“แต่หม่อมฉันยิ่งเรียก ยิ่งคล่องปากแล้วนี่นา ทำอย่างไรดี เสด็จอา เสด็จอา…”
“เจ้าหุบปาก”
รอกระทั่งกลุ่มคนนั้นเดินไปไกลแล้วเซียวเยี่ยนจึงลุกขึ้นมาทันที และไม่ลืมที่จะแย่งถุงเงินของตนจากมือของหลินชิงเวยกลับมาด้วย เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วหันกายเดินจากไป
ดูเหมือนตั้งแต่ได้พบกับนาง เซียวเยี่ยนไม่เคยมีชีวิตเป็นปกติอีกเลย
หลินชิงเวยค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ใช้มือปัดเศษไม้ที่ติดอยู่ตามร่างกายและเรือนผม กล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องกับเงาร่างเซียวเยี่ยนที่เดินจากไปว่า “ต้องขออภัยด้วย เงินในถุงเงินของพระองค์ถูกหม่อมฉันใช้หมดแล้ว ครั้งต่อไปจดจำไว้ว่าพระองค์ต้องใส่เงินไว้ให้มากสักหน่อย เสด็จอาค่อยๆ เดินนะเพคะ ลาก่อนเสด็จอา”
ฝีเท้าของเซียวเยี่ยนพลันชะงักลง เขาหันหลังให้นางหายใจเข้าลึกอย่างระงับอารมณ์สองครั้งเพื่อควบคุมเส้นเลือดสีเขียวข้างขมับที่เต้นตุบๆ ของตน จากนั้นหันกายกลับมามองนาง ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวว่า “หลินชิงเวย เจ้ามากับเปิ่นหวาง”
“ไปทำอะไรเพคะ?” หลินชิงเวยถามยิ้มๆ ทว่ากลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ ชัดเจนยิ่งนักว่านางป้องกันตัวสุดฤทธิ์
เซียวเยี่ยนกล่าว “เปิ่นหวางจะพาเจ้าไปเบิกเงิน”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วเหมือน “เจ้าไปกับคุณอา คุณอาจะพาเจ้าไปซื้อลูกกวาดกิน” เหมือนคำลวงที่พวกลักพาตัวเด็กชอบใช้หลอกเด็กน้อยอายุสามขวบอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าที่มหัศจรรย์ก็คือสุดท้ายหลินชิงเวยยังคงเดินไปพร้อมกับเขา ฉวยโอกาสนี้ทำความคุ้นเคยกับวังหลวงแห่งนี้ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
เพียงแต่เซียวเยี่ยนรูปร่างสูงใหญ่ ขาก็ยาว ย่างก้าวของเขาก้าวใหญ่ หลินชิงเวยเดินตามหลังของเขาช้าๆ เขาไม่อาจไม่ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง
หลินชิงเวยทางหนึ่งหยิบชิงหลันออกมาเล่นด้วย ชิงหลันเห็นคนแล้วตาเป็นประกาย หัวของงูพยายามที่จะเกาะแผ่นหลังของเซียวเยี่ยน หลินชิงเวยจึงกล่าวว่า “หากท่านหลอกลวงข้า ระวังว่ามันจะวู่วามโดยง่าย”
เซียวเยี่ยนไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เพียงแต่กล่าวเรียบๆ ว่า “หากเจ้าไม่ต้องการกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนแล้วละก็ เปิ่นหวางเตือนเจ้าเก็บสิ่งของเหล่านี้ขึ้นมา”
เดินมาพักใหญ่ ขณะที่หลินชิงเวยรู้สึกปวดเมื่อยขาไปหมดก็มาถึงที่หมายเสียที
ผีเสื้อในอุทยานหลวงนางก็ไม่มีเวลาชื่นชม เบื้องหน้านางคือตำหนักแห่งหนึ่งที่ดูยิ่งใหญ่และทรงพลังน่าเกรงขาม หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมอง ชื่อ ตำหนักชิงหลวน นางกำนัลเห็นเซียวเยี่ยนเข้ามา จึงรีบคุกเข่าถวายพรพร “ถวายพระพรเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านอ๋องอายุยืนพันปี พันพันปี”
เซียวเยี่ยนเดินผ่านกลุ่มคนเหล่านั้น ความสูงศักดิ์นั้นทำให้คนสั่นสะท้าน
หลังจากเข้าไปแล้วหลินชิงเวยจึงได้รู้ว่า ที่แท้ที่นี่คือที่ทำงานของสองอาหลาน ตำหนักแห่งนี้ก็คือห้องทรงพระอักษรนั่นเอง
เซียวเยี่ยนเดินขึ้นหน้าไปผลักประตูห้องเปิดออก หน้าประตูมีขันทีสองคนเฝ้าอยู่ พวกเขายอบกายลงถวายบังคมต้อนรับ เซียวเยี่ยนกล่าวทั้งที่ไม่ได้หันกลับมาว่า “เจ้าเข้ามากับเปิ่นหวาง”
