หัวใจของหลินชิงเวยราวกับถูกโลหิตร้อนระอุของเขาราดรดผ่านไปหนหนึ่ง เต้นตึกตักๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ แม้กระทั่งการหายใจก็ยังลำบากส่งผลให้ต้องอ้าปากกว้างเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอด
มืออีกข้างหนึ่งของเซียวเยี่ยนมิได้อยู่ว่างเช่นกัน กระบี่ในมือของเขาแทงทะลุท้องของมือสังหารอีกคนหนึ่ง
ศพที่นอนระเนระนาดอยู่บนพื้นมีราวๆ เจ็ดถึงแปดศพ
หลินชิงเวยเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างของมือสังหารคนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้นคลานขึ้นมาอย่างยากลำบาก ฉวยโอกาสที่มือทั้งคู่ของเซียวเยี่ยนกำลังติดพัน เขารวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายตรงเข้ามาฟาดฟันลงบนร่างของเซียวเยี่ยน
หลินชิงเวยร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก “ชิงหลัน!” โทษนางไม่ได้จริงๆ ที่อดกลั้นไม่เรียกชิงหลันออกมาโดยตลอด คนมากดาบฟาดฟัน ร่างของชิงหลันไม่อาจต้านรับคมดาบคมกระบี่เหล่านี้หากเรียกมันออกมาแต่แรกย่อมต้องถูกมือสังหารตัดร่างของมันเป็นท่อนๆ แน่แท้
นางกระโจนเข้าใส่คนชุดดำที่มุ่งหน้ามาข้างหน้านาง ใช้เข็มเงินในมือปักลงบนร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ชิงชังตนเองเหลือเกินที่ไม่อาจทำให้เขากลายเป็นรังผึ้งได้ในเข็มเดียว ขณะเดียวกันเซียวเยี่ยนผ่อนดาบที่อยู่ในมือของเขา ไม่รู้ว่าเวลานี้เขาจะยังมีเรี่ยวแรงรับมือกับมือสังหารที่ยืนขึ้นมาเพื่อโจมตีเขาเฮือกสุดท้าย
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้เขากระทำการตอบโต้ งูตัวน้อยที่พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของหลินชิงเวยกลับเลื้อยอยู่บนร่างของคนชุดดำอย่างรวดเร็ว มันใช้ร่างกายของตนพันรัดรอบลำคอของคนชุดดำแล้วอ้าปากฝังเขี้ยวของมันลงบนเส้นเลือดใหญ่ที่เต้นตุบบริเวณลำคอเต็มๆ
มือสังหารถูกพิษงูเล่นงานจึงไม่ได้ฟาดฟันดาบสุดท้ายลงมาในที่สุด ดาบร่วงหล่นจากมือของเขาเสียง เคร้ง ดังก้อง ต่อมาร่างของเขาล้มลงบนพื้น
ถนนสายนี้เงียบสงัดจนน่าพรั่นพรึง
เซียวเยี่ยนเลื่อนสายตาไปมาเห็นหลินชิงเวยคร่อมอยู่บนร่างคนชุดดำคนหนึ่ง คนชุดดำนั้นถูกนางใช้เข็มเงินปักจนตายไปนานแล้ว แต่นางดูเหมือนจะหยุดตัวเองไม่ได้ปักเข็มในมือลงบนร่างของคนชุดดำจนกลายเป็นรังผึ้งจริงๆ
เซียวเยี่ยนมองร่างแบบบางด้านหลังของนาง เขาเอนร่างไร้เรี่ยวแรงพิงไปกับกำแพงและส่งเสียงเสียงเรียกนางด้วยน้ำเสียงแหบพร่า สิ้นแรงทว่ากลับฟังดูแล้วอ่อนโยนอย่างเหลือแสน “หลินชิงเวย”
หลินชิงเวยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
เขาไถลตามแนวกำแพงแล้วนั่งลงบนพื้น บนมือและไหล่ของเขายังคงมีโลหิตไหลไม่ขาดสาย อาภรณ์สีม่วงของเขาเปียกชุ่มกลายเป็นสีดำท่ามกลางราตรีรัตติกาล สีหน้าของเขาขาวซีดประดุจแสงจันทร์สีเงิน ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาเห็นข้อกระดูกชัดเจนท่ามกลางแสงจันทร์ยิ่งขับให้ดูเรียวกว่ายามปกติ โลหิตสีแดงสดทิ่มแทงสายตานั้นไหลลงมาตามปลายนิ้วของเขาแล้วหยดลงพื้น
เซียวเยี่ยนเรียกชื่อของหลินชิงเวยอีกครั้ง หลินชิงเวยยังคงไม่มีได้สติเช่นเดิม เขาจึงยื้อยุดมือของหลินชิงเวย จากนั้นออกแรงกระชากนางให้ยืนขึ้นมาโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลบริเวณหัวไหล่ ส่งผลให้นางล้มลงมาในอ้อมกอดของตน
เขากอดนางเอาไว้ คางที่เริ่มมีตอเคราผุดขึ้นแนบลงไปกับผมหน้าม้าบริเวณหน้าผากของนาง
ชั่ววินาทีนั้นจิตใจของเขาสงบสุขยิ่งยวด เขาไม่ได้ควบคุมตนเองเช่นยามปกติแต่กอดนางและปลุกปลอบนางด้วยตนเอง
“ล้วนตายหมดแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว”
หลินชิงเวยเก็บเข็มเงินของตนขึ้นมาเงียบๆ เก็บชิงหลัน แขนเสื้อกว้างนั้นเลื่อนลงจากแขนปรากฏให้เห็นแขนขาวนวลประหนึ่งหิมะ นางโอบรอบลำคอของเซียวเยี่ยนประคองศีรษะของเขาเอาไว้และซุกหน้าลงในอ้อมกอดของเขา
นางไม่กระจ่างแจ้งเช่นกันว่าการกระทำเยี่ยงนี้ของนางหมายความอย่างไร
ความอาลัยอาวรณ์อย่างห้ามไม่อยู่ที่ปรากฏออกมานั้นสับสนยุ่งเหยิง ทว่าในขณะเดียวกันกลับสะอาดบริสุทธิ์และเปราะบาง
ในยามปกติถูกนางเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด
มาบัดนี้นับได้ว่าแสดงออกให้เห็นถึงพิรุธ
หลินชิงเวยหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายครั้ง หน้าผากของนางแนบติดกับคางของเซียวเยี่ยน นางเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “เกือบจะได้ไปพบกับยมทูตเสียแล้ว ทำให้พี่สาวตกใจแทบตาย”
บรรยากาศพิพักพิพ่วน ดูเหมือนกำลังครอบคลุมลงมาอีกครา
หลินชิงเวยจับแขนเสื้อของเซียวเยี่ยนจึงพบว่ามันเปียกชุ่มไปทั้งแขน นางมองฝ่ามือที่เต็มไปด้วยโลหิตของเซียวเยี่ยนจึงฉีกกระโปรงของตนมามัดแขนของเซียวเยี่ยนไว้อย่างแน่นหนาเพื่อเป็นการห้ามเลือดให้หยุดไหล
เซียวเยี่ยนไม่ขยับเคลื่อนไหว หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง “ท่านได้รับบาดเจ็บและเสียเลือดไปมาก พวกเราต้องรีบกลับไปห้ามเลือดและรักษาบาดแผล” ครานี้เป็นเซียวเยี่ยนบ้างที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ หลินชิงเวยถามขึ้นอีกครั้ง “ท่านยังยืนไหวหรือไม่? ยังเดินไหวหรือไม่?”
