เซียวเยี่ยนเดินนำหลินชิงเวยเข้าไปในตำหนัก นางกำนัลที่ยืนเฝ้าอยู่ล้วนหันมาคารวะต่อเขา ทำให้หลินชิงเวยพลอยได้รับการคารวะไปด้วย
ทันทีที่ก้าวผ่านประตูใหญ่ของตำหนักบรรทม กลิ่นโอสถอันเข้มข้นก็พวยพุ่งออกมาภายในตำหนักบรรทมมีหมอหลวงหลายคนกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ในมุมๆ หนึ่ง อาการตัวร้อนไข้ขึ้นของเซียวจิ่นที่ดำเนินมาถึงวันนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต
เมื่อเห็นเซ่อเจิ้งอ๋องเข้ามา บรรดาหมอหลวงล้วนเต็มไปด้วยความกริ่งเกรง เซียวเยี่ยนถามไถ่พวกเขาเกี่ยวกับอาการประชวรของเซียวจิ่น หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเห็นบนแท่นบรรทมมังกรมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่ที่นั่น แม้เขาจะมีอายุสิบสามปีแล้ว แต่ด้วยร่างกายได้รับความทุกข์ทนจากการเจ็บป่วยทำให้เขาดูแล้วผ่ายผอมและเปราะบางอย่างยิ่งมีสภาพเช่นเดียวกับซินหรูเมื่อแรกที่นางได้พบ
ริมฝีปากทั้งคู่ของเซียวจิ่นปิดสนิท มีอาการตัวร้อนแต่สีหน้ากลับขาวซีด ไม่เห็นเลือดฝาดแม้แต่น้อย หลินชิงเวยเดินไปถึงข้างเตียงของเขา นางไม่รู้กฎเกณฑ์และธรรมเนียมประเพณีภายในวังหลวงมากมายนัก นางนั่งลงริมเตียงของเซียวจิ่น ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากของเซียวจิ่น
บรรดาหมอหลวงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “นางเป็น…”
เซียวเยี่ยนเบี่ยงกายมองไปเห็นหลินชิงเวยกำลังใช้แขนค้ำข้างเตียงของเซียวจิ่น ร่างของนางเอียงกายอยู่บนร่างของเซียวจิ่น มองเห็นบ่าบอบบางและเส้นผมสองส่วนของนางขับให้ใบหน้าเรียวเล็กของนางงดงามเด่นชัด นางกำลังเปิดเปลือกตาของเซียวจิ่นเพื่อพลิกดูสีนัยน์ตาของเขา แล้วเปิดปากของเขาเพื่อดูลิ้น จากนั้นป้อนยาเม็ดหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าเป็นยาที่มีสรรพคุณอย่างไรเข้าปากเซียวจิ่น
เซียวเยี่ยนไม่ได้ห้ามปราม
หลินชิงเวยถามหมอหลวง “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงตัวร้อนไม่ลด?”
หมอหลวงต่างมองหน้ากันไปมา มีคนหนึ่งก้าวออกมากล่าวว่า “ร่างกายของฝ่าบาทอ่อนแอมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ดังนั้นนี่…”
หลินชิงเวยมีท่าทีคล้ายเลิกคิ้ว กล่าวต่อว่า “ดังนั้นพวกท่านจึงคิดว่าอาการตัวร้อนของเขาเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด?” ไม่รอให้หมอหลวงตอบ นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงใสดังกังวาน “หมอหลวงในวังหลวงแห่งนี้ควรจะเป็นท่านหมอที่ดีที่สุดในแผ่นดิน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการเลี้ยงสิ่งของไร้ประโยชน์เอาไว้ฝูงหนึ่ง”
บรรดาหมอหลวงหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ จนปัญญาที่เซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ที่นี่ด้วยจึงมิกล้าบันดาลโทสะ “พวกกระหม่อมทุ่มเทแรงกายแรงใจมาโดยตลอด หลายปีมานี้ไม่เคยละเลย พระวรกายของฝ่าบาทอ่อนแอ เป็นเรื่องที่ท่านหมอทั้งใต้หล้าไม่อาจรักษาสาเหตุแห่งต้นตอของโรคได้ ขอเซ่อเจิ้งอ๋องโปรดตรวจสอบด้วยพะยะค่ะ!”
แม้น้ำเสียงของหลินชิงเวยจะดูเป็นเด็กและอ่อนโยน ทว่าคำพูดที่นางเอ่ยออกมานั้นไม่เป็นเช่นภาพลักษณ์ภายนอกของนางที่ดูไร้พิษสง นางหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านหมอรักษาอาการเจ็บป่วยของคนไข้ไม่ได้ ซ้ำยังมีหน้ามากล่าวโทษว่าอาการเจ็บป่วยของคนไข้หนักหนาสาหัสยากเกินกว่าที่จะรักษาได้อีก”
เดิมทีนางคาดการณ์เอาไว้ว่าฮ่องเต้น้อยองค์นี้อย่างมากก็มีอาการปวดท้อง แต่เวลานี้กลับกลายเป็นตัวร้อนไข้ขึ้นสูงไม่ลด หลินเชิงเวยจับชีพจรของเขาแล้วจึงทราบว่าร่างกายของเขาอ่อนแอถึงขีดสุด ภายในร่างกายกลับมีพลังที่ยากแก่การตรวจพบได้กำลังผลักดันกันอยู่ เวลานี้ดียิ่งนัก โอสถสองขนานกำลังต่อสู้กันอยู่ภายในร่างกาย ร่างกายของเขาทนรับไม่ไหวจึงมีสภาพเป็นอย่างที่เห็นในเวลานี้
หลินชิงเวยยกมือขึ้น ท่าทางอันเชี่ยวชาญและคุ้นเคยนั้นสวนทางกับอายุของนาง ท่าทางที่นางยื่นมือออกมาทางนี้ราวกับเป็นความเคยชิน เมื่อก่อนขอเพียงนางยื่นมือออกไปจะมีผู้ช่วยหมอยื่นมีดผ่าตัดส่งถึงมือของนาง แต่เวลานี้ผ่านไปอึดใจหนึ่งแล้วกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หลินชิงเวยอดไม่ได้ที่จะหันมามอง คิ้วทั้งคู่โค้งลงกลายเป็นเลขแปด กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ตะลึงอะไรกันอยู่ หยิบเข็มเงิน”
หมอหลวงต่างงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหน้านางนี้เป็นใครกันแน่ ทันทีที่เข้ามาก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่ไม่ว่าซ้ำยังกล้าที่จะเรียกใช้พวกเขา หมอหลวงเหล่านี้เมื่ออยู่ในวังหลวงล้วนมีตำแหน่งขุนนางตามลำดับขั้น ไหนเลยจะทนรับได้กับการถูกแม่นางน้อยปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาเรียกใช้ตน
ดวงตาหงส์ของเซียวเยี่ยนไม่ปรากฏอารมณ์และความรู้สึกอะไร นัยน์ตาดำราวกับน้ำหมึกคู่นั้นราวกับเริ่มครุ่นคิดจริงจังอยู่เพียงลำพังอย่างกระจ่างแจ้ง เขาพลันเอ่ยปาก “หยิบเข็มเงินให้นาง”