หลินชิงเวยยืนอยู่ด้านนอกลานเรือน จึงกล่าวย้ำว่า “สองคนที่ยืนอยู่ข้างประตูนั่น ท่านอ๋องกำลังเรียกพวกเจ้าเข้าไป”
ขันทีทั้งสองไม่ขยับแม้แต่น้อย
เซียวเยี่ยนหันกลับมาอย่างเย็นชา ร่างกายสูงใหญ่ของเขายืนอยู่กึ่งกลางประตูห้องทรงพระอักษร ดูมีบารมีน่าเกรงขามกว่าเทพเจ้าที่ประจำอยู่ที่บานประตูเสียอีก กระทั่งสายตาที่จ้องมองหลินชิงเวยตรงๆ “เปิ่นหวางเรียกเจ้า”
หลินชิงเวยลูบจมูกของตน ดูเหมือนนางยังไม่ถึงขั้นต้องทำตามทุกอย่างที่ชายคนนี้สั่งกระมัง แต่ในเมื่อมาก็มาแล้วเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน
ห้องทรงพระอักษรนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปก็ได้
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงเดินลากขาเข้าไปอย่างเชื่องช้า นางเดินขึ้นบันไดจากนั้นเซียวเยี่ยนจึงผินกายให้นางเดินผ่านเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
เมื่อเข้าไปแล้วทันทีทีนางหันมอง สิ่งของในห้องแทบจะทำให้นางตาพร่าไปเลยทีเดียว
ภายในห้องทรงพระอักษรกว้างขวางยิ่งยวด สีสันที่ตกแต่งภายในห้องนั้นให้ความรู้สึกหนักแน่น สง่างามด้วยโทนสีทองเป็นหลัก ดูไปแล้วช่างหรูหราเสียจนบีบให้คนรู้สึกต่ำต้อยยิ่งนัก กลางห้องทรงพระอักษรมีโต๊ะหนังสือและตู้หนังสืออันทรงพลังอำนาจและเปี่ยมบารมีอยู่ชุดหนึ่ง บนชั้นหนังสือมีหนังสือเล็กน้อยวางอยู่กระจัดกระจายไม่เต็มชั้น บนโต๊ะมีกองฎีกาที่ทำด้วยผ้าไหมสีเหลืองทองกองอยู่ มุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือมีเครื่องเขียนทั้งชุดคือ พู่กัน หมึก ถาดหมึกที่ทำมาจากเนื้อหยก รวมไปถึงกล่องผ้าแพรสีทองกล่องหนึ่ง
หลินชิงเวยมืออยู่ไม่สุขเปิดกล่องผ้าแพรนั้นออกดู เป็นของดีโดยแท้ ข้างในเป็นตราประทับหยกที่มีลวดลายมังกรพันเกี่ยวชิ้นหนึ่ง นี่น่าจะเป็นตราประทับหยก พระราชลัญจกรของแผ่นดินกระมัง นางเพิ่งจะยื่นมือออกไปลูบๆ คลำๆ ตราประทับหยกชิ้นนั้น ให้ความรู้สึกเย็นลื่นมือ เนื้อหยกนั้นทั้งงดงามและโปร่งแสง ช่างเป็นหยกคุณภาพชั้นดีที่หาได้ยาก
ไม่รอให้นางหยิบตราประทับหยกชิ้นนั้นขึ้นมา เซียวเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันกล่าวเสียงหนักว่า “เจ้าลองลูบดูอีกครั้ง ไม่กลัวว่าจะถูกตัดมือหรือไร?”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยน “ข้าจับไม่ได้หรือไร? เช่นนั้นข้าจะลูบอีกครั้ง” จากนั้นนางจึงลูบตราประทับหยกชิ้นนั้นต่อหน้าเซียวเยี่ยนอีกครั้งด้วยกริยาท้าทายอย่างที่สุด
เซียวเยี่ยนถูกนางกวนโทสะเสียจนจะแทบจะเป็นอัมพาต
ต่อมาขณะที่เซียวเยี่ยนกำลังสะสางฎีกาบนโต๊ะหนังสือ หลินชิงเวยจึงลูบๆ คลำๆ สิ่งของในห้องทรงพระอักษรทุกชิ้นไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ สิ่งของที่อยู่ในห้องนี้ล้วนเป็นสิ่งของล้ำค่าทั้งสิ้น นำมาประดับตกแต่งห้องทรงพระอักษร ทำให้ห้องทรงพระอักษรดูไปแล้วมีลักษณะคล้ายกับพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง คิดดูแล้วต้องมีคนมาเช็ดถูที่นี่ทุกวัน ปลายนิ้วของนางที่ลูบไล้สิ่งของเหล่านี้ไม่มีแม้ฝุ่นละอองสักกระผีก
รอกระทั่งเซียวเยี่ยนสะสางงานเรียบร้อย หลินชิงเวยเองก็เดินกลับมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา มองฎีกาสองกองตรงหน้า “ฎีกาเหล่านี้ล้วนต้องส่งไปให้ฝ่าบาทอ่านและอนุมัติใช่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนกล่าวโดยมิได้หันมามองนาง “หยิบออกมาให้หมด”
“อะไรนะ?”
