มหาเสนาบดีหลินกล่าวเสียงแห้ง “เป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงเมตตาต่อกระหม่อมถึงเพียงนี้ ถึงกับให้เวยเอ๋อร์กลับมาอยู่เป็นเพื่อนชายชราเช่นกระหม่อม” พูดแล้วหันไปมองรถม้า “เซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จมาด้วยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เวลานี้เซียวเยี่ยนเพิ่งจะสะบัดอาภรณ์เบาๆ เดินลงมาจากรถม้า ขุนนางที่อยู่ในที่นั้นล้วนถวายบังคมเต็มพิธีการ เขากล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี ล้วนมาร่วมงานฉลองวันเกิดของมหาเสนาบดีหลิน ทุกคนทำตัวตามสบายเถิด”
จากนั้นเป็นการมอบของขวัญ มหาเสนาบดีหลินต้อนรับหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเข้าประตูจวนสกุลหลินด้วยตนเอง
สำหรับสาเหตุใดที่เซ่อเจิ้งอ๋องร่วมนั่งรถม้าคันเดียวกับเจาอี๋เหนียงเหนียงนั้น เป็นเรื่องไม่เหมาะสม แม้ทุกคนจะมีความคลางแคลงใจ ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยวาจา
สกุลหลินกว้างใหญ่มาก เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของครอบครัวขุนนางใหญ่ สวนดอกไม้และทัศนียภาพงดงาม เหล่าสาวใช้เดินนวยนาดผ่านไปเป็นพัก ทำงานมือเป็นระวิงเป็นภาพที่น่าดูภาพหนึ่ง
ดอกท้อในสวนบานสะพรั่ง ศาลากลางน้ำใต้ร่มเงาของต้นไม้ เต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสัน
หลินชิงเวยหรี่ตาลงมองประเมินคฤหาสน์หลังนี้ บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่มาถึงก่อนล้วนชมชอบที่จะมาเดินในสวนดอกไม้ ชื่นชมการจัดแต่งสวนของจวนมหาเสนาบดี คุณหนูรองสกุลหลินและจ้าวซื่อได้ยินว่าหลินชิงเวยกลับมาจึงรีบนำสตรีทั้งหมดออกมาต้อนรับ
จ้าวซื่อผู้นี้ก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดหลินเสวี่ยหรง ยามนี้มีบทบาทอยู่ในจวนราวกับเป็นประมุขฝ่ายหญิง นางดูแลทุกสิ่งทุกอย่างในจวนอย่างมิขาดตกบกพร่อง
เดิมทีหลินชิงเวยไม่มีความรู้สึกอันใดต่อสถานที่แห่งนี้ กระทั่งนางเงยหน้าขึ้นเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามา หลินชิงเวยหรี่ตามองเห็นหลินเสวี่ยหรงเดินนำมาอย่างชัดเจน และมีสตรีออกเรือนแล้วคนหนึ่งผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงหลินเสวี่ยหรงอยู่หลายส่วน หางตาของหลินชิงเวยชี้ขึ้นเล็กน้อยปรากฏให้เห็นความเจ้าเล่ห์แสนกล รอยยิ้มบนใบหน้างดงามจับตาจับใจผู้คน ดูแล้วราวกับนางกำลังเบิกบานใจไม่เลว
หลินชิงเวยกล่าวขึ้นกับเซียวเยี่ยนด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “เมื่อสักครู่ขณะลงจากรถม้า ท่านดูเหมือนจะมีคำพูดจะกล่าวกับหม่อมฉัน”
“ไม่มี” เซียวเยี่ยนตอบตรงไปตรงมา
รอยยิ้มของหลินชิงเวยกดลึกขึ้นอีก “จริงหรือ ทว่าเมื่อสักครู่สายตาของท่านมองเบื้องล่าง ท่านเม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง ชัดเจนยิ่งนักว่าท่านรู้สึกผิดต่อหม่อมฉันและมีความคิดจะรับผิดชอบ”
“…” ดูเหมือนหลินชิงเวยคนก่อนจะกลับมาอีกครั้ง เซียวเยี่ยนพลันมีความรู้สึกชนิดหนึ่ง อีกทั้งเขาพบว่าความรู้สึกชนิดนี้…ดูเหมือนจะไม่เลวเลยทีเดียว
หลินชิงเวยกล่าวเสริมอีกว่า “หากคิดจะให้เซ่อเจิ้งอ๋องก้มหน้ายอมรับผิดต่อเจาอี๋เล็กๆ คนหนึ่งเช่นหม่อมฉัน หม่อมฉันยังไม่ได้ไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น แต่อีกประเดี๋ยวมีวิธีที่จะชดเชยความรู้สึกผิดในใจของท่านได้ วันนี้หากท่านให้ความร่วมมือกับหม่อมฉัน เราสองคนก็ลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้หมดเป็นอย่างไรเพคะ”
เซียวเยี่ยนมองไปตามสายตาของหลินชิงเวย มองไปทางหลินเสวี่ยหรงและจ้าวซื่อ เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าคิดจะทำอันใด?”
หลินชิงเวยยื่นมือออกไปสะบัดเส้นผมไปด้านหลัง เส้นผมดำขลับของนางแผ่สยาย รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านั้นงดงามหาตัวจับได้ยาก มีเสน่ห์และดึงดูดผู้คน นางกล่าวว่า “นอกจากหาเรื่องไม่เป็นมงคลแล้ว หม่อมฉันยังจะทำอะไรได้อีกเล่า?”
ยามนี้หลินซื่อและหลินเสวี่ยหรงได้มาถึงแล้ว เหล่าสตรีต่างพากันยอบกายถวายพระพร “ถวายบังคมเซ๋อเจิ้งอ๋อง ถวายพระพรเจาอี๋เหนียงเหนียงเพคะ”
แม้จะกล่าวว่าหลินชิงเวยอยู่ข้างกายเซียวเยี่ยนจึงพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ทว่าสตรีเหล่านั้นแม้จะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า แต่ในแววตายังคงมีความดูถูกดูแคลนนางให้เห็นอยู่
หลินชิงเวยเป็นบุตรสาวคนโตของจวนมหาเสนาบดี เป็นเหนียงเหนียงของวังหลวง แต่ด้วยด้วยเรื่องน่าอับอายจึงถูกส่งตัวไปอยู่ในตำหนักเย็น ต่อให้เวลานี้นางได้ออกมาจากตำหนักเย็นแล้ว อย่างไรก็เป็นคนมีมลทินแปดเปื้อนราคีคนหนึ่ง
สตรีเหล่านั้นนอกจากจะซุบซิบนินทาเรื่องของหลินชิงเวย ความสนใจที่มีมากกว่ายังคงพุ่งไปที่เซ่อเจิ้งอ๋อง เซ่อเจิ้งอ๋องไม่เพียงแต่เป็นบุรุษรูปงาม ทั้งยังทรงอำนาจและบารมี ที่สำคัญคือยังไม่ได้แต่งภรรยามาจนถึงบัดนี้ หากสามารถมีความสัมพันธ์กับเซ่อเจิ้งอ๋อง นั่นถือเป็นโชควาสนาเทียมฟ้าก็ว่าได้ ต่อให้มีโอกาสเพียงน้อยนิดก็ยังต้องคิดหาวิธีการเพื่อให้ตนเข้าไปอยู่ในคลองจักษุของเซ่อเจิ้งอ๋องให้ได้ ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้ เกิดทำสำเร็จขึ้นมาเล่า
จ้าวซื่อดึงหลินเสวี่ยหรงเข้ามาอยู่เบื้องหน้าหลินชิงเวย อีกทั้งยังกุมมือของหลินชิงเวยอย่างสนิทชิดเชื้อ นางตบหลังมือกล่าวว่า “ชิงเวย เจ้ากลับมาได้ ป้าสะใภ้ดีใจยิ่ง เจ้าอาศัยอยู่ในวังหลวงมีชีวิตที่ดีกระมัง?”
หลินชิงเวยกล่าวยิ้มๆ “ป้าสะใภ้พูดเช่นนี้ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก หากข้ากล่าวว่าข้ามีชีวิตที่ไม่ดี ป้าสะใภ้จะเข้าไปในวังเพื่อสร้างความยุ่งยากหรือ?” นางมองไปทางหลินเสวี่ยหรงและกล่าวว่า “ไม่เจอกันหลายวัน น้องสาวยิ่งงดงามขึ้นอีกจริงๆ ราวกับบุปผาที่เพิ่งผุดขึ้นเหนือน้ำ เกรงว่าบรรดาบุรุษที่หมายตาจะแต่งน้องสาวเข้าเรือนคงจะย่ำประตูจวนจนแทบสึกแล้วกระมัง น้องสาวมีคนที่ชมชอบแล้วหรือไม่?”
ทันที่เอ่ยวาจาหลินชิงเวยก็ใช้วาจาพุ่งตรงมาเช่นนี้ บรรยากาศจึงเปลี่ยนเป็นประดักประเดิดในชั่วพริบตา สีหน้าของหลินเสวี่ยหรงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินชิงเวยจะถึงกับออกมาจากตำหนักเย็นได้ ออกมาแล้วก็ช่างเถิดทว่ายามนี้นางกลับเดินเคียงบ่าเคียงไหล่มาพร้อมกับเซ่อเจิ้งอ๋อง
นางต้องการกลับมาประกาศศักดากระมัง
ไม่รอให้สองแม่ลูกตอบคำ ไม่รู้ว่าเป็นฮูหยินของเรือนใดที่อยู่ด้านหลังท่านหนึ่งตอบคำ “เมื่อสักครู่ทุกคนยังสนทนาเรื่องนี้อยู่ คุณหนูรองรูปโฉมงดงาม มากความสามารถ ใครเล่าจะไม่ชมชอบ เพียงแต่นางเสมือนบุปผาที่มีเจ้าของแล้ว คุณหนูรองไม่ใช่เพิ่งจะหมั้นหมายกับเซี่ยนอ๋องหรอกหรือ คนทั้งสองเหมาะสมกัน บุรุษมากความสามารถ สตรีงามพร้อม”
หลินชิงเวยกลอกนัยน์ตาไปมา กล่าวด้วยความยินดีว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ เมื่อสักครู่เพียงแต่หยอกล้อป้าสะใภ้และน้องสาวเล่นเท่านั้น พวกเจ้าอย่าได้ถือสาเอาความอันใดกับข้า”
ต่อมาเซียวเยี่ยนซึ่งเป็นแขกฝ่ายบุรุษ จึงต้องไปรวมกับแขกฝ่ายบุรุษคนอื่นๆ หลินชิงเวยย่อมต้องอยู่ท่ามกลางสตรีช่างซุบซิบนินทากลุ่มนี้
เท้าซ้ายของเซียวเยี่ยนเพิ่งจะก้าวออกไป ที่เขานำไปด้วยคือสายตาหลงใหลคลั่งไคล้ของบรรดาสตรี บางคนลอบถอนใจกับตนเอง “เซ่อเจิ้งอ๋องรูปงามจริงๆ”
รูปงามหรือ ก็รูปงามนะ หลินชิงเวยมองเงาร่างด้านหลังของเขา แต่อุปนิสัยกลับแย่
ฮูหยินท่านหนึ่งเอ่ยวาจาอย่างมิเกรงใจขึ้นว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงยามนี้เรียกจ้าวฮูหยินว่าป้าสะใภ้ เกรงว่าหลังจากวันนี้ต้องเปลี่ยนคำเรียกเป็น ท่านแม่ แล้ว”
จ้าวซื่อกล่าวยิ้มๆ อย่างขัดเขิน “หลี่ฮูหยิน ท่านกำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
หลี่ฮูหยินท่านนั้นกล่าวว่า “นี่ไหนเลยจะเป็นการล้อเล่น จ้าวฮูหยินคือประมุขฝ่ายหญิงของจวน เพียงแค่รอให้ใต้เท้ามหาเสนาบดีเอ่ยปากบอกรับจ้าวฮูหยินเป็นภรรยาเอกเท่านั้น”
หลินเสวี่ยหรงมองหลินชิงเวยด้วยแววตาได้ใจ นางกล่าวว่า “เมื่อวานเตียเตียไม่ใช่ยังเอ่ยว่า วันนี้จะพูดถึงเรื่องนี้หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินที่อยู่ในที่นั้นตื่นตัวขึ้นทันที “ไอหยา ที่แท้มีความคิดล่วงหน้าเนิ่นนานแล้ว จ้าวฮูหยิน ท่านช่างรู้จักเก็บงำนัก! คุณหนูรองถึงกับเรียกใต้เท้ามหาเสนาบดีว่าเตียเตียแล้ว!”
คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดที่พูดในกลุ่มสตรีเท่านั้น ไม่อาจพูดติ่หน้าผู้คนได้
หลินเสวี่ยหรงเห็นสีหน้ากลัดกลุ้มของหลินชิงเวย ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะลำพองยิ่งนัก ทว่าที่แสดงออกทางสีหน้านั้น “พี่ใหญ่ ท่านไม่ยินดีหรือเจ้าคะ? เป็นเพราะเตียเตียจะให้ท่านแม่ของข้าเป็นภรรยาเอก ดังนั้น…”
หลินชิงเวยทอดถอนใจ “ป้าสะใภ้เป็นมารดาของข้า ข้าจะมีน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง ข้าไหนเลยจะไม่ยินดีเล่า ข้าเพียงแต่รู้สึกเสียดายแทนท่านลุงที่จากโลกนี้ไปแล้วต่างหาก”
ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกมา ทุกคนที่ได้ยินล้วนหน้าเปลี่ยนสี
จ้าวซื่อแทบจะประคองสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ “ชิงเวย เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลินชิงเวยยักไหล่ “ยังจะมีความหมายอันใด หลังจากท่านลุงจากไป เพื่อดูแลป้าสะใภ้และน้องสาว บิดาจึงรับพวกท่านเข้ามาอยู่อาศัยในจวน เวลาผ่านมาหลายปีเช่นนี้คนทั้งครอบครัวต่างรักใคร่ปรองดอง เพียงแต่ท่านลุงคงคิดไม่ถึงว่าแค่เขาก้าวผ่านประตูผีไป การรับมาดูแลนี้กลับกลายเป็นดูแลไปถึงบนเตียงของตนเอง หมวกเขียว[1]ที่ท่านลุงสวมไว้ใบนี้ช่างน่าเวทนานัก”
[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง สามีที่ภรรยาคบชู้