เนิ่นนานผ่านไปเซียวเยี่ยนจึงกลับสู่ภาวะปกติ เขาพยักหน้าเรียบๆ
หลินชิงเวยประคองให้เขายืนขึ้น สิ่งของมากมายที่จับจ่ายไว้นั้นกระจัดกระจายเต็มพื้น ไม่ว่าใครก็ไม่มีกะจิตกะใจไปเก็บสิ่งของที่เปื้อนรอยเลือดเหล่านั้น
เมื่อเซียวเยี่ยนลุกขึ้น ดอกกล้วยไม้ที่ประดับเอวดอกนั้นร่วงหล่นลงบนพื้นมันถูกโลหิตย้อมให้เป็นสีแดงสดทันที
อันใดที่ว่าป้องกันเภทภัยล้วนเป็นการปลอบใจให้สงบเท่านั้น หากต้องเผชิญหน้ากับเรื่องอันใดล้วนต้องอาศัยตนเองทั้งสิ้น
คนทั้งสองไม่ต้องการผ่านตลาดนัดกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจของผู้คน หากทำเช่นนั้นเกรงว่ายังไม่ทันได้กลับถึงวังหลวงก็คงต้องถูกเจ้าหน้าที่ของจวนว่าการจับกุมตัวไปไต่สวนเป็นแน่
เซียวเยี่ยนคุ้นเคยกับเมืองหลวงแห่งนี้ เขาจึงได้แต่พาหลินชิงเวยเดินลัดเลาะทะลุตรอกเล็กๆ ท่ามกลางความมืดกลับไปยังถนนที่รถม้าหยุดรออยู่
ยามนี้หากมีมือสังหารอีกชุดหนึ่ง คนทั้งสองล้วนไม่มีเรี่ยวแรง มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เคราะห์ดีที่ตลอดทางที่เดินกลับไปถึงรถม้าไม่พบมือสังหารอีก คนบังคับม้ายืนเฝ้าอยู่ที่นั่นอย่างซื่อสัตย์ เขาตื่นตระหนกกระทั่งวิญญาณแทบจะหลุดออกจากเรื่องเมื่อเห็นเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยกลับมา
โชคดีที่ทั้งสองมีชีวิตรอดกลับมา หาไม่แล้วเขาย่อมไม่มีทางรอดชีวิตเช่นกัน
หลินชิงเวยพยุงเซียวเยี่ยนเข้าไปเอนกายในรถม้าแล้วสั่งคนบังคับม้าว่า “กลับวังเร็วเข้า!”
รถม้าเริ่มออกวิ่งมุ่งหน้าไปบนท้องถนนราวกับเหินได้ เวลานี้ผู้คนบนถนนเริ่มบางตาลง เมื่อพบเห็นพวกเขาต่างพากันหลบหลีกเข้าสองข้างทาง
ศีรษะของเซียวเยี่ยนพิงกับตัวรถม้า แสงจากโคมไฟที่ส่องลอดเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่างรถม้ายิ่งขับให้ใบหน้าของเขาซีดขาว ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาเสียโลหิตมากเกินไป เขาเห็นหลินชิงเวยขมวดคิ้วแน่นจึงเอ่ยขึ้นเนิบๆ “เจ้าไม่ต้องกังวล บาดแผลเล็กน้อยเช่นนี้ไม่มีอะไร”
หลินชิงเวยกล่าว “บาดเจ็บนั้นไม่ทำให้คนตาย แต่ท่านเสียเลือดมากเกินไปย่อมมีโอกาสที่จะมีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน ท่านจี้สกัดจุดชีพจรของท่านจะเป็นการดีที่สุด ผ้าที่รัดเอาไว้ของข้าช่วยอะไรไม่ได้มากนัก” นางเห็นบนท้องถนนยังมีร้านยาที่ยังไม่ปิดจึงบังเกิดความคิดบางอย่างที่ส่งผลให้จิตใจของนางลอยคว้าง
เซียวเยี่ยนยกมือขึ้นสกัดจุดชีพจรบนแขนของตน แล้วยังสกัดจุดบริเวณหัวไหล่อีกสองครั้ง เพียงแต่ดูจากท่าทางไม่อนาทรร้อนใจของเขาแล้วราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่งนัก
อีกฝ่ายมีจุดประสงค์ต้องการสังหารเซียวเยี่ยนย่อมต้องรู้ร่องรอยของเซียวเยี่ยน ยามนี้ม้าเร็วกลับไปถึงวังหลวงจะกลายเป็นจุดสนใจที่โดดเด่นเกินไป มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความคิดตามล่าสังหารเป็นครั้งที่สอง ถึงเวลานั้นไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่มีชีวิตรอด อีกทั้งบาดแผลของเซียวเยี่ยนจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินชิงเวยเตรียมร้องบอกให้คนบังคับม้าหยุดรถม้า แต่นางยังไม่ทันได้ส่งเสียงคนบังคับม้ากลับดึงสายบังเหียนอย่างแรง เสียงม้าร้องฮึดฮัดขึ้น รถม้าโคลงเคลงไปมา
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินชิงเวยเปิดผ้าม่านแล้วเอ่ยถาม
คนบังคับม้ามองไปข้างหน้า “มีคนมาขอรับ”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังควบม้ามุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล พวกเขาแต่ละคนล้วนอยู่ในอาภรณ์สีดำ ดูจากท่าทางแล้วล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญวรยุทธ์ ความแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือไม่ได้ปิดหน้า