ราวกับเซียวเยี่ยนรู้ดีว่าหากเขาประสานสายตากับนางนานกว่านี้ก็จะถูกยั่วยวน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตวัดสายตามองนางครั้งหนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางอื่น “เปิ่นหวางไม่รู้สึกอะไรกับเจ้า”
“ไม่รู้สึกอะไร?” หลินชิงเวยเข้าใกล้ร่างของเขาอีกสองส่วน มือเรียวเล็กของนางปัดอาภรณ์ของเขาและพูดขึ้นด้วยจริตมารยาว่า “ไม่รู้สึกอะไรแล้วท่านยังมาที่นี่อีก”
“หลินเจาอี๋ โปรดให้เกียรติตนเอง” เซียวเยี่ยนเริ่มจะโกรธขึ้ง
หลินชิงเวยกลับหัวเราะออกมา “เสด็จอา ท่านแบ่งแยกให้ชัดเจนก่อนเถิด นี่เป็นห้องนอนของข้า ผู้ที่ลอบเข้ามาในห้องนอนของหลินเจาอี๋ในยามวิกาลคือท่าน เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านกลับบอกให้ข้าให้เกียรติตนเอง? คำถามเมื่อสักครู่นั้น เสด็จอายังไม่ได้ตอบข้า”
“คำถามไร้ยางอายเช่นนั้นเปิ่นหวางปฏิเสธที่จะตอบ หากเจ้ายังไม่รู้ขอบเขตเช่นนี้ ก็รอให้ถูกส่งตัวเข้าไปในตำหนักเย็นครั้งที่สอง”
หลินชิงเวยกลับมานั่งริมเตียงของตน หยิบยกชิ้นนั้นของเซียวเยี่ยนออกมาจากใต้หมอน แกว่งมันไปมาต่อหน้าเซียวเยี่ยน “ท่านมาเพื่อนำหยกชิ้นนี้ของท่านคืนจริงๆ หรือ หรือใช้เรื่องหยกเป็นข้ออ้างเพราะคิดถึงข้า?”
เซียวเยี่ยนกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ามิใช่ต้องการเงินหรือไร” เขาพูดแล้วก็หยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “เงินหนึ่งหมื่นตำลึงอยู่ที่นี่ แลกกับหยกชิ้นนั้นในมือของเจ้า”
หนึ่งหมื่นตำลึง นี่เราจะรวยแล้ว เงินเดือนในแต่ละเดือนของนางมีเพียงหนึ่งร้อยตำลึง ท่านอ๋องผู้นี้ไฉนจึงมีเงินมากมายเช่นนี้!
แต่ต่อให้เซียวเยี่ยนให้นางหนึ่งหมื่นตำลึงทองในเวลานี้ นางก็ไม่แลก!
หลินชิงเวยหรี่ตาลงแล้วกล่าวว่า “ยิ่งท่านเป็นเช่นนี้ ยิ่งชัดเจนขึ้นอีกว่าหยกในมือของข้าชิ้นนี้มีความสำคัญยิ่ง ท่านคิดว่าข้าจะแลกเปลี่ยนกับท่านหรือไม่?”
“ในเมื่อพูดด้วยดีๆ ไม่ยอมทำตาม เช่นนั้นก็คงต้องบังคับ” เซียวเยี่ยนพูดแล้วก็ลงมือยื้อแย่งทันที หากจะยื้อแย่งกันจริงๆ หลินชิงเวยย่อมสู้เขาไม่ได้ เขาเพียงแต่ลองเจรจากันด้วยเหตุผลก่อน หากล้มเหลวจึงจะใช้กำลังเท่านั้นเอง
ไหนจะคาดคิดว่าหลินชิงเวยราวกับเป็นทองไม่รู้ร้อน ยกมือขึ้นหยิบหยกชิ้นนั้นใส่เข้าไปในอาภรณ์ของตน นางนำหยกชิ้นนั้นใส่ไว้บริเวณหน้าอก
เซียวเยี่ยนทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
หลินชิงเวยเชิดคางเอ่ยอย่างท้าทาย “บุรุษตัวเหม็นที่กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะกล้าเข้ามาค้น!”
