ทว่าสัญญาณที่ดังขึ้นในครั้งนี้กลับแตกต่างจากสัญญาณที่เซียวเยี่ยนสั่งการออกไป ทันทีที่สิ้นเสียงผิวปาก ภายในเรือนพลันบังเกิดเสียงเคลื่อนไหวสวบสาบ ต่อมาฝูงงูพากันเลื้อยออกมาจากเงามืด การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วและว่องไวยิ่ง นกพิราบเหล่านั้นยังไม่ทันได้รู้ตัวเพราะมัวแต่มองไปรอบๆ ลานเรือนอย่างสนอกสนใจจึงถูกโจมตีอย่างกะทันหัน พิราบสื่อสารได้รับความตื่นตระหนก จึงพากันกระพือปีกเพื่อที่จะขึ้นบิน แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่งูได้ทำการจู่โจมแล้วเช่นกัน ผู้ที่ได้เปรียบคือผู้ที่ลงมือก่อน งูเหล่านั้นใช้หางของมันรัดพิราบสื่อสารไว้ได้ด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว
พิราบสื่อสารที่เหลือเพียงหกตัวภายในลานเรือนนั้นต่างดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด พวกมันพยายามกระพือปีกสุดชีวิต ทว่าสุดท้ายยังคงหนีไม่พ้นปากงูไปได้ งูฝูงหนึ่งกลืนกินพิราบสื่อสารไม่เหลือแม้แต่กระดูก ทิ้งไว้เพียงขนพิราบสีขาวและรอยหยดเลือดบนพื้น
องครักษ์เห็นทุกอย่างกับตา เขาอ้าปากทว่ากลับไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้
กระทั่งพิราบสื่อสารหกตัวสุดท้ายก็ไม่เหลือ เดิมทีนั้นมาเพื่อทวงหนี้ ทว่ายามนี้กลับดียิ่งนักช่างเป็นการสูญเสียซ้ำสองในครั้งเดียว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลินชิงเวยเขากลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองได้แสดงท่าทีอวดเบ่งข่มอีกฝ่ายอยู่ก่อน
นี่เป็นสตรีนางหนึ่งซึ่งมิอาจปรามาสได้เลยทีเดียว สตรีที่อยู่ในวัยเดียวกับนางในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องพบเห็นงู แค่เพียงเห็นโลหิตเพียงหยดเดียวเกรงว่าจะถึงกับหมดสติไปครึ่งวันก็เป็นได้
เซียวเยี่ยนหรี่ดวงตาหงส์อันเรียวยาวจับจ้องไปยังหลินชิงเวย หลินชิงเวยได้แต่ยักไหล่กล่าวว่า “ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้น คิดจะให้ข้าชดใช้ ท่านอ๋องจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นว่านกพิราบเหล่านี้เป็นของท่านอ๋อง”
“เปิ่นหวางประเมินเจ้าต่ำไปแล้ว” เซียวเยี่ยนกล่าว “เจ้าอยากออกจากตำหนักเย็น?”
หลินชิงเวย “มีใครบ้างเล่าคิดจะอยู่ในสถานที่เช่นนี้ไปจนชั่วชีวิต”
นาทีถัดมาเซียวเยี่ยนสะบัดชายแขนเสื้อแล้วหันกายกลับเดินจากไป พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า “เช่นนั้นเจ้าจงรออยู่ที่นี่เถิด บางทีเปิ่นหวางอาจจะพิจารณาปล่อยเจ้าออกไปชาติหน้า”
หลินชิงเวยมองเงาร่างด้านหลังของเซียวเยี่ยนที่ก้าวยาวๆ เดินอาดๆ จากไป นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วผิวปากเบาๆ ไปทางเขาครั้งหนึ่ง “ท่านจะต้องกลับมาหาข้า”
ฝีเท้าของเซียวเยี่ยนไม่ได้หยุดชะงัก ความโกรธเคืองในใจที่มิอาจบรรยายนั้นพวยพุ่งราวกับเปลวไฟกองใหญ่ที่มีแต่จะกระพือโหมเพิ่มขึ้น ทว่าเขายังคงไม่แม้แต่จะหยุดฝีเท้าเพื่อหันกลับไปตอบนางแม้สักคำ
มองส่งเซียวเยี่ยนจากไปแล้วหลินชิงเวยจึงหันกายเดินกลับเข้าไปในเรือน ทันทีที่เข้าไปในเรือนก็เห็นซินหรูฟุบร่างอยู่บนขอบหน้าต่าง สายตาที่มองมายังนาง ทำให้นางต้องลูบใบหน้าเรียวเล็กนั้น เซ่อเจิ้งอ๋องต้องพ่ายแพ้กลับไปอย่างหมดรูปล้วนเป็นสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้ แต่เด็กหญิงคนนี้ล้วนทำอะไรไม่ได้ นางมีท่าทางราวกับเป็นลูกสุนัขตัวเล็กๆ “เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”
ซินหรูเอ่ยขึ้นเบาๆ “เห็นเซ่อเจิ้งอ๋องท่านนั้นกลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ยังมีอีกเล่า?”
“งูกินนกพิราบที่เหลือ” ฟังจากน้ำเสียงของนางก็รู้ว่านางรู้สึกปวดใจ ราวกับนางไม่เคยประสบพบเจอกับภาพเหตุการณ์สัตว์ที่แข็งแกร่งกว่ากลืนกินสัตว์ที่อ่อนแอกว่าเป็นอาหาร
“เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ?” หลินชิงเวยถามอย่างเป็นธรรมชาติ
ซินหรูเงียบขรึมลงอีก จากนั้นกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันเบาว่า “พี่สาวไม่มีความจำเป็นต้องให้งูพวกนั้นกินพวกมันนี่เจ้าคะ”
“ไม่กินแล้ว พวกเราก็ต้องชดใช้นกพิราบที่เหลืออีกสามสิบตัว” หลินชิงเวยหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมารินน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วดื่มเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ลำคอ “ไม่สู้ ทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุดให้สิ้นซาก เพื่อป้องกันไม่ให้องครักษ์ผู้ติดตามคนนั้นปากยืดปากยาว”
ซินหรูกล่าวอีกว่า “พี่สาวมิใช่ต้องการออกไปจากตำหนักเย็นหรือเจ้าคะ ที่มานั่นเป็นถึงเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าได้ยินสตรีเหล่านั้นในตำหนักเย็นพูดว่ายามนี้ข้างนอกนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นใหญ่ที่สุด หากเขาเป็นผู้ตัดสินใจพี่สาวจะต้องออกไปได้แน่นอนเจ้าค่ะ เวลานี้ทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องโกรธขึ้งต่อไปคิดจะออกไปย่อมเป็นเรื่องยาก”
หลินชิงเวยหัวเราะเบาๆ “หากจะมาวิตกกังวลเรื่องเหล่านี้ ไม่สู้เจ้าฉวยโอกาสในขณะที่ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง เรียนรู้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไว้ก่อน หาไม่แล้วรอกระทั่งออกไปข้างนอกจะถูกผู้อื่นข่มเหงรังแกเอาได้”
“หา?” ซินหรูกะพริบดวงตาที่ทอประกายสุกใส
หลินชิงเวยโบกมือขึ้นครั้งหนึ่งพร้อมกับโยนสิ่งของชิ้นหนึ่งมาทางนาง “รับเอาไว้ เจ้านำไปศึกษาให้ดี”