมออกมา… จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาหารชั้นเลิศที่สุดในแดนมนุษย์!”
หนี่หยันที่ยังไม่ได้ชิมอาหารเลยสักนิดพูดชื่นชมอาหารของปู้ฟางไปเรียบร้อยแล้ว
นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมเชยอาหารที่รู้สึกปลาบปลื้มอยู่เต็มอก อาหารจานนี้อยู่บนจุดสูงสุดทั้งเรื่องวัตถุดิบและการควบคุมพลังปราณ
หนี่หยันใช้ช้อนกระเบื้องเคลือบตักน้ำแกงขึ้นมา นางไม่ได้ดื่มมันทันที แต่กลับยกช้อนขึ้นใกล้ดวงตาเพื่อมองสำรวจ น้ำแกงนั้นมีหลายสี เรียกได้เป็นสายรุ้งเหลวที่อยู่บนช้อนก็ไม่ผิดนัก
กลิ่นหอมแรงที่หลั่งไหลออกจากน้ำแกงทำให้หนี่หยันเม้มริมฝีปากอยู่ไปมา จากนั้นนางก็ใส่ช้อนเข้าปาก
น้ำแกงร้อนๆ นั้นไม่ได้แผดเผาลำคออย่างที่หญิงสาวคิด กลับกันอุณหภูมิของมันกลับปกติมาก ไม่เหมือนน้ำแกงที่ส่งไอร้อนออกมาตอนที่อยู่บนช้อนเลย
หนี่หยันหรี่ตาลงเมื่อรสของน้ำแกงชำแรกผ่านทุกมุมในปากราวกับเป็นสายน้ำที่หลากไหลผ่านช่องเขาสลับซับซ้อน ทุกคำที่กลืนลงไป นางจะได้รับรสชาติใหม่ๆ ที่กระตุ้นต่อมรับรสในปากอยู่เบาบาง
ทักษะการทำอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ของปู้ฟางทำให้พลังปราณในน้ำแกงลุ่มลึกจนเหลือจะกล่าว ในน้ำแกงมีพลังปราณจำนวนมากผสานอยู่ และหนี่หยันก็สามารถสัมผัสได้ถึงรสมือของปู้ฟางในน้ำแกง
วิธีทำน้ำแกงนี้คล้ายวิธีทำน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาในร้านของเถ้าแก่ปู้ น้ำแกงเต้าหู้หัวปลากักเก็บรสชาติวัตถุดิบทุกอย่างเอาไว้ในน้ำแกง แล้วปล่อยให้พลังปราณระเบิดออกมาราวกับเป็นระเบิดกลิ่นหอมหวานภายในปาก ทว่าครั้งนี้พลังปราณที่เป็นดั่งระเบิดกลิ่นหอมหวานกลับระเบิดต่อเนื่องกัน ทำเอาหนี่หยันตัวสั่นราวกับกำลังได้ขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
ความอร่อยของอาหารจานนี้ช่างล้ำลึก หนี่หยันอดจ้องมองเถ้าแก่ปู้ด้วยดวงตาที่เบิกโพลงไม่ได้ นางพยักหน้ายอมรับอาหารของเขาซ้ำไปซ้ำมา
“ลองชิมเนื้อสิ” ปู้ฟางพูด
หนี่หยันยอมทำตามอย่างว่าง่าย นางตักเนื้อสีขาวอมชมพูของอสูรเวทขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ไขมันในเนื้ออสูรเวทชิ้นนี้กระจายตัวกันอย่างดี ในสายตานางลายเส้นเลือดที่ปรากฏนั้นเหมือนภาพวาดในคัมภีร์เก่าแก่อย่างไรอย่างนั้น
“นี่เนื้ออะไร” หนี่หยันถามด้วยความสงสัย ปู้ฟางนำเนื้อทั้งเก้าชนิดมาปรุงในกระทะใบนี้ นางจึงไม่อาจบอกได้ว่าเนื้อชิ้นนี้เป็นเนื้อของอสูรเวทชนิดใดกันแน่
ปู้ฟางเลิกคิ้ว แม้เขาจะยังไม่ได้ลองชิมอาหารจานนี้ แต่ก็บอกได้ว่าเนื้อชิ้นดังกล่าวเป็นเนื้อของอสูรเวทชนิดใด
“นี่เป็นเนื้อของเต่าภูเขาโบราณระดับเจ็ด” ปู้ฟางตอบ
“เนื้อของเต่าภูเขาโบราณระดับเจ็ดหรือ” หนี่หยันพึมพำเบาๆ ก่อนจะส่งเนื้อเข้าปาก นัยน์ตาของนางเบิกโพลงแก้มตุ่ยจากแรงเคี้ยว
ยิ่งหญิงสาวเคี้ยว ประกายในดวงตาของนางก็เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
“อร่อย! อร่อยสุดๆ! เคี้ยวเพลินเหลือเกิน!!”
