สตรีนางนั้นกำหมัดอีกครั้งคิดจะทุบตีลงไปบนร่างกายของเด็กน้อย ทว่าขณะที่นางไม่ทันได้ป้องกัน รังสีอันเย็นเยียบกลับพุ่งเข้ามาหานางจากทางด้านข้าง
สตรีนางนั้นหันกลับมามองด้วยสายตาตื่นตะลึง นางเห็นหลินชิงเวยที่นางเพิ่งจะผลักลงไปในบ่อน้ำเมื่อสักครู่ยืนอยู่เบื้องหน้านาง พร้อมกับยกมือมายื้อยุดข้อมือของนางเอาไว้
ท่าทางของหลินชิงเวยดูแล้วเหมือนอ่อนแอ ทว่าภายใต้การต่อสู้สตรีนางนั้นเพิ่งจะค้นพบว่าเรี่ยวแรงของหลินชิงเวยไม่น้อยเลย สตรีนางนั้นพูดด้วยท่าทีดุร้ายว่า “เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตต่อไปแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่รีบปล่อยมืออีก! แม้แต่เจ้าข้าก็จะตีด้วยเชื่อหรือไม่?”
หลินชิงเวยเพียงแค่มองนางโดยไม่ได้เอ่ยอะไร นางบิดข้อมือของสตรีนางนั้นเพียงเล็กน้อยทว่ากลับส่งผลให้ข้อมือสตรีนางนั้นผิดรูป สตรีนางนั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทันที หลินชิงเวยกล่าว “รังแกเด็กน้อย ต่อไปจะถูกกรรมตามสนอง”
สตรีนางนั้นแค้นเคืองยิ่ง นางยังคิดจะต่อต้านขัดขืน หลินชิงเวยเคลื่อนไหวด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบาพร้อมกับดึงแขนของสตรีนางนั้นมาพาดไว้บนไหล่ของตน แล้วเหวี่ยงร่างของนางผ่านไหล่ของตนลงไปบนพื้นเต็มแรง
สตรีนางนั้นล้มลงไปด้วยความเจ็บปวดจึงได้แต่กัดฟันขบกรามแน่นอยู่บนพื้น หลินชิงเวยเดินเข้าไปใกล้ๆ นางอีกก้าวหนึ่ง นางรีบพลิกตัวล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาแล้วเผ่นแน่บราวกับเป็นควันสายหนึ่ง
ล้วนเป็นการรังแกผู้อ่อนแอและเกรงกลัวผู้ที่เข้มแข็งกว่าตนทั้งสิ้น
หลินชิงเวยยังไม่ทันได้ถามเด็กน้อยว่าเป็นอะไรหรือไม่ เด็กน้อยคนนั้นกัดฟันแล้วหันหน้าวิ่งออกไป ราวกับนางเป็นเชื้อโรคร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น
หลินชิงเวยมองตามเงาร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยที่วิ่งจากไป จากนั้นค่อยๆ ถอนสายตากลับมาหยิบถาดไม้ที่อยู่ข้างบ่อน้ำแล้วตักน้ำถาดหนึ่งเดินกลับไป แขนของนางยังอ่อนแรงอยู่บ้าง มือที่ประคองถาดไม้กลับไปนั้นสั่นสะท้านเบาๆ
โชคดีที่สตรีที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนรูปร่างผอมบางราวกับกิ่งไผ่ หาไม่แล้วด้วยพละกำลังของสตรีเมื่อสักครู่ นางไม่แน่ใจว่านางจะทุ่มอีกฝ่ายได้ลงหรือไม่ แม้นางจะเคยฝึกยูโดมาก่อน แต่ก็ต้องอยู่ภายในเงื่อนไขที่ร่างกายเล็กๆ นี้มีเรี่ยวแรงและความแข็งแกร่งมากพอ
กลางวันผ่านไป หลินชิงเวยมองดูบาดแผลถลอกที่แขนของตน เป็นรอยแดงและบวมเห่อ นางคิดได้ว่าในยามปกติในตำหนักเย็นไม่มีคนมาดูแลทำความสะอาดเรื่องต้นหญ้าวัชพืชที่ขึ้นตามกำแพง มีหญ้าบางชนิดที่ขึ้นและพบเห็นได้ทั่วไปมีสรรพคุณลดบวมและบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ ดังนั้นนางจึงออกจากเรือนของตน แล้วมุ่งหน้าสู่พื้นที่อีกมุมหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้านานาชนิด
ขณะที่นางกำลังย่อกายลงไปในมุมกำแพงด้านหนึ่ง เวลานี้เองมีหญิงสาวสองคนเดินผ่านพร้อมกับสนทนากัน พวกนางไม่พบเห็นนาง “ได้ยินว่านางเด็กต่ำช้านั่นวันนี้ไปช่วยหญิงสำส่อนคนนั้นออกมา เวลานี้กำลังถูกตีอย่างน่าเวทนา”
คิ้วของหลินชิงเวยกระตุก นางหันไปมองเงาร่างของคนทั้งสองที่ห่างออกไปไกล
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ตีให้ตายก็สมควรแล้ว เดิมทีก็เป็นสายเลือดต่ำช้าอยู่แล้ว กินอยู่บนเรือนกลับมาถ่ายรดบนหลังคาได้”
หลินชิงเวยโยนต้นหญ้าที่อยู่ในมือทิ้งไป ลุกขึ้นแล้วเดินตามไปทันที ขณะที่กำลังเดินผ่านระเบียงทางเดินแห่งหนึ่ง ข้างหน้าเห็นกลุ่มคนกำลังมุงดูกันอยู่ นางได้ยินคำพูดด่าทอจากปากของพวกนาง ตรงกลางที่พวกนางกำลังล้อมเอาไว้ มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตีเด็กน้อยคนนั้นที่แม้แต่จะยืนก็ยังยืนไม่อยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
บริเวณหน้าอกของหญิงสาวคนนั้นคล้องแขนข้างหนึ่งเอาไว้ เป็นแขนข้างที่ถูกหลินชิงเวยบิดเมื่อตอนสายนี้เอง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือไม้หวายหวดตีอย่างโหดเหี้ยม
ไม่มีคนแม้สักคนเดียวที่จะออกมาพูดจาเกลี้ยกล่อม สายตาที่พวกนางมองเด็กน้อยคนนั้น นอกจากเย็นชาและรังเกียจแล้ว ไม่มีแม้แต่ความสงสารและเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย
หลินชิงเวยพลันรู้สึกว่าคนบางคน เจ้าแสดงความอ่อนแอให้นางเห็นนั้นไม่เพียงพอ ครั้งนี้แสดงความอ่อนแอแล้วเอาตัวรอดได้ ครั้งหน้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากันอีก พวกนางจะยิ่งรังแกเจ้าอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อได้พบคนประเภทรังแกผู้อ่อนแอกว่า เกรงกลัวผู้เข้มแข็ง มีเพียงต้องลงมือให้โหดเหี้ยมกว่าพวกนางเท่านั้น
หลินชิงเวยเดินข้ามระเบียงทางเดินไป พร้อมกับหยิบไม้กระบองที่พาดอยู่บนกำแพงติดมือมาด้วยท่อนหนึ่ง นางกุมไว้ในมือของตน เดินเข้าไปทีละก้าว ร่างของนางแผ่กระจายรัศมีที่ไม่เหมือนหญิงสาวในวัยสิบหกปีคนหนึ่ง สายตานั้นเด็ดขาด ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ราวกับว่าหากใครกล้าก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง นางพบพระก็สังหารพระ