เซียวจิ่นเก็บงำท่าทีอบอุ่นอ่อนโยนซึ่งมีอยู่เสมอเมื่ออยู่ในตำหนักซวี่หยาง เวลานี้บนร่างของเด็กน้อยกลับปรากฏความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ออกมาสองส่วน “คงมิใช่แม้แต่ขันทีน้อยของเจิ้นก็เข้าตาเสด็จอาสาม?”
สาม…เสด็จอา?
หลินชิงเวยรู้สึกสับสนยุ่งเหยิง ได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ
ชายหนุ่มคนนั้นเพียงแต่หัวเราะและปล่อยผ่านไป ดูท่าแล้วไม่ได้เก็บคำพูดของเซียวจิ่นไปคิดอันใด “เซ่อเจิ้งอ๋องไม่ยินดีต้อนรับเสด็จฝ่าบาทมาที่นี่ ทว่ากระหม่อมยินดีต้อนรับพ่ะยะค่ะ เชิญฝ่าบาทประทับนั่งพ่ะยะค่ะ”
ในเมื่อมาแล้วไหนเลยจะมีเหตุผลที่จะล่าถอยกลับไป ต่อให้สีหน้าของเซียวเยี่ยนบึ้งตึงยิ่งกว่านี้ หลินชิงเวยยังคงได้แต่เข็นเก้าอี้รถเข็นของเซียวจิ่นผ่านร่างของเขาและเดินตามการเชื้อเชิญของชายหนุ่มคนนั้นไปนั่งลงยังตำแหน่งที่เซียวเยี่ยนนั่งอยู่ก่อน ที่นั่งของเซียวเยี่ยนจึงเลื่อนมาด้านข้าง หลินชิงเวยยืนอยู่ข้างหลังเซียวจิ่น ผู้ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือคือเซียวเยี่ยน ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ด้านขวามือคือบุรุษคนนั้น
เมื่อเทพองค์ใหญ่ทั้งสามองค์นั่งลงในตำแหน่งของตน บรรยากาศในยามนั้นเต็มไปด้วยพลังและบารมีอำนาจ ขุนนางอื่นๆ ได้แต่ชิดขอบอยู่ด้านข้าง
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยกระทั่งถึงเวลายามอู่สามเค่อ ทั้งลานประหารพลันบังเกิดบรรยากาศกดดันที่ไม่อาจบรรยายได้ ชีวิตคนเป็นๆ มากมายอยู่บนลานประหาร ในที่สุดราวกับความอดทนอดกลั้นและความหวาดกลัวต่อความตายของพวกเขาได้สิ้นสุดลง บรรดาสตรีต่างพากันส่งเสียงร่ำไห้เสียงดัง
เหล่าขุนนางที่ต้องการประจบประแจงด้วยเกรงจะเป็นการรบกวนฮ่องเต้ จึงตบโต๊ะและตวาดลั่น “เงียบ!”
แต่ใครบ้างเล่าที่จะไม่หวาดกลัวต่อความตาย? หลินชิงเวยลำพังแค่ยืนมองมือเพชฌฆาตที่แบกดาบเล่มใหญ่ไว้บนหลัง ท่ามกลางแสงแดดยามเที่ยงวันที่ส่องให้คมดาบนั้นวาววับส่งให้บาดตาอยู่หลายส่วน นางพลันรู้สึกต้นคอของตนเย็นวาบเป็นพักๆ
ในที่สุด ขุนนางที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นกราบทูลว่า “ทูลฝ่าบาท เซ่อเจิ้งอ๋อง เซี่ยนอ๋อง ถึงเวลายามอู่สามเค่อแล้วพ่ะยะค่ะ ประหารได้แล้วพ่ะยะค่ะ”
ชั่วขณะ บนลานประหารเกิดเสียงวุ่นวายขึ้น เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบขวดร้องไห้จ้าเรียกหาบิดามารดา น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังต่อโลกใบนี้
การลงโทษอันโหดร้ายทารุณในยุคสมัยโบราณ เห็นแล้วหัวใจและลำคอ ดวงตาของหลินชิงเวยพลันรู้สึกเย็นเยียบ
เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงแยกแยะอารมณ์ไม่ออก “ถามคำสั่งเสียของเขา”
ขุนนางถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ “นักโทษ กู้เทียนหลิน เจ้ายังมีอะไรจะพูดหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีที่ก้มหน้ามาโดยตลอดค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้านั้นจะอยู่ในสภาพสกปรกและน่าอเนจอนาถอย่างยิ่ง หลินชิงเวยแทบจะมองใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน ทว่าแววตาของเขากลับทำให้หลินชิงเวยรู้สึกตื่นตระหนก
นั่นมิใช่แววตาของผู้ที่หวาดกลัวต่อความตาย