หนี่หยันร้องออกมาด้วยความชื่นชม เนื้อชิ้นนั้นเด้งไปมาอยู่ในปากของนาง ราวกับว่าจะเติมเต็มช่องปากด้วยรสสัมผัสกรอบเด้งให้คงอยู่ตลอดไป
ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อชิ้นนี้กลับเคี้ยวไม่ยากเลย เพราะความแข็งแกร่งทรงพลังของอสูรเวทระดับเจ็ด กล้ามเนื้อของพวกมันจึงผสานเข้าด้วยกัน ทำให้เนื้อดูเหนียวยากต่อการเคี้ยวให้เป็นชิ้นเล็กๆ เนื้อประเภทนี้ย่อมส่งผลต่อรสสัมผัสของอาหาร
ทว่าเนื้อของเต่าภูเขาโบราณทั้งกรอบเด้งและเคี้ยวให้แหลกได้ง่าย แม้หน้าตาของมันจะดูเหนียวเคี้ยวยากก็ตามที
หนี่หยันยังไม่ทันได้รื่นรมย์กับความอร่อยของกระทะแห่งโชคชะตาอย่างเพียงพอ ฝูงชนก็กรูกันเข้ามาล้อมตัวนางไว้แล้วเริ่มต่อสู้แย่งชิงของอร่อย
แต่ปู้ฟางก็ทำอาหารเอาไว้มากพอ ทุกคนจึงได้อาหารกันไปคนละชาม
ชื่อกระทะเทพแห่งโชคชะตาที่ปู้ฟางตั้งนั้นสื่อความหมายของอาหารจานนี้ได้เป็นอย่างดี มันถูกปรุงจากเนื้ออสูรเวทระดับเจ็ดถึงเก้าชนิด พลังปราณภายในกายของอสูรเวทระดับเจ็ดแน่นอนว่ารุนแรงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะรับไหว
ตามปกติมีเพียงผู้ฝึกตนระดับสามขั้นคลั่งยุทธการขึ้นไปเท่านั้นจึงจะกินอาหารจานนี้ได้ แต่ปู้ฟางใช้ผักพลังปราณปริมาณมากและทักษะการควบคุมพลังปราณเที่ยงแท้ของตนในการทำอาหารจานนี้ เขาควบคุมพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในอาหารระหว่างการปรุง และทำให้พลังปราณที่พลุ่งพล่านขึ้นมาสงบละเมียดละไมขึ้น จนตอนนี้ใครๆ ก็สามารถลิ้มรสอาหารจานนี้ได้
นี่เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เพราะเหล่าทหารในกองทัพนั้นมีระดับพลังปราณแตกต่างกัน โดยเฉพาะในกองทหารลำดับสาม สมาชิกบางคนบรรลุขั้นคลั่งยุทธการแล้ว แต่บางคนยังไม่บรรลุ
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นอาหารจัดเลี้ยงที่เตรียมขึ้นเพื่อกองทหารลำดับสาม ดังนั้นทุกคนในกองทหารลำดับสามจึงควรได้กิน
หลังจากผ่านกระบวนการเคี่ยวอย่างยาวนาน เนื้อของช้างหนามก็ไม่ต่างอะไรจากเต้าหู้ แต่เมื่อเทียบกับเต้าหู้แล้ว เนื้อนี้มีความหอมหวานและเพิ่มพลังกายได้ดีกว่ามาก
ทหารที่ได้กินเนื้อช้างหนามเข้าไปรู้สึกราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ในร่าง พลังปราณเที่ยงแท้ในกายเริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว
ภาพนี้เกิดขึ้นกับทุกคนต่อๆ กันไปไม่หยุดหย่อน
อาหารในกระทะยักษ์ทั้งเก้าใบมีเพียงพอ ทุกคนในกองทหารลำดับสามจึงได้ลิ้มลองอาหารจานเด็ด ยิ่งไปกว่านั้นทหารจากกองทหารลำดับหนึ่งและสองจำนวนหนึ่งก็วิ่งมาขอลองชิมด้วย ความอร่อยของมันช่างล้ำลึกจนพวกเขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
ทหารที่ได้ชิมกระทะเทพแห่งโชคชะตารู้สึกราวกับว่าร่างกายได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ แก่นพลังปราณในกายหมุนวนอย่างรุนแรง ความรู้สึกอบอุ่นจากน้ำแกงยังคงลอยวนอยู่ในตัว ราวกับก้อนพลังงานอันอบอุ่นได้นำทางพวกเขาไปสู่การกำเนิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่ากองทหารลำดับสามจะมีจำนวนมาก แต่ก็ยังน้อยกว่ากองทหารลำดับสอง
มีทหารจำนวนไม่น้อยที่กินอาหารจานนี้เข้าไปแล้วบรรลุขั้นปราณ ส่วนคนที่ไม่บรรลุนั้นสภาพร่างกายและจิตใจก็พัฒนาขึ้นมาก!
