เซียวเยี่ยนมองนางแวบหนึ่ง ไม่พูดจา
ทว่าเพียงครู่เดียวก็ถูกหลินชิงเวยจับอารมณ์ของเขาได้ “สายตาของท่านอ๋องบอกว่า หากมิใช่ข้าสามารถช่วยฮ่องเต้น้อยได้ ท่านคงไม่มาเป็นเพื่อนข้าใช่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยน “…”
หลินชิงเวย “ท่านดูสิ ท่านยอมรับอีกแล้ว”
เซียวเยี่ยนหยุดย่างก้าว บนศีรษะของเขาคือใบไม้ที่เพิ่งจะแตกใบอ่อนขับให้เขาดูแล้วเบิกบานสดใสขึ้นอีกหลายส่วน “ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักศาสตร์การอ่านใจคน”
หลินชิงเวยยิ้มหวานกับคำพูดนั้นพร้อมกับชี้หน้าตนเองว่า “มนุษย์เราคิดอะไรอยู่ในใจ มักจะเขียนไว้บนหน้าเสมอ ท่านอ๋องไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นเดียวกัน”
เซียวเยี่ยนหรี่ตาลง มองนางนิ่งๆ “จริงหรือ เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาเวลานี้เปิ่นหวางกำลังคิดสิ่งใดอยู่?”
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยแตะคางของตนเอง “ท่านกำลังคิดว่า เย็นนี้ควรทานอะไรดี ท่านช่วยข้าคิดด้วยก็แล้วกัน”
เซียวเยี่ยนโมโหจนจุกอกอีกครั้ง มองเงาร่างบอบบางของสตรีตรงหน้า ความรู้สึกอดทนอดกลั้นที่ข่มไว้ในใจช่างยากแก่การบรรยายออกมานัก
ต่อมาเขากล่าวขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าอาการป่วยของฮ่องเต้ไม่อาจรักษาให้หายได้ในครั้งเดียว นั่นหมายความเช่นไร”
“เหตุใดข้าต้องบอกท่านด้วยเล่า ท่านคิดจะให้ประโยชน์อันใดกับข้า?”
“เจ้ายังคิดจะได้ประโยชน์?” เซียวเยี่ยนกล่าวเตือน “หากมิใช่เจ้าเล่นไม่ซื่อ พระอาการตัวร้อนของฝ่าบาทก็ไม่เนิ่นนานเช่นนี้”
“โทษข้าล่ะสิ?” หลินชิงเวยหรี่ตาลง “ท่านยังคิดว่าวันนั้นที่ข้าตบไหล่ของท่านอ๋อง คือข้าได้ทำอะไรลงไปแล้ว?”
“ไม่อย่างนั้นเล่า?”
หลินชิงเวยหัวเราะขึ้นมา “ความรู้สึกของท่านอ๋องช่างแม่นยำนัก”
เซียวเยี่ยนหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง
หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “ข้าได้เทผงยาลงไปเล็กน้อยเมื่อแตะไหล่ของท่าน เพียงแต่ท่านอ๋องไปข้องแวะกับฝ่าบาท หลังจากนั้นฝ่าบาททรงพระประชวร แต่ร่างกายของท่านอ๋องกลับแข็งแรงยิ่ง”
“เจ้าหมายความอย่างไร?”
“ยานั้นมิใช่ยาพิษอะไร มันจะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องเท่านั้น เพียงแต่” หลินชิงเวยหยุดชะงักหันกลับมามองเซียวเยี่ยนด้วยสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผู้ที่กินยาถอนพิษร่างกายจะเกิดปฏิบัติต่อต้านยาตัวนั้น ท่านอ๋องไม่เป็นอะไรเลยหรือท่านกินยาถอนพิษเช่นกัน? อ้อ..ข้าคิดออกแล้ว มีอยู่คืนหนึ่ง มีบุรุษคนหนึ่งบุกเข้ามาในเรือนของข้า หรือ…”
“เปิ่นหวางไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอันใดอยู่”
ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเซียวเยี่ยนที่เดินอยู่ข้างหน้า หลินชิงเวยจึงพยายามก้าวตามพลางกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า “พระอาการตัวร้อนไข้ขึ้นของฮ่องเต้น้อย เป็นเพราะประจวบเหมาะกับยาของข้าที่ไปกระตุ้นพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ภายในร่างกายของเขายังมีพิษตกค้างอยู่ไม่น้อย เมื่อสักครู่ข้าเพียงแต่ถอนพิษในส่วนที่จำเป็นให้กับเขา ข้าบอกแล้วว่าต่อไปท่านจะมีเรื่องที่ต้องมาขอร้องข้าอีกมาก”
เซียวเยี่ยนเดินอยู่ข้างหน้าด้วยฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ตลอดทางคนทั้งสองพูดจากันน้อยยิ่ง
เดินไปราวๆ สองเค่อ[1] คนทั้งสองเดินผ่านถนนเล็กๆ กระทั่งสุดทางของอุทยานหลวง ทันทีที่เลี้ยวเข้าไปหลินชิงเวยพลันรู้สึกคุ้นเคยกับสองข้างทาง เมื่อจับจ้องอยู่ครู่หนึ่งเบื้องหน้าคือสระมรกตอันกว้างใหญ่ ข้างๆ สระมีศาลาหนึ่งหลัง
นี่ก็คือศาลาหลังนั้นที่นางและซินหรูหยุดพักเมื่อแรกมาถึง และยามนี้ศาลาหลังนั้นมีคนรวมตัวกันอยู่กลุ่มหนึ่ง
มองไปจากไกลๆ เต็มไปด้วยสีสัน นางกำนัลสองสามนางที่สวมกระโปรงนางข้าหลวงของวังหลวงทางด้านนั้นมีรูปโฉมโดดเด่นดึงดูดสายตา พวกนางกำลังล้อมรอบสตรีที่อยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามเฉิดฉายนางหนึ่ง
หลินชิงเวยไม่ต้องหยุดคิด รีบยกเท้ามุ่งหน้าไปทางด้านนั้น
สตรีรูปโฉมงดงามเฉิดฉายในศาลานั้นแต่งเข้ามาในวังหลวงวันเดียวกับหลินชิงเวยเช่นกัน เป็นกุ้ยเหรินคนหนึ่งที่ถูกคัดเลือกขึ้นมา นางคือจ้าวซือหลัน มองดูเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราบนกายนาง แต่งหน้าประทินโฉมประณีตงดงามจับตา เห็นได้ชัดว่านางมีชีวิตอยู่ในวังหลวงแห่งนี้อย่างไร้กังวลและมีเกียรติ ใบหน้าของนางปรากฏให้เห็นสีหน้าท่าทีเย่อหยิ่งถือตัว