แต่เป็นความรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ชนิดหนึ่ง ความรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ต่อทุกคนในลานประหาร
เขาเอ่ยออกมาทีละคำด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กระหม่อม ถูกปรักปรำพ่ะยะค่ะ” หลินชิงเวยคิ้วกระตุก พลันรู้สึกว่าแสงแดดในยามนี้แสบร้อนยิ่งนัก “กระหม่อมยินดีตายเพียงคนเดียว แต่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคนในครอบครัว กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ละเว้นโทษตายให้กับลูกหลานของกระหม่อมด้วยพ่ะยะค่ะ”
ยามนั้นทั่วทั้งลานประหารมีเพียงความเงียบงัน หลินชิงเวยมองมือที่เซียวจิ่นประคองเอาไว้ หลังมือของเขาเกร็ง เส้นเลือดสีเขียวกำลังเต้นริกนั้นเปิดโปงว่าเขากำลังข่มกลั้น
ในใจของหลินชิงเวยเต้นโครมคราม นางเห็นไม่ชัดเจนนัก นางไม่แน่ใจ แต่เมื่อนางได้ยินกู้เทียนหลินกล่าวว่าเขาถูกปรักปรำ นางกลับรู้สึกได้ว่าเขาพูดความจริง
มีเพียงการเข้าใกล้เขาเพื่อดูสีหน้าท่าทางบนใบหน้าของเขา จึงจะตัดสินใจได้อย่างแน่ใจว่าเขากำลังพูดเท็จหรือกำลังพูดความจริง
ชีวิตคนมากมายเช่นนี้ เพียงตวัดคมดาบลงมาเพียงครั้งเดียวย่อมไม่เหลืออะไร
เวลานี้เซี่ยนอ๋องผู้นั่งอยู่ทางด้านขวาของเซียวจิ่นกลับหันหน้ามา เขามองสีหน้าของหลินชิงเวย แต่กลับอ่านไม่ออกถึงความหมายบนสีหน้าของนางและคิดว่านางหวาดกลัวจึงเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อว่า “ขันทีน้อยคนนี้อาจจะไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้กระมัง อีกประเดี๋ยวหากเจ้าหวาดกลัวละก็ จดจำไว้ว่าต้องหลับตาลง”
หลินชิงเวยไม่ได้แยแสเขาแม้แต่น้อย เพียงกล่าวว่า “ฝ่าบาท เซ่อเจิ้งอ๋อง ให้หม่อมฉันขึ้นไปดูบนลานประหารสักครู่จะได้หรือไม่เพคะ มีความเป็นได้ว่า…”
เซียวเยี่ยนขัดจังหวะคำพูดของนาง น้ำเสียงนั้นราวกับสิ้นสุดความอดทน “มีความเป็นได้ว่าอะไร?”
เวลานี้นางเป็นขันทีน้อยคนหนึ่ง มีคุณสมบัติอันใดที่จะขึ้นไปดูบนลานประหาร? นางยังคิดว่าตนเองก่อเรื่องไม่มากพอหรือไร จำต้องออกมาปรากฏกายต่อหน้าสายตาของทุกคนเพื่อให้ผู้อื่นจดจำนางได้ใช่หรือไม่?
ไม่รอให้หลินชิงเวยเอ่ยอะไรอีก เซียวเยี่ยนหยิบป้ายคำสั่งบนโต๊ะ สะบัดแขนเสื้อโยนป้ายคำสั่งนั้นลงบนพื้นอย่างเย็นชา ขุนนางผู้ตัดสินขานขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ประหาร–”
มือเพชฌฆาตหยิบป้ายนักโทษที่อยู่บนหลังของนักโทษทุกคนโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือของตนครั้งหนึ่งแล้วถูมือไปมาด้วยใบหน้าอันดุดัน พวกเขามองข้ามการวิงวอนขอความเมตตาด้วยเสียงร่ำไห้ของนักโทษ สิ่งเหล่านี้สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา พวกเขาเงื้อดาบขึ้นสูง แสงแดดในยามเที่ยงตรงสาดส่องลงบนคมดาบ ราวกับกำลังให้พลังอันชอบธรรมแก่พวกเขา จากนั้นคมดาบตวัดลงมาหนักๆ…
“ช้าก่อน…”
ขวั่บ ขวั่บ
เสียงนั้นราวกับการเล่นมายากลอย่างไรอย่างนั้น ดวงวิญญาณของแต่ละคน ไม่มีใครได้เสียงร้องตะโกนของหลินชิงเวย เสียงของนางไร้ซึ่งน้ำหนักใดๆ
ดังนั้นโลหิตที่ไหลนองลงบนลานประหารกลายเป็นแม่น้ำ ดวงตาทั้งคู่ของหลินชิงเวยเบิกโต นางมีดวงวิญญาณของผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ชีวิตคนหนึ่งได้พบเห็นเรื่องราวๆ ต่างบนโลกนี้มาจนเคยชิน แต่ไม่เคยได้พบเห็นสถานการณ์น่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อนเด็ดขาด