อาหารจานนี้ช่วยยกระดับกองทหารลำดับสามขึ้นอีกขั้น!
หากเทียบกับกองทหารลำดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ความสามารถของพวกเขาเรียกได้ว่าไม่ได้ย่อหย่อนกว่ากันเลยแม้แต่น้อย!
เมื่อได้เห็นอาหารจานโอชะ ก่งเหยาเจ้าเมืองประจิมเร้นลับก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ เขาตักมาเต็มชามเพื่อจะลองชิมดูบ้าง แต่ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจ
ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างปลาบปลื้ม
ด้านก่งเซวียนเองก็ตักมาชามหนึ่งเช่นกัน หลังจากที่ดื่มน้ำแกงเข้าไป เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ถึงแม้ว่าน้ำแกงนั้นจะไม่ทำให้ก่งเซวียนบรรลุขั้นปราณ แต่ก็เพิ่มพลังปราณให้เขาอย่างมาก
ชายหนุ่มอยู่ในขั้นนักพรตยุทธการ แต่ระดับปราณของเขาในตอนนี้กลับใกล้บรรลุเต็มที นี่มันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว สิ่งนี้คืออาหารจริงๆ น่ะหรือ
ถังอิ่นเองก็ได้รับมาชามหนึ่งเช่นกัน ชายหนุ่มมั่นใจในอาหารของเถ้าแก่ปู้เสมอมา ดังนั้นเขาจึงยกน้ำแกงขึ้นดื่มด้วยความสนใจ ทันทีที่ได้ดื่ม เขาก็รู้สึกอยากจะดื่มอีกสักชาม
ปู้ฟางยืนอยู่ที่เดิม คิ้วสองข้างย่นเข้าหากันพลางยกมือลูบคาง สีหน้าของเขาทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าไปรบกวน
กระทะเทพแห่งโชคชะตาทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพปู้ฟางขึ้นไปอีก
ทว่าจู่ๆ คิ้วที่ขมวดกันแน่นของปู้ฟางก็คลายออก ก่อนที่ริมฝีปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอันมากเพราะกระทะเทพแห่งโชคชะตาผ่านการประเมินจากระบบ มันถือเป็นอาหารจานที่สามที่ระบบยอมรับ ในที่สุดปู้ฟางก็ทำภารกิจสำเร็จเสียที
ชายหนุ่มยกมือแตะแก้มตนเองเบาๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกทางปาก
ปู้ฟางเดินไปตักน้ำแกงขึ้นมาหนึ่งชามพร้อมเนื้อสิงโตเพลิงชิ้นหนึ่ง เนื้อนั้นทั้งสดและนุ่ม ถึงจะผ่านการปรุงอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เส้นเลือดบนเนื้อก็ยังเด่นชัดอยู่เช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้นการต้มเนื้อชนิดนี้ก็ทำให้รสชาติของมันดีขึ้นกว่าเนื้ออสูรเวทชนิดอื่นๆ ถนัดตา
นี่เป็นเหตุผลที่ปู้ฟางเลือกวางเนื้อสิงโตเพลิงไว้ที่ก้นกระทะ เพราะมันจะได้ไม่สุกเกินไป และรสชาติที่ปลดปล่อยออกมาก็จะดียิ่งขึ้น
กัดเนื้อหนึ่งคำ ดื่มน้ำแกงหนึ่งช้อน แล้วทำซ้ำอีกครั้ง ปู้ฟางผ่อนคลายลงอย่างมาก แถมยังรู้สึกพึงใจอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
…
ขณะนี้ในเมืองประจิมเร้นลับหากมองจากภายนอกนั้นดูอึกทึกวุ่นวายยิ่ง บรรดาทหารบนกำแพงต่างพากันหันหลังมองไปทางค่ายทหาร พวกเขาได้ยินเสียงผู้คนกำลังดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศ… ช่างโหดร้ายเสียจริงๆ!