เซียวเยี่ยน “…”
ไส้ตะเกียงที่อยู่ในตะเกียงผ้าโปร่ง ส่งเสียงแตกดังเพียะพะขึ้นครั้งหนึ่ง แสงจากตะเกียงพลันสว่างขึ้นภายในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ สุดท้ายเซียวเยี่ยนได้แต่ร้องฮึเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
หลังจากนั้นหลินชิงเวยไม่เห็นเซียวเยี่ยนปรากฎกายขึ้นอีกหลายวันติดกัน หลินชิงเวยไม่พบเขาที่ตำหนักซวี่หยางเช่นกัน พิษในร่างกายของเซียวจิ่นถูกขับออกเกือบหมดแล้ว และยาสมุนไพรที่เพิ่งเพาะปลูกในลานเรือนก็เติบโตไปพอสมควรแล้วเช่นกัน
ซินหรูได้ยินว่าหลินชิงเวยจะพานางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยจึงทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี นางตื่นเต้นเสียจนนอนหลับ ส่งผลให้ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อหลินชิงเวยเดินออกมาจากห้องพบซินหรูพุ่งกายเข้ามาหา แม้กระทั่งอาหวงที่อยู่ข้างกายนางก็ให้อาหารเรียบร้อยแล้ว ซินหรูกระโดดโลดเต้นถามว่า “พี่สาว เมื่อไปถึงตำหนักของฝ่าบาท ข้าจะช่วยท่านทำอะไรได้บ้างเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยหันหน้าไปมองสมุนไพรเหล่านั้นในสวนสมุนไพร “มีตะกร้าผูกหลังหรือไม่ ไปหยิบมาใบหนึ่ง พวกเราตัดสมุนไพรพวกนี้ลงมาก่อนเถิด”
ซินหรูไปหยิบตะกร้าผูกหลังมาใบหนึ่งอย่างว่องไว หลินชิงเวยเดินเข้าไปในสวนสมุนไพรแล้ว ใช้เคียวตัดหญ้าสมุนไพรเหล่านั้น ภายในวังหลวงไม่ค่อยพบเคียวประเภทนี้ เป็นปี้หลิงที่ไปตามหาจากทั่วทุกหนแห่งอย่างมิง่ายดายนักจึงหาออกมาได้เล่มหนึ่ง
มาถึงตำหนักซวี่หยาง หลังจากซินหรูได้พบเซียวจิ่น นางนำหญ้าสมุนไพรที่อยู่ในตะกร้าผูกหลังไปต้มเพื่อให้เซียวจิ่นอาบน้ำสมุนไพร อาจเป็นเพราะเซียวจิ่นอายุมากกว่านางไม่กี่ปี ซินหรูจึงรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง นางทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ
รอซินหรูกลับเข้ามาหลังจากแบ่งงานในการต้มน้ำสมุนไพรให้กับนางกำนัลแล้วหลินชิงเวยกำลังขับพิษครั้งสุดท้ายให้กับเซี่ยวจิ่นภายในตำหนักบรรทม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนับได้ว่าซินหรูได้เริ่มงานในฐานะเด็กถือล่วมยาข้างกายหลินชิงเวยอย่างเป็นทางการ
เซียวจิ่นกระอักกระอ่วนใจอย่างที่สุด หลินชิงเวยมองร่างกายของเขานั้นเขาไม่ถือสา แต่บัดนี้ยังพาคนมาดูเพิ่มอีกหนึ่งคน เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “ชิงเวย เจิ้นไม่เคยชิน เจ้าอยู่ฝังเข็มให้เจิ้นเพียงลำพังเถิด”
หลินชิงเวยกล่าว “ซินหรูเป็นเด็กถือล่วมยาของหม่อมฉัน ต่อไปขอเพียงหม่อมฉันมาถวายการรักษาแก่ฝ่าบาท นางก็จะอยู่ด้วยเสมอเพคะ” ดูเหมือนนางจะไม่เหลือช่องว่างให้เซียวจิ่นปฏิเสธ
ส่วนซินหรูนั้นนางผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายวัน แม้จะไม่แตกฉานในวิชาการแพทย์ แต่ถือได้ว่านางได้ก้าวเข้าสู่อาชีพนี้แล้ว การอยู่ช่วยเป็นลูกมือของหลินชิงเวยไม่ใช่สำหรับนางปัญหาแม้แต่น้อย
ทันทีที่หลินชิงเวยยกมือขึ้น ซินหรูจะพิจารณาตำแหน่งชีพจรบนร่างกายของเซียวจิ่นพร้อมหยิบเข็มเงินที่มีความเหมาะสมกับชีพจรนั้นๆ ขึ้นมาฆ่าเชื้อกับเปลวไฟแล้วจึงวางลงบนมือของหลินชิงเวย หลินชิงเวยไม่ต้องหยิบเข็มเงินและฆ่าเชื้อด้วยตนเอง เวลาที่ใช้จึงสั้นกว่ายามปกติถึงครึ่งหนึ่ง
เซียวจิ่นไม่ได้พูดจาอันใดกับหลินชิงเวยนัก ทันที่ที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็เอียงศีรษะอาเจียนโลหิตออกมาคำหนึ่ง
แต่การอาเจียนครั้งนี้เมื่อเทียบกับครั้งแรก สีของโลหิตเป็นสีแดงสดไม่ใช่แดงคล้ำ
ขณะที่หลินชิงเวยดึงเข็มเงินกลับมานางกล่าวขึ้นว่า “ซินหรู เจ้าทำได้ดียิ่งนัก หยิบผ้าขนหนูร้อนๆ มา” ซินหรูใช้ผ้าขนหนูร้อนๆ นั้นนวดคลึงให้กับจุดชีพจรที่หลินชิงเวยดึงเข็มเงินกลับมา
กระแสเลือดจึงไหลเวียนอย่างดียิ่ง อีกทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่น เซียวจิ่นคิดว่าเขารู้สึกว่าเขาสบายเนื้อสบายตัวกว่าครั้งก่อนๆ
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่หลินชิงเวยดึงเข็มเงินกลับคืนไปมักจะทิ้งรอยเขียวช้ำจางๆ ของรอยฝังเข็มไว้ตามจุดชีพจรของเขา บัดนี้ทั้งหมดได้ถูกซินหรูนวดคลึงด้วยผ้าขนหนูร้อนๆ จึงมองร่องรอยแทบไม่ออก
เซียวจิ่นมองดูท่าทีทำงานจริงจังของคนตัวเล็กคนหนึ่งและคนตัวใหญ่คนหนึ่ง จึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ก่อนหน้านี้ไฉนเจ้าจึงไม่เคยนวดคลึงให้เจิ้นด้วยผ้าขนหนูร้อนๆ เลยเล่า?”