“นำสิ่งของที่เจ้าหยิบติดไม้ติดมือไปออกมาให้หมด”
หลินชิงเวยแบมือออก “ข้าไม่ได้หยิบอะไรทั้งสิ้น มีปัญญาท่านก็มาค้นเอง”
เซียวเยี่ยนหันกายกลับมาเผชิญหน้ากับนาง มองท่าทางที่ประเมินว่าเซียวเยี่ยนไม่กล้าค้นตัวนาง เขาหลุบตาลงต่ำมองนาง “เจ้าจะให้เปิ่นหวางค้นจริงๆ หรือ?”
ด้วยความเข้าใจต่อบุรุษที่หลินชิงเวยพอจะมีอยู่ เขาไม่ยินยอมแม้กระทั่งจะแตะต้องเนื้อตัวนาง มีหรือจะกล้าค้นตัวนาง? เขาทำได้เพียงพูดจาข่มขู่ผู้คนเท่านั้น แต่นางไม่หลงกลหรอกนะ
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงเดินเข้าไปหาเขาอย่างวางใจ กำลังคิดจะเอ่ยว่า “มาค้นเลย พี่สาวยืนให้เจ้าค้น” ปรากฏว่าถูกเซียวเยี่ยนจี้สกัดจุด
หลินชิงเวยแข็งค้างไปทั้งร่าง “ท่านจะค้นก็ค้นไป จี้สกัดจุดข้าทำไมเล่า?”
เซียวเยี่ยนหยิบกระถางธูปทองคำแท้ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากช่องแขนเสื้อของนางชิ้นหนึ่ง
“ชายหญิงมิใช่ญาติใกล้ชิดกัน เวลานี้เสด็จอากลับไม่ถือธรรมเนียมเหล่านี้เสียแล้ว” หลินชิงเวยกระแอมกระไอจงใจพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน เขาได้ถูกล้ำเส้นมาหลายต่อหลายครั้ง เซียวเยี่ยนสัมผัสมากับตัวแล้วว่ากับสตรีนางนี้จะทำอะไรโดยยึดถือกฎเกณฑ์ไม่ได้
เซียวเยี่ยนหยิบอังคุฐธำมรงค์[1]หยกสีเขียวใสนั้นออกจากแขนเสื้อของนางอีกชิ้นหนึ่ง
หลินชิงเวยรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนหวานว่า “เสด็จอา ผู้อื่นเป็นสนมของฮ่องเต้ ท่านรังแกข้าเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”
“เปิ่นหวางรังแกเจ้า?” เซียวเยี่ยนเลิกคิ้ว จากนั้นกลับพยักหน้า “หากนำสิ่งของที่เจ้าหยิบเอาไปตามอำเภอใจกลับมาได้ เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางรังแกเจ้าก็ช่างเถิด”
หลินชิงเวย “…” นางก้มหน้าลง มองปลายนิ้วของเซียวเยี่ยนที่กำลังจะยื่นเข้ามาที่หน้าอกของนาง ปลายนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดนั้นเสมือนรูปร่างสูงใหญ่ของเขา ดูไปแล้วทั้งเรียวยาวและงดงาม ข้อกระดูกชัดเจน ปลายเล็บกลมมนมีระเบียบ เล็บสีชมพูแสดงถึงสุขภาพแข็งแรงนั้นถูกตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน “ชิงหลัน กัดเขาซะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงกล่าว งูชิงหลันพุ่งออกมาจากเสื้อผ้าของหลินชิงเวย ขณะที่มันอ้าปากจะกัดลงไปบนปลายนิ้วของเซียวเยี่ยน การจู่โจมของงูนั้นรวดเร็วยิ่ง งูพันรัดร่างของมันไปบนมือของเซียวเยี่ยน แล้วกัดลงไปเต็มๆ
เจ็บ เจ็บจนชา
ปลายนิ้วของเซียวเยี่ยนปรากฎให้เห็นร่องรอยบาดแผลที่ถูกงูกัด มีโลหิตสดๆ สองหยดซึมออกมาจากรอยเขี้ยวงู จากนั้นนาทีถัดมา ปลายนิ้วของเขาตวัดกลับ หลิงชิงเวยถึงกับตาพร่าด้วยมองไม่ทันว่าเขาทำได้อย่างไร เขาจับชิงหลันเอาไว้อย่างง่ายดายอีกทั้งควบคุมชิงหลันไว้บนพื้นโดยกดบนลำตัวของมัน
[1] หรือ แหวนป่านจื่อ หมายถึง แหวนขนาดใหญ่ ใช้สวมที่นิ้วหัวแม่มือของบุรุษชนชั้นสูง