คนอื่นๆ ต่างพากันกินอาหารอันโอชะขณะที่พวกเขาต้องลาดตระเวนอยู่บนกำเมืองที่หนาวเหน็บ จะดีแค่ไหนหากพวกเขาได้อยู่กับคนอื่นๆ และได้ดื่มน้ำแกงเนื้อร้อนๆ รสหอมหวานด้วย
ด้านใต้กำแพงเมืองมีเงาหลายร่างกำลังลักลอบปีนกำแพงเข้ามา
คนเหล่านี้คือทหารระดับสูงจากกองทัพของแม่ทัพโม่หลิน ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ถึงแม้ว่ากำแพงเมืองประจิมเร้นลับจะสูงใหญ่ แต่พวกเขาก็ปีนขึ้นมาได้ไม่ยากเย็นนัก
พวกเขาปีนอย่างเงียบเชียบราวกับเป็นกิ้งก่าอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเร่งความเร็วเพื่อข้ามกำแพงไปอีกฝั่ง
ทหารยามเมืองประจิมเร้นลับคนหนึ่งหันหน้ากลับมาทางกำแพงเมือง เมื่อเห็นเงาคนอยู่ตรงหน้า เขาก็ชักกระบี่เล่มยาวออกมาอย่างเดือดดาล
แต่ประกายแสงที่เร็วกว่าก็พาดผ่านลำคอขอทหารยามคนนั้นไปเสียก่อน
มีเสียงของหนักตกกระแทกพื้น…
ภายในไม่กี่ลมหายใจ เงามนุษย์ที่ปีนกำแพงเมืองขึ้นมาก็พุ่งขึ้นสู่ด้านบนกำแพง พวกเขาต่อสู้กับทหารยามในระยะประชิด พลังปราณของพวกเขาแข็งแกร่งเกินคาด เมื่อต้องสู้กับทหารยามธรรมดา บรรดายอดฝีมือจึงจัดการอีกฝ่ายได้โดยไม่เหนื่อยแรงนัก
หง่าง หง่าง หง่าง!!
ระฆังประจำเมืองประจิมเร้นลับดังขึ้น เป็นสัญญาณว่ามีศัตรูบุก
หลังจากสังหารทหารยามบนกำแพงเมืองแล้ว บรรดายอดฝีมือก็พุ่งตัวลงจากกำแพงเมืองฝั่งด้านในเพื่อเปิดประตูเมือง
ตู้ม ตู้ม!!
กองทหารลำดับหนึ่งแห่งเมืองประจิมเร้นลับพุ่งเข้าโจมตีผู้บุกรุก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เฝ้าประตูเมืองอยู่ตั้งแต่แรก แต่เมื่อศัตรูบุกเข้ามา บรรดาทหารก็ตอบโต้ได้อย่างทันท่วงที
ไม่นานนักการต่อสู้โกลาหลก็บังเกิดขึ้นที่บริเวณถนนหน้าประตูเมือง
ตึง ตึง ตึง!!
ประตูเมืองเก่าคร่ำคร่าของเมืองประจิมเร้นลับถูกกระแทกอย่างรุนแรงอยู่ซ้ำๆ ราวกับมีอสูรเวทขนาดมหึมากำลังพยายามจะพังเข้ามา
ด้านนอกเมืองประจิมเร้นลับ ร่างเงาของมนุษย์สามร่างลอยอยู่บนอากาศ หนึ่งในนั้นยกกำปั้นขึ้น จู่ๆ พลังงานเที่ยงแท้ปริมาณมหาศาลก็ก่อตัวเป็นเงารูปกำปั้นขนาดใหญ่ กำปั้นยักษ์ฟาดใส่ประตูเมืองอย่างรุนแรง
เมื่อกำปั้นกระแทกใส่ประตูเมืองเป็นครั้งที่สาม ประตูของเมืองประจิมเร้นลับเปิดออก
เสียงตะโกนโห่ร้องหมายมั่นเอาชีวิตดังระงมเข้ามาในเมืองประจิม
เร้นลับทันที
ทหารที่เพิ่งจะเสร็จจากงานเลี้ยงต้อนรับพลันรู้สึกตื่นขึ้นมา
สีหน้าของเจ้าเมืองประจิมเร้นลับก่งเหยากับแม่ทัพใหญ่ก่งเซวียนเปลี่ยนไปทันที พวกเขารีบมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองประจิมเร้นลับ
หนี่หยันผู้ที่นั่งยองๆ อยู่ข้างกระทะยักษ์ยังคงดื่มน้ำแกงร้อนฉ่าและเคี้ยวเนื้ออสูรเวทต่อไปอย่างเปี่ยมสุข นางเมินเฉยต่อเสียงโวยวายของการฆ่าฟันเสียสิ้น
แต่ปู้ฟางกลับหันมองไปทางประตูเมืองด้วยความสงสัย ที่ตรงนั้นเกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้น ส่วนเสียงของการต่อสู้และฆ่าฟันก็ดังกึกก้องไม่ขาดสาย