หลินชิงเวยกล่าว “หม่อมฉันคนเดียวมีมือเพียงสองมือไม่อาจทำได้เพคะ ดังนั้นขั้นตอนในส่วนนี้จึงได้แต่ตัดไป ฝ่าบาททรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวหรือไม่เพคะ”
“อืม” เซียวจิ่นยอมรับอย่างใจกว้าง
หลินชิงเวยมองซินหรูแล้วกล่าวให้กำลังใจนาง “ทำได้เยี่ยมมาก”
ซินหรูกระตือรือร้นยิ่ง
หลินชิงเวยลุกขึ้นนวดไหล่ของตน “อีกประเดี๋ยวหลังจากนวดคลึงแล้ว เจ้าช่วยเขานวดจุดชีพจรใหญ่สักครู่”
“เจ้าค่ะ”
เซียวจิ่น “…ไม่ใช่เจ้ามาทำด้วยตนเองหรือไร?”
หลินชิงเวยเมื่อยล้าทั้งมือและหลัง ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงนวดให้เซียวจิ่น ก่อนหน้านี้ขั้นตอนในส่วนนี้นางตัดออกไปเช่นกัน ซินหรูมีความกระตือรือร้นและใฝ่เรียนใฝ่รู้ นางเองได้สอนซินหรูอย่างละเอียด การมอบหน้าที่นี้ให้กับซินหรูเป็นเรื่องที่เหมาะสมไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นหลินชิงเวยจึงเดินออกประตูไป ซินหรูกำลังบริหารปลายนิ้วทั้งสิบเพื่อเตรียมความพร้อม นางกล่าวกับเซียวจิ่นว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงเอนกายนอนให้ดีนะเพคะ”
เห็นท่าทางเคารพนบนอบอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนของซินหรูแล้ว เซียวจิ่นพลันรู้สึกว่าไม่เหมาะสมยิ่งขึ้นไปอีก เรื่องวิชาแพทย์และยาสมุนไพรนั้น เขามีความรู้สึกเชื่อมั่นต่อคนที่มีอุปนิสัยออกไปทางเผด็จการเช่นหลินชิงเวยมากกว่า แต่ในเมื่อซินหรูเป็นเด็กถือล่วมยาของหลินชิงเวย…เขาจึงได้แต่ฝืนใจพลิกตัวจากนอนหงายลงไปนอนคว่ำบนเตียงอย่างไม่ง่ายดายนัก
นาทีถัดมาปลายนิ้วทั้งสิบของซินหรูเริ่มบีบนวด นางบีบนวดลงไปตามจุดชีพจรของเซียวจิ่น แต่ไรมาเขาไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเสียวและจั๊กจี้เช่นนี้มาก่อน จึงอาเจียนโลหิตออกมาอีกคำหนึ่ง
เซียวจิ่นเกร็งกล้ามเนื้อแผ่นหลังจนตึงไปทั้งร่าง ซินหรูกดลงบนชีพจรของเขาอีกครั้ง ความรู้สึกเสียวและชานั้นลามไปทั่วร่างกายในชั่วพริบตา ไม่รู้เช่นกันว่านั่นหรือความปลอดโปร่งโล่งสบายกายหรือความเจ็บปวด เขาจึงทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างมิอาจควบคุมตัวได้ จึงได้ยินซินหรูเอ่ยขึ้นว่า “ผ่อนคลายเพคะ ฝ่าบาทเกร็งร่างกายเช่นนี้หม่อมฉันนวดไม่ได้เพคะ”
หลังจากความรู้สึกเสียวและชาผ่านไป เซียวจิ่นรู้สึกเบาสบายไปทั้งร่าง
หลังจากนวดกดจุดชีพจรบริเวณแผ่นหลังไปพอสมควรแล้ว มือเล็กๆ ของซินหรูจึงประกบกันเป็นเช่นใบมีด สับลงบนแผ่นหลังตลอดจากบนลงล่าง เซียวจิ่นจึงเกร็งกล้ามเนื้อบนร่างกายขึ้นมาอีกครั้ง ซินหรูจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทมักจะนั่งเป็นเวลานานแน่นอน บริเวณนี้จึงไม่ได้รับการผ่อนคลายมาก่อน เบื้องล่างเลือดลมติดขัด ทำให้โลหิตไหลเวียนไม่ดี ดังนั้นจึงรู้สึกเจ็บปวด ฝ่าบาทอดทนสักหน่อยนะเพคะ”