นางถูกทำให้ตื่นตระหนกตกใจ ตกใจจนพูดไม่ออก
ศีรษะของคนแต่ละคน ถูกย้ายออกมาจากลำคอ โลหิตสดๆ ฉีดพ่นไหลย้อยลงมาบนพื้น มีดวงตาบางคู่ยังไม่ทันได้ปิดลง ตายตาไม่หลับ
ชีวิตคนร้อยกว่าคน ดาบที่เงื้อขึ้นและตวัดลงมา ศีรษะของพวกเขาถูกโยกย้าย ร่างกายนั้นล้มลงมาข้างหน้า ศพนอนขวางบนลานประหาร
ดูเหมือนทุกคนที่อยู่ในลานประหารต่างถูกภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้ตื่นตะหนก แม้กระทั่งเซี่ยนอ๋องก็หัวเราะไม่ออกอีก
ในใจของหลินชิงเวยเกิดความรู้สึกหลากหลายประดังประเดถาโถมเข้าใส่ แต่กลับหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ นี่เป็นการลงทัณฑ์อันโหดร้ายทารุณในยุคสมัยโบราณ และนางในเวลานี้อยู่ในยุคสมัยนี้ ชีวิตเสมือนต้นหญ้า เพียงนางล่วงเกินอำนาจของราชวงศ์ มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับพวกเขา
ต่อให้นางต่อต้านมากกว่านี้ ย่อมเป็นเช่นแขนที่ไม่อาจต้านทานต้นขาได้ นอกเสียจากว่านางจะเป็นราชวงศ์ด้วยเช่นกัน
ต่อมาหลินชิงเวยไม่รู้ว่าพวกเขาเก็บกวาดลานประหารอย่างไร นางตกอยู่ในสภาวะมึนงง เมื่อนางได้สติขึ้นมาอีกครั้ง นางและเซียวจิ่นต่างเดินอยู่ระหว่างทางกลับตำหนักซวี่หยาง มีเซียวเยี่ยนเดินมาพร้อมกันด้วย ระหว่างทางล้วนไม่มีการเอ่ยวาจาแม้สักประโยค
หลินชิงเวยเพิ่งจะได้สติและรับรู้ว่าไม่ควรมา ไม่ว่าเซียวจิ่นจะมีบัญชาอย่างไรต่อนาง นางล้วนไม่ควรมา เป็นเพราะเซียวเยี่ยนกังวลว่าเซียวจิ่นจะต้องมาเห็นภาพเช่นนี้ เขากำลังปกป้องเซียวจิ่น นาทีก่อนหน้านี้หลินชิงเวยรู้สึกว่าการปกป้องเซียวจิ่นของเขานั้นออกจะเกินเลยไปบ้าง ทว่าเวลานี้ดูแล้วไม่เกินเลยไปแม้สักกระผีก
ภายในตำหนักซวี่หยางทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ดอกไม้ในฤดูวสันต์บานสะพรั่ง แสงแดดเจิดจ้า อากาศอบอุ่น
นางกำนัลต่างกำลังทำงานมือเป็นระวิง จนถึงบัดนี้เซียวจิ่นยังไม่ได้เสวยพระกระยาหารมื้อเที่ยง
สีหน้าเซียวจิ่นซีดขาวมาตลอดทาง มาถึงตำหนักซวี่หยางเขาทนไม่ไหวในที่สุด เอียงหน้าแล้วอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ภาพเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดติดอยู่ในสมองของเขา ไม่อาจลบทิ้งไปได้ ทุกครั้งที่เขาย้อนคิดถึงก็ทำให้เขารู้สึกตกอยู่ในสภาพเวียนศีรษะราวกับอยู่พลิกคว่ำอยู่กลางทะเล
เซียวจิ่นอาเจียนเสียสิ้นไส้สิ้นพุงโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แม้กระทั่งน้ำย่อยในกระเพาะก็อาเจียนออกมา เส้นเลือดสีเขียวข้างขมับนูนขึ้นด้วยความรู้สึกที่ยากจะรับไหว
ท้ายที่สุดแม้กระทั่งน้ำย่อยก็อาเจียนออกมาไม่ได้ ทว่าเขายังคงอาเจียนไม่หยุดอยู่นั่นเอง เซียวเยี่ยนรีบอุ้มเขากลับไปนอนลงในตำหนักบรรทม หลินชิงเวยฝังเข็มให้เขาช่วยให้เขาสงบลง
เซียวจิ่นพูดยิ้มๆ อย่างอ่อนแรง “เจิ้นไม่เป็นไร” หรือเขาไม่ควรไป เรื่องราวที่เขาซึ่งอยู่ในวัยนี้รับไม่ไหวยังมีอีกมาก เซียวเยี่ยนหันมามองหน้าหลินชิงเวย สายตานั้นเคียดแค้นชิงชังยิ่งนักที่ไม่อาจหักนางเป็นสองท่อนได้ เซียวจิ่นรีบกล่าวอีกว่า “เสด็จอา ท่านอย่าได้กล่าวโทษนาง เป็นเจิ้นที่ดื้อดึงจะไปให้ได้”