สีหน้าของจ้าวซื่อซีดเผือด น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย “เวยเอ๋อร์ ไฉนเจ้าจึงพูดจาเช่นนี้ เจ้ากล่าวว่าบิดาของเจ้า…วันนี้เป็นวันเกิดของบิดาเจ้า ไฉนเจ้าจึงพูดจาเนรคุณเช่นนี้ออกมาได้!”
“ใช่แล้ว!” คนที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริม “แม่ทัพหลินจากไปหลายปีแล้ว อย่างไรเจาอี๋เหนียงเหนียงก็ไม่ควรหยิบยกแม่ทัพออกมากล่าวถึงเช่นนี้ จ้าวฮูหยินครองตัวเป็นหญิงม่ายมาเป็นเวลาหลายปี เด็กกำพร้าและหญิงม่าย ไฉนจึงไม่อาจแต่งงานใหม่ได้เล่า?”
ในเมื่อเป็นคำพูดสนับสนุน คำพูดที่กล่าวออกมาย่อมไม่ทำให้จ้าวซื่อและหลินเสวี่ยหรงตกที่นั่งลำบาก
หลินเสวี่ยหรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้นชิงชัง สายตาของนางจ้องเขม็งไปที่หลินชิงเวย ผู้คนรอบด้านมองไม่เห็น นางกลับร่ำไห้เสียงดังขึ้นมา “ตั้งแต่เล็กเสวี่ยหรงปรารถนาจะมีพี่สาวคนหนึ่ง พี่ใหญ่ไม่ยอมรับน้องสาวคนนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยหัวเราะขึ้นมา “ป้าสะใภ้จะแต่งงานใหม่หรือไม่ เจ้ายังคงเป็นน้องสาวของข้าเสมอ ไยเจ้าจึงพูดออกมาเช่นนี้ ราวกับหลังจากป้าสะใภ้แต่งให้กับบิดาของข้าอีกครั้งแล้ว เจ้าก็จะกลายเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า?”
บางคนเห็นสองแม่ลูกถูกหลินชิงเวยใช้วาจาดูถูกดูแคลนแล้วทนดูไม่ได้ จึงกล่าวขึ้นว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงดูตนเองก่อนแล้วค่อยไปตำหนิผู้อื่นจะดีกว่า เรื่องที่เหนียงเหนียงถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น ต่อให้คนในวังปิดบังได้ดีกว่านี้ก็ไม่มีกำแพงที่ลมพัดผ่านไม่ได้ ตนเองยังไม่มีความละอายแก่ใจ แล้วยังมีหน้าไปว่ากล่าวผู้อื่น”
หลินชิงเวยคลี่ยิ้มบางๆ ราวกับไม่โกรธขึ้ง “ใช่หรือ ดังนั้นจึงต้องกล่าวว่า คานบนไม่ตรงคานล่างจึงเบี้ยว[1]”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้
หลินชิงเวยหันกายแล้วเดินจากไป ทั้งยังกล่าวลอยๆ ขึ้นอีกว่า “หากวันนี้บิดารับป้าสะใภ้ขึ้นเป็นประมุขฝ่ายหญิงของสกุลหลินต่อหน้าผู้คนมากมาย นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งจริงๆ”
ลานเรือนของสกุลหลินกว้างใหญ่เสียจนหลินชิงเวยเดินอยู่เนิ่นนานก็ยังเดินไม่ทั่ว นางไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย ภายในสวนมีคนสองสามคนเดินผ่านไปมาเป็นพักๆ ในที่สุดหลินชิงเวยก็หาตัวเซียวเยี่ยนพบที่ข้างศาลาแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันเซียวเยี่ยนกำลังสนทนากับใครอีกหลายคน ทว่าไม่รู้ว่ากำลังสนทนาเรื่องอันใด
หลินชิงเวยมองเห็นชัดเจนภายในศาลานอกจากเซียวเยี่ยนแล้ว ยังมีเซียวอี้บุรุษผู้นั้น ว่ากันตามเหตุผลแล้วงานเลี้ยงเช่นนี้เซียวอี้ไม่อาจไม่มาร่วมงาน เพียงแต่หลินชิงเวยเพิ่งจะได้ยินมาเมื่อสักครู่เกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเซียวอี้และหลินเสวี่ยหรง เขามาร่วมงานในวันนี้ทว่ากลับไม่ถามถึงหลินเสวี่ยหรงเลยหรือ
หลินชิงเวยเห็นว่ามีสาวใช้กำลังจะนำผลไม้ไปส่งที่ศาลา สาวใช้กำลังจะเดินผ่านร่างของหลินชิงเวย นางเรียกสาวใช้นางนั้นเอาไว้ หลินชิงเวยเอื้อมมือไปหยิบผิงกั่ว[2]จากจานใบนั้นหนึ่งผล กัดกินไปสองคำแล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าไปถึงที่นั่นแล้วบอกกล่าวกับเซ่อเจิ้งอ๋องว่า มีคนรอเขาอยู่ที่ภูเขาจำลองด้านนั้น”
หลินชิงเวยเห็นสาวใช้นางนั้นเดินเข้าไปในศาลาเอ่ยวาจากับเซียวเยี่ยนสองประโยค เมื่อเซียวเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองประจวบเหมาะกับเห็นเงาร่างด้านหลังของหลินชิงเวยที่เพิ่งจะหันกายกลับไป
แน่นอนว่าเซียวอี้ย่อมมองเห็นเช่นกัน ดวงตาของเขาฉาบด้วยม่านหมอกสายหนึ่งราวกับเก็บงำความคิดลุ่มลึก
ภูเขาจำลองอยู่ห่างจากศาลาหลังนี้ไม่มาก เดินทะลุทางเล็กๆ ที่มีต้นไม้ให้เงามืดครึ้มจากนั้นก็คือสวนไผ่แห่งหนึ่ง ด้านข้างสวนไผ่ก็คือภูเขาจำลอง
ว่ากันตามสติปัญญาของเซียวเยี่ยน ขอเพียงนำความไปบอก เขาต้องหาสถานที่แห่งนี้พบแน่นอน
หลินชิงเวยยืนเอนกายพิงภูเขาจำลอง นางคาบกิ่งไผ้ก้านหนึ่งอยู่ในปาก รอเขาอยู่ด้วยความอดทน
นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเยี่ยนยังมาไม่ถึง กลับมีอีกคนหนึ่งที่มาถึงก่อน
ขณะเดียวกันร่างอรชรอ้อนแอ้นของคนผู้นั้นกำลังเดินนวยนาดผ่านอีกด้านหนึ่งของสวนไผ่เข้ามา น้ำเสียงที่นางพูดจานั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เมื่อก่อนเตียเตียมักจะเอนเอียงมาทางข้าและเย็นชาต่อพี่ใหญ่เสมอ พี่ใหญ่มักจะแอบวิ่งมาร้องไห้ที่นี่ เวลาผ่านมาหลายปีเช่นนี้แล้ว พี่ใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ข้าเพียงคิดว่าลองมาดูที่นี่สักหน่อยจึงหาตัวพี่ใหญ่พบจริงๆ ด้วย”
หลินชิงเวยได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ใช่หลินเสวี่ยหรงแล้วจะเป็นใครได้อีก นางอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้านของสวนไผ่แห่งนี้ แล้วมองตนเองที่ยืนพิงภูเขาจำลองอยู่ คิดในใจว่าดูแล้วช่างเลือกสถานที่นัก
ในเมื่อสถานที่ที่นางเลือกเป็นสถานที่หลินชิงเวยชอบมาในอดีต
หลินชิงเวยเคี้ยวกิ่งไผ่ ปากของนางเต็มไปกลิ่นหอมของไผ่ “วันนี้ในเรือนมิใช่มีคนมากมายให้เจ้าต้องรับรองหรือไร เหตุใดกลับมาตามหาข้าให้เสียเวลา?”
“ข้าเกรงว่าพี่ใหญ่จะมาร้องไห้ขี้มูกโป่งน่ะสิ ร้องไห้จนหน้าลายไม่น่าดูเพียงใด” หลินเสวี่ยหรงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำพองใจยิ่ง
หลินชิงเวยยืดกายขึ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างไรเล่า อยู่ในวังหลวงมานานเช่นนี้ ข้าไม่เคยเบิกบานใจเท่ากับวันนี้เลย”
หลินเสวี่ยหรงเปลี่ยนสีหน้าอ่อนโยนสุภาพที่เสแสร้งบนใบหน้าออกไป เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าใช้วิธีใดจึงออกมาจากตำหนักเย็นได้กันแน่!”
หลินชิงเวยกล่าว “เจ้าคาดไม่ถึงอย่างยิ่งใช่หรือไม่? ข้าไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตรอดออกมาจากตำหนักเย็น วันนี้รับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ เป็นสนมที่ได้รับความโปรดปราน พิสูจน์ได้ว่าครั้งที่แล้วเจ้าคำนวณพลาดไป ลวี่เฉี่ยวผู้นั้นเล่า ข้ามิใช่ส่งนางกลับมาแล้วหรือ เพื่อเป็นการตักเตือนและทักทายเจ้า ในเมื่อกล้าออกมาทำเรื่องเช่นนี้ก็ต้องชดใช้”
หลินเสวี่ยหรงโกรธขึ้งอย่างยิ่ง นางโมโหเสียจนใบหน้างดงามบิดเบี้ยวเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ามาวันนี้ต้องการทำสิ่งใดกันแน่?”
“ทำสิ่งใด?” หลินชิงเวยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเลือกของขวัญให้บิดากับมือ มาร่วมงานด้วยตนเอง เจ้าว่าข้าไม่ได้มาอวยพรวันเกิดแล้วจะมาทำอันใด? หรือเจ้าคิดว่าข้ามาเพื่อล้างแค้น? ล้างแค้นที่เจ้าซื้อตัวลวี่เฉี่ยว ให้นางวางยากำหนัดลงในน้ำชาของข้า จากนั้นหาองครักษ์มาย่ำยีข้าใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยพูดอย่างสบายอกสบายใจ หลินเสวี่ยหรงมองนางด้วยความเคียดแค้น ต่อมาจึงแค่นหัวเราะเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า “คิดจะล้างแค้น? ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่ ต่อให้ข้าเป็นคนสั่งให้ลวี่เฉี่ยวไปวางยาเจ้าแล้วอย่างไรเล่า ลวี่เฉี่ยวนางทำผิดเองจึงถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว ย่อมไม่มีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้ บัดนี้ต่อให้เจ้าพูดความจริงออกมาทุกอย่างแล้วจะมีใครเชื่อ? ในสายตาของคนภายนอก เจ้าก็แค่หาข้ออ้างให้กับตนเองเท่านั้น” นางเข้าใกล้หลินชิงเวย เอ่ยวาจาบีบบังคับจิตใจผู้อื่นอีกว่า “เมื่อสักครู่เจ้าก็ได้ยินแล้ว หลังจากวันนี้ท่านแม่ของข้าก็จะเป็นประมุขฝ่ายหญิงของสกุลหลิน และข้าก็จะกลายเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลหลิน ว่าที่พระชายาเซี่ยนอ๋อง เจ้าบอกสิว่าเจ้าจะเอาอะไรมาแย่งชิงกับข้า?” ใบหน้าของหลินเสวี่ยหรงปรากฎรอยยิ้มของผู้กำชัยชนะ “หลินชิงเวย เจ้าแพ้แล้ว นับตั้งแต่นาทีที่เจ้าแต่งงานเข้าวังไปแทนข้า เจ้าก็แพ้แล้ว ต่อให้เจ้าออกมาจากตำหนักเย็นได้แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้ยามนี้เจ้ามาปรากฏกายต่อหน้าข้าแล้วอย่างไรเล่า บิดาเขาไม่รักและเอ็นดูเจ้า เซี่ยนอ๋องไม่รักเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน เจ้าได้สูญเสียสิทธิ์ทุกอย่างไปแล้ว เมื่อก่อนเจ้ามักจะวางท่าราวกับตนเองสูงส่งเหลือเกิน ข้าก็คือกาฝากผู้ต่ำต้อย เช่นนั้นดียิ่ง ยามนี้ถึงคราเจ้าได้ลิ้มลองรสชาติเช่นนี้บ้าง!”
หลินชิงเวยหัวเราะออกมา “พรืด” หนึ่ง นางถ่มกิ่งไผ่ที่คาบอยู่ในปากใส่หน้าหลินเสวี่ยหรง ส่งผลให้ปรากฏรอยแดงเล็กๆ เป็นเส้นๆ บนใบหน้ารูปไข่อันอ่อนเยาว์ของนาง หลินเสวี่ยหรงรู้สึกถูกนางเหยียดหยามจึงโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ขณะที่นางกำลังจะลงมือกลับคาดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยจะลงมือเร็วกว่านางก้าวหนึ่ง ปัดมือของหลินเสวี่ยหรงออก มือขาวๆ อ่อนนุ่มข้างนั้นถูกกดไว้กับกำแพงหินของภูเขาจำลอง เสียดสีจนผิวหนังปวดแสบปวดร้อนไปหมด แต่หลินเสวี่ยหรงยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกหลินชิงเวยใช้ปลายนิ้วบีบคางของนางให้เงยขึ้น
หลินชิงเวยหรี่ตาลง แววตาที่นางมองหลินเสวี่ยหรงเย็นเยียบประดุจดวงตาของอสรพิษก็ไม่ปาน
[1] ความหมายตรงตัวแปลว่า หากคานเพดานไม่ถูกต้อง คานพื้นด้านล่างก็จะไม่ถูกต้องตามไปด้วย ส่งผลให้บ้านทั้งหลังผิดรูปไปหมด เป็นคำเปรียบเทียบว่า หากผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าหรือคนรุ่นก่อนประพฤติตัวไม่เหมาะสม เช่นนั้นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าหรือคนรุ่นหลังก็จะได้รับผลกระทบจากพวกเขา คือประพฤติตัวไม่เหมาะสมไปด้วย คล้ายสำนวนไทยที่ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
[2] หมายถึงผลแอปเปิ้ล