ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง – บทที่ 79 สกุลหลินจัดงานฉลองวันเกิด

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยหันกลับไปมองนางกำนัลแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าขึ้นรถม้าผิดคันหรือไม่?” ดีชั่วอย่างไรนางก็เป็นนางสนมของตำหนักในคนหนึ่ง นั่งรถม้าคันเดียวกับเซ่อเจิ้งอ๋องกลับไปเยือนครอบครัวฝ่ายมารดาจะถูกกฎเกณฑ์ได้อย่างไร?

ในมือของเซียวเยี่ยนมีหนังสือเล่มหนึ่ง อาภรณ์ที่สวมอยู่บนกายนั้นเป็นอาภรณ์ในชุดสุภาพที่สวมใส่ทั่วไป เขาเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “วันนี้แต่งกายธรรมดาออกตรวจการยังจวนมหาเสนาบดีหลิน ไม่ต้องคำนึงถึงกฎระเบียบมากนัก นั่งลงเถิด”

หลินชิงเวยไม่ได้แต่งกายอย่างประณีตเช่นกัน นางไม่ได้สวมอาภรณ์ตามศักดิ์ฐานะของเจาอี๋เหนียงเหนียง สวมเพียงกระโปรงสีสุภาพชิ้นหนึ่งเช่นกัน

หลินชิงเวยได้ยินเช่นนั้นจึงนั่งลงบนรถม้า เขาซึ่งเป็นถึงเซ่อเจิ้งอ๋องไม่เกรงกลัวต่อคำพูดของผู้คน แล้วนางจะต้องกลัวอะไร?

หลังจากหลินชิงเวยนั่งลงดีแล้ว เซียวเยี่ยนจึงให้คนบังคับรถม้าออกเดินทาง รถม้าคันนี้หันหลังให้ตำหนักซวี่หยางมุ่งหน้าออกไป

วังหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ นั่งรถม้าออกจากตำหนักซวี่หยางไปถึงด้านนอกของประตูวังหลวง เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงกว่า ประตูวังหลวงบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ดูคล้ายกับทางเข้าออกของกรงขังขนาดใหญ่ที่นั่นมีทหารเฝ้ารักษาการณ์อย่างเข้มงวดกวดขัน

หลินชิงเวยเลิกม่านมองออกไป เห็นรถม้าวิ่งไปข้างหน้าแต่กลับถูกทหารใช้ดาบมาขวางเอาไว้ คนบังคับม้าจึงแสดงป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่ง องครักษ์ผู้นั้นเห็นแล้วจึงถอยออกไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม จากนั้นให้รถม้าออกไปจากวังหลวงอย่างราบรื่น

ออกมาจากประตูวัง ด้านนอกเป็นถนนสายยาวและเปลี่ยวเส้นหนึ่ง ถนนเส้นนี้เชื่อมต่อกับตลาดอันคึกคัก บนถนนสายนี้มีองครักษ์มากมายกำลังเดินลาดตระเวน ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่

การเริ่มต้นของวันใหม่บนถนนหนทางเริ่มคึกคักและเสียงดัง ข้างถนนมีร้านค้าที่เปิดร้านบนริมทาง ล้วนเริ่มเปิดร้านเพื่อทำการค้า ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนหนทางเริ่มมีมากขึ้น

นานเช่นนี้แล้วหลินชิงเวยเพิ่งจะได้ออกจากวังมาเห็นภาพคึกคักเช่นนี้เป็นครั้งแรก นางอดไม่ได้ที่จะฟุบร่างกับขอบหน้าต่างเพื่อจะมองดูอีกหน่อย ข้างนอกสนุกกว่าในวังหลวงมากมายนัก ทั้งคึกคักทั้งติดดิน ไม่รู้ดีกว่าวังหลวงตั้งเท่าใด ดูท่าแล้วการตัดสินใจเลือกออกจากวังในวันหน้าเป็นเรื่องที่ฉลาดเฉลียวกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

หลินชิงเวยเคาะคางเล็กๆ ของตน เริ่มวางแผนชีวิตของตนภายหลังออกจากวัง ทำอะไรดี? เปิดร้านหมอเล็กๆ ร้านหนึ่งในตลาดก็ดีนะ

ขณะที่หลินชิงเวยคิดได้เช่นนี้ บนถนนพลันมีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้น ต่อมามีเสียงเร่งรีบของเกือกม้าที่กระทบกับพื้นถนน หลินชิงเวยมองดูแล้วพลันเห็นคนควบม้าตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบจากฝั่งตรงข้าม เห็นรถม้าแล้วก็ยังไม่มีความคิดที่จะหลบหลีก

ผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาบนถนนต่างหลบซ่อนตามสองข้างทางอย่างลนลาน คาดว่าคนบังคับรถม้าไม่เคยพบเห็นผู้ที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์การสัญจรบนถนนเช่นนี้ จึงดึงรั้งบังเหียนเพื่อบังคับให้รถม้าเลียบเข้าข้างทาง ส่งผลให้ม้าตัวนั้นควบผ่านรถม้าไปในระยะประชิดตัวรถ

หลินชิงเวยไม่รู้ว่าเสียงสาปแช่งด่าทอนั้นเป็นของคนบังคับม้าหรือคนควบม้า ยังไม่ทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาอย่างไร รถม้าพลันเอียงไปอีกทางหนึ่งอย่างกะทันหัน

หลินชิงเวยไม่ทันระวังตัว ร่างทั้งร่างจึงไถลลื่นมาอีกด้านหนึ่ง ความเงียบงันและความสมดุลภายในรถม้าถูกทำลายลงในชั่วพริบตา หลินชิงเวยควบคุมร่างกายของตนไม่ได้ ได้แต่เบิกตาโตมองตนเองไถลเข้าหาก้อนน้ำแข็งที่อยู่ตรงข้าม

เดิมทีเซียวเยี่ยนกำลังอ่านหนังสือ ครานี้ดียิ่งนัก หลินชิงเวยโผเข้ามาเต็มอ้อมกอดของเขา

คนทั้งสองดวงตาใหญ่ถลึงใส่ดวงตาเล็ก ดูเหมือนคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องสองคนแปรเปลี่ยนเป็นมีความเกี่ยวข้องเสียแล้ว ด้วยความรีบร้อนเพราะเกรงกว่าหลินชิงเวยจะหกล้ม เขาจึงยื่นมืออออกไปประคองเอวของนาง

คนบังคับม้าด้านนอกร้อง อวี้ ขึ้นครั้งหนึ่ง เวลานี้รถม้าจึงได้หยุดนิ่งลง เขารีบถามว่า “เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”

หนังสือในมือกระเด็นไปด้านข้าง ถูกสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างเปิดพลิกไปไม่รู้กี่หน้า

เซียวเยี่ยนถูกร่างของหลินชิงเวยกดทับจนร่างแนบติดไปกับหน้าต่างของรถม้า เส้นผมด้านหลังศีรษะของเขาที่ตรึงไว้ด้วยหยกประดับศีรษะนั้นแผ่กระจายออกมา เส้มผมดำขลับราวกับเส้นไหมนั้นทิ้งตัวลงมา ส่งผลให้ใบหน้าเย็นชาตลอดกาลของเขาเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน

มือข้างนั้นที่อยู่บนเอวของหลินชิงเวยราวกับติดอยู่ช่วงเอวของนางอย่างไรอย่างนั้น เนิ่นนานไม่ได้เคลื่อนย้ายไปที่อื่น เซียวเยี่ยนมองนางในระยะใกล้เช่นนี้ จากนั้นกล่าวกับคนบังคับม้าด้านนอกว่า “เปิ่นหวางไม่เป็นไร เดินทางต่อเถิด”

ต่อมารถม้าจึงค่อยๆ ออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไป

หลินชิงเวยได้สติกลับมา นางคลานขึ้นมาจากร่างของเซียวเยี่ยน จัดเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างของตน ระหว่างที่เงยหน้าขึ้นนางยังคงมีรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา นางเอ่ยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องคงไม่คิดว่าหม่อมฉันต้องการอิงแอบแนบชิดในอ้อมกอดกระมัง เมื่อสักครู่ท่านก็เห็นแล้ว เป็นรถม้าที่โคลงเคลง”

เซียวเยี่ยนค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วด้วยความเคยชิน ราวกับไม่ชอบใจที่หลินชิงเวยใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดจากับเขา เขายื่นมือออกไปปัดเส้นผมของตน หยิบเกี้ยวหยกครอบผมที่ตกอยู่บนอาภรณ์ขึ้นมา รวบตรึงเส้นผมของตนขึ้นมา กล่าวเนิบๆ ว่า “เปิ่นหวางไม่กล่าวโทษเจ้า”

จากนั้นคนทั้งสองไม่ได้พูดจากันอีก

ต่อมารถม้าได้หยุดลง คนบังคับม้าที่อยู่ด้านนอกกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋อง ถึงแล้วพะยะค่ะ”

รับรู้ได้ถึงเสียงหัวเราะ เสียงพูดจาด้านนอก ราวกับน่ายินดี และยังได้ยินคำอวยพรของคนบางคน หลินชิงเวยเห็นเซียวเยี่ยนไม่ขยับ นางจึงไม่เคลื่อนไหว “มาถึงแล้ว ท่านอ๋องคิดจะนั่งอยู่บนรถม้าตลอดหรือไร?”

เซียวเยี่ยนจึงเงยหน้าขึ้นมองนาง เขาคิดจะเอ่ยอะไรทว่าในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงกล่าวว่า “ออกไปเถิด”

ยามนี้ราวกับผู้คนที่อยู่ด้านนอกจะจดจำได้ว่าเจ้าของรถม้าคันนี้คือผู้ใด จึงมีคนเดินเข้ามาส่งเสียงอยู่ข้างรถม้า “กระหม่อมน้อมรับเสด็จเซ่อเจิ้งอ๋อง เป็นเกียรติแก่กระหม่อมยิ่งนักพะยะค่ะ”

เอ๊ะ ดูท่าแล้วคนที่กำลังพูดจานี้น่าจะเป็นมหาเสนาบดีหลินแน่แล้ว บิดาของหลินชิงเวย

หลินชิงเวยกลอกนัยนต์ตาไปมา และกล่าวว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันออกไปก่อนแล้วนะเพคะ”

ยามนี้ผู้ที่ยืนโน้มกายคำนับอยู่หน้ารถม้าเป็นมหาเสนาบดีหลินจริงๆ วันนี้เขาจัดงานฉลองวันเกิด อยู่ในอาภรณ์ผ้าแพรสีแดงเข้ม บนอาภรณ์ปักลวดลายตัวอักษรอายุยืน อายุสี่ห้าสิบปีดูแล้วสีหน้าเต็มไปด้วยเลือดฝาด กระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวายิ่ง

ด้วยเซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จมาเยือนจวนของเขาด้วยตนเอง ทำให้เขารู้สึกได้หน้าอีกหลายเท่า

แต่คิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ผู้ที่เปิดม่านออกมาจะเป็นมือเล็กๆ อ่อนเยาว์ข้างหนึ่ง ผู้ที่ก้าวออกมาจากรถม้าเป็นคนแรกมิใช่เซ่อเจิ้งอ๋องเช่นกัน แต่เป็นสตรีรูปร่างแบบบางนางหนึ่ง ใบหน้าของสตรีนางนี้งดงาม คิ้วตางดงามราวกับวาดลงไป ผิวพรรณเรียบลื่นขาวผ่องทั้งเนียนละเอียด ผมหน้าม้าที่เหลือไว้งองุ้มเข้าบดบังหน้าผาก ที่เหลือคือดวงตาคู่หนึ่ง ทั้งใหญ่และกระจ่างใส ไร้เดียงสาและไร้พิษสง

เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นรอบด้าน ทันทีที่มหาเสนาบดีหลินเงยหน้าขึ้นมอง เขาตื่นตะลึง “เวยเอ๋อร์?” ต่อมาเขาปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว เขายอบกายลงกล่าวตามธรรมเนียมมารยาท สีหน้านั้นสับสนยากจะแยกแยะ ดูไม่ออกถึงความยินดีอันใด “ที่แท้เจาอี๋เหนียงเหนียงเสด็จด้วย”

หลินชิงเวยลงมาจากรถม้าด้วยการประคับประคองของคนบังคับม้า นางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานกับมหาเสนาบดีหลินว่า “วันนี้ข้าไม่ใช่เจาอี๋เหนียงเหนียง ฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้ข้ากลับมาเยี่ยมครอบครัวฝ่ายมารดาเพื่อฉลองวันเกิดของบิดาตน บิดาดูแล้วเบิกบานผ่องใสยิ่งนัก” นางมองดูสีหน้าท่าทางของมหาเสนาบดีหลิน แล้วถามว่า “อย่างไรเล่า บิดาเห็นข้ากลับมา ไม่ยินดีหรือไร?”

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

Status: Ongoing
เพราะไม่อยากแต่งไปเป็นนางสนมที่ถูกลืม “หลินเสวี่ยหรง” จึงได้วางยา “หลินชิงเวย” พี่สาวของตนให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน ทั้งยังตามมาวางยากำหนัดนางอีกถึงในวัง เพื่อใส่ร้ายว่านางคบชู้ ทำให้ ‘หลินชิงเวย’ หญิงสาวยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติเข้าร่างมาต้องตกกระไดพลอยโจรไปมีอะไรกับหนุ่มนิรนามที่มาช่วยนางไว้ จนถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย ทำให้นางโดนเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น แม้นางจะทำใจ ยอมอยู่อย่างสงบในตำหนักเย็น ทว่าโลกใบนี้ ไม่ปล่อยให้นางมีความสุขง่ายๆ เช่นนั้น นางจึงต้องใช้ปัญญาและความสามารถทางแพทย์ปกป้องตัวเอง ผนวกกับการได้พบกับชายผู้ยิ่งใหญ่เย็นชาปากไม่ตรงกับใจอย่าง “เซ่อเจิ้งอ๋อง” การได้พบกับเขาทำให้นางค่อยๆ พบความหวัง ที่จะได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้ง! หลินชิงเวย: ท่านอ๋อง ท่านมองลำคออันขาวผ่องของข้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นนั้น นี่ข้ากำลังปลุกอารมณ์ของท่านหรือ ? เซ่อเจิ้งอ๋